บทที่ 26 สงครามกลางเมืองหยวนเจียง
หยางเซี่ยวเฉินถึงกับเหงื่อออกโชกขณะกินวุ้นเส้นร้อนๆไปด้วย
เจ้าของคฤหาสน์ไม่เพียงแต่จะไม่มามากินด้วยกันเท่านั้น เขายังตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี้ต่อแทนที่จะไปเกาะสวรรค์ด้วยกัน
มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก พวกเขาไม่ได้เห็นเห็นฉากโศกนาฏกรรมด้านนอกด้วยตาตัวเอง และไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของหยวนเจียงเป็นอย่างไรกันแน่
ในสายตาของพวกเขาหยางเซี่ยวเฉินและพรรคพวกก็เป็นเพียงกลุ่มที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะเลือกติดตามกลุ่มมือปืน แทนที่จะอยู่ในบ้านของตัวเองที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจที่สุด
เมื่อพิจารณาว่าครอบครัวของพวกเขาทั้งสามคนดูเหมือนจะไม่มีพรสวรรค์ที่พวกเขาต้องการเป็นพิเศษ หยางเซี่ยวเฉินจึงปล่อยพวกเขาไป
โดยคิดว่าท้ายที่สุดการมีคนเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งบนการเดินทางนี้ ปัจจัยเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นมากและจะต้องระมัดรังวังมากกว่าเดิมแน่นอน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งถ้าสถานการณ์บนเกาะสวรรค์คงที่และพวกเขาต้องออกไปรับผู้ลี้ภัย ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขายังอยู่เราค่อยมาช่วยเหลือพวกเขาก็แล้วกัน
“บอสหวัง คุณกับพ่อไปพักสักครู่เถอะจะได้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงดีแล้ว เราจะออกเดินทางในอีกสามชั่วโมงให้หลัง” หยางเซี่ยวเฉินกล่าว
หยางหยานไม่พูดอะไรมากเขาพยักหน้าและเดินขึ้นชั้นบนไปยังห้องที่หยางเซี่ยวเฉินเคยพักอยู่ ขณะที่ หวางลี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า "เรียกฉันหวางลี่ก็ได้"
หยางเซี่ยวเฉินพยักหน้าแล้วกระตุ้นให้เขาใช้เวลาในการพักผ่อนให้เต็มที่ จากนั้นหันไปมองหยูเชียนแล้วพูดว่า "ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม"
"ช่วยอะไร?" หยูเชียนถาม
"ฉันต้องใช้ความสามารถของฉันเพื่อทำการทดลองบางอย่าง" หยางเซี่ยวเฉินอธิบาย
"นอกจากนี้ ฉันต้องการจับซอมบี้มาเพื่อศึกษาพวกมัน"
“นายอยากศึกษาพวกมัน” ดวงตาของหยูเชียนเบิกกว้าง
"รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉันคิดว่าอย่างน้อยเราควรเข้าใจระดับของการรับรู้และความสามารถด้านการเคลื่อนไหวของพวกมัน”
“ถ้าเงื่อนไขดีฉันก็ต้องการดูว่าพวกมันสามารถสร้างเป็นประโยชน์อะไรให้ฉันได้บ้างอยู่เหมือนกัน”
หยางเซี่ยวเฉินนึกถึงชายผู้ผ่าซอมบี้ในคอมมิคเรื่อง The Walking Dead บางทีฉันอาจจะจับซอมบี้หลายร้อยตัวมาช่วยผลิตไฟฟ้าก็ได้
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าพลังงานในแกนสมองของพวกมันจะมีวันหมดลงหรือว่าจะสามารถทำให้พวกมันเคลื่อนไหวต่อไปได้ตลอดกาลกันแน่
"นอกจากประโยชน์ของนิวเคลียสแล้ว ซอมบี้มันยังมีประโยชน์อะไรได้อีก" หยางเซี่ยวเฉินสามารถเปิดมุมมองทั้งสามของเขาได้เสมอ
"เอ่อ ฉันยังอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ทันที แต่เรื่องหน้าที่ของนิวเคลียส นายพอจะช่วยอธิบายให้ฉันฟังได้ไหม" หยางเซี่ยวเฉินกล่าวในขณะที่มองไปที่กระเป๋าเป้สะพายหลังของหยูเชียน ซึ่งเต็มไปด้วยนิวเคลียส
แม้จะกล่าวกันว่าสิ่งเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของนิวเคลียสนี้คืออะไรกันแน่
"ฉันยังไม่สามารถอธิบายให้นายฟังได้ตอนนี้ แต่นายจะรู้ได้เมื่อกลับไปที่เกาะสวรรค์แล้ว" หยูเชียน กล่าวอย่างหนักแน่น
บางทีเขาอาจมีเทคโนโลยีสีดำบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนพลังงานชีวภาพในแกนสมองให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่นๆ หยางเซี่ยวเฉินพึมพำและหันกลับไปที่หัวข้อหลัก
"ฉันจะไปจับซอมบี้เดี๋ยวนี้ เตรียมโซ่เส้นหนาๆรอไว้ที พอฉันกลับมานายก็ช่วยมัดซอมบี้ไว้นะ ตกลงไหม?”
หยูเชียนพยักหน้าโซ่ลอยได้เองบิดตัวและร่ายรำราวกับมังกร
หยางเซี่ยวเฉินเดินออกไปที่ประตู มองไปรอบ ๆ ในไม่ช้าก็เห็นซอมบี้ที่เกินส่ายไปมาอยู่ห่างออกไปกว่า 40 เมตร
"ออกมาให้ฉัน" โซ่แสงปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหยางเซี่ยวเฉินตราประทับขยายกว้าง ทันใดนั้นก็มีร่างสีดำปรากฏขึ้นข้างๆ เขาสูงอย่างน้อยสามเมตรและรูปร่างค่อนข้างผอมแห้ง
"มันดูเหมือนเป็นนักรบเงาของฉัน" หยางเซี่ยวเฉินยิ้มมองไปที่ผู้พิทักษ์ยักษ์สีดำ ระหว่างเขากับมันมีความสนิทสนมที่อธิบายไม่ได้อยู่ ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง
“ฉันไม่รู้ว่ามันทำมาจากอะไรถึงทำให้คนอื่นมองไม่เห็นได้นะ หือ?” ด้วยการสังเกตอย่างกระตือรือร้นของหยางเซี่ยวเฉินทำให้สังเกตเห็นว่าใต้เท้าของยักษ์ดำดอกไม้และต้นไม้บนสนามหญ้ากำลังถูกกดทับ
ดูเหมือนว่าจะเป็นวัตถุจริงๆ แต่ไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุอะไรและคนอื่นก็มองไม่เห็นมัน มันผิดหลักวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง
หยางเซี่ยวเฉินคิดกับตัวเองเอื้อมมือออกไปและลูบน่องของยักษ์ดำอย่างแผ่วเบา แต่เขาไม่รู้สึกถึงว่าตัวเองสัมผัสสิ่งใดๆ
"ในความคิดของฉัน นายดูดำสนิทแต่กลับมองไม่เห็นในสายตาของคนอื่น ฉันน่าจะเรียกนายว่า 'วิญญาณมืด' เฮ้ นายคิดว่าชื่อนี้เป็นยังไงบ้าง" หยางเซี่ยวเฉิน หัวเราะและพูดว่า
ร่างที่เฉื่อยชาของยักษ์ดำขยับ มันยกกำปั้นขวาขึ้นมาแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นเพื่อแสดงท่าทางที่ให้หยางเซี่ยวเฉิน
"สวัสดี สวัสดี" เสียงของหยางเซี่ยวเฉินดังมาจากหัวของยักษ์ดำ
"เฮ้ ฉันเข้าใจแล้ว" หยางเซี่ยวเฉินตกตะลึงเงยหน้าขึ้นมองศีรษะที่ไร้ใบหน้าของวิญญาณมืด "นายพูดได้อีกไหม"
"สวัสดี สวัสดี" เสียงเดียวกัน น้ำเสียงเดียวกัน
“แค่ประโยคเดียวเองเหรอ?” หยางเซี่ยวเฉินพยายามสื่อสารกับจิตของเขา แต่ก็ยังไร้ผลโชคดีที่แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการตอบกลับ แต่เมื่อความคิดของเขาเปลี่ยนไปคำสั่งที่เขาสั่งจะได้รับการยอมรับและดำเนินการโดยวิญญาณมืดทันที
“เอาซอมบี้หน้าโง่นั่นกลับมา” ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของหยางเซี่ยวเฉินวิญญาณมืดก็ดำเนินการทันที
ซอมบี้ที่โงนเงนถูกวิญญาณมืดล่องหนยกขึ้นและลอยอย่างลึกลับในอากาศจากนั้นก็ "บิน" จนมาถึงวิลล่า
"มัดมันเร็ว" หยางเซี่ยวเฉินตะโกนทันทีที่เขาขอให้วิญญาณมืดจับซอมบี้ หลังจากสิ้นเสียงของเขา โซ่เหล็กก็พุ่งออกไปล้อมรอบซอมบี้ มัดมือและเท้าของมันไว้ไม่ให้ขยับได้
มันพยายามดิ้นรนอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายก็สูญเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้น ปากที่ไม่มีปิดกั้นของมันยังคงเปิดและปิดอย่างลนลาน
ในเวลานี้หยางเซี่ยวเฉินชี้ไปที่ซอมบี้ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้บนพื้นและตะโกนว่า "เฮ้ เจ้าตัวชั่วร้ายเอาอาวุธวิเศษของฉันไปกิน กุญแจผนึกศพ!"
“นี้มันเวลาอะไรแล้ว เลิกเล่นเถอะ” หยูเชียนต้องการที่จะปลดโซ่เพื่อทำให้ไอ้สารเลวนี้ตกใจสักหน่อย
“โอเค เลิกเล่นแล้วๆ” หยางเซี่ยวเฉินสวมถุงมือที่เตรียมไว้ด้วยรอยยิ้ม "ฉันต้องการให้นายใช้มีดช่วยด้วยนะ อืม จะเริ่มตรงไหนดี ตาหรือหู?"
………………
กลุ่มควันสีดำสูงถึง 100 เมตรลอยขึ้นจากจัตุรัสเฉาหยาง ย้อมท้องฟ้าสีเหลืองอ่อนของโดมให้กลายเป็นสีดำสนิท มันมาจากกองภูเขาซากศพที่ถูกเผา
หลังจากหายนะก็ต้องระวังเกิดการโรคระบาดใหญ่ตามมา เพื่อหลีกเลี่ยงโรคระบาดให้มากที่สุด ศพทั้งหมดจะต้องถูกเผา แม้ว่ามันจะดูไร้มนุษยธรรมอยู่บ้าง
แต่การเผาให้เป็นเถ้าถ่านก็ยังดีกว่าถูกซอมบี้กิน
จ้าวเจียงไม่กังวลเลยว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะดึงดูดซอมบี้จำนวนมากหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะดึงดูดซอมบี้ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อสู้ตายขณะที่กำลังใจและเสบียงยังมีอยู่เพียงพอ
เมื่อมองไปที่เหลียงหยวนโจวซึ่งสวมชุดโรงพยาบาล นำข่าวร้ายมาให้จ้าวเจียงก็ถอนหายใจเล็กน้อยและถามอีกครั้งว่า "ไม่มีผู้รอดชีวิตที่ฐานบัญชาการป้องกันภัยการโจมตีทางอากาศเลยใช่หรือไม่"
"ครับท่าน ผู้พันจ้าวตอนนี้คุณเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในเขตหยวนเจียง" เหลียวหยวนโจวไม่ได้พูดคำว่า "ชั่วคราว" ในเมื่อมีโดมปริศนาอยู่ด้านบนใครจะรู้ว่าทุกคนจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน
จ้าวเจียงคิดในใจหมายความว่าเขาสามารถสั่งการกองกำลังของตัวเองในขณะนี้ได้จนกว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะกลับคืนมา
“การเผาศพแบบนี้ ควันจะทำให้ติดคนปกติติดเชื้อหรือทำให้นกกลายพันธุ์เหมือนในหนังไหม” จ้าวเจียงถาม
เหลียวหยวนโจวไม่ตอบและมองไปที่หมอที่ถูกเขาช่วยออกมาจากโรงพยาบาลหมายเลจหนึ่ง หมอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดด้วยความมั่นใจว่า
"การติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสล้วนมีความเฉพาะเจาะจง ตอนนี้เราไม่รู้ว่าโรคติดเชื้อนี้ที่เปลี่ยนคนปกติให้กลายเป็นซอมบี้ได้อย่างไร”
“แต่แทบการติดเชื้อนี้ไปที่นก แมลง หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆเลย”
"แน่ใจนะ?"
"แน่นอนว่าระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาทสัมผัส และระบบสั่งการในสิ่งมีชีวิตต่างๆ มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่ากลไกของไวรัสจะเป็นอย่างไร ไวรัสชนิดนี้ไม่น่าจะมีความสามารถในการแพร่เชื้อในสัตว์อื่นได้แต่สัตว์เหล่านั้นอาจกลายเป็นพาหะนำโรคได้”
“พูดได้ว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการติดเชื้อ” คุณหมอกล่าวอย่างมั่นใจ
จ้าวเจียงพยักหน้าอย่างมีความสุข หากหนูและนกทั้งหมดในเมืองกลายเป็นซอมบี้หนูและซอมบี้นก กองพลที่ 258 จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในการต่อสู้ที่เลวร้ายนี้
“พันเอกจ้าวฉันคิดว่าแผนการรบของเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน” เหลียวหยวนโจว พูดเบา ๆ
จ้าวเจียงขมวดคิ้วและมองไปที่เหลียวหยวนโจวด้วยความไม่พอใจอย่างมาก แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นหลานชายของนายกเทศมนตรี และอยากทำความดีความชอบบ้างแต่ก็ควรดูที่จังหวะและโอกาสด้วย
อย่างตอนนี้นายกเทศมนตรีเหลียวได้สละชีวิตเพื่อประเทศไป เหลียวหยวนโจวเพิ่งมาถึงพื้นที่ในการปกครองของเขาไม่นาน ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของแผนการรบแล้ว
แต่เหลียวหยวนโจวไม่ได้สังเกตุเห็นสีหน้าของเขาและพูดต่อ "หากเราสามารถติดต่อโลกภายนอกและขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกได้ นี่ก็จะเป็นแค่โรคซาร์สขนาดใหญ่เท่านั้น”
“แต่ตอนนี้กองทัพถูกโดดเดี่ยวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้พันจ้าวนี่คือสงคราม”
“ไม่ใช่แค่สงครามระหว่างเรากับซอมบี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามระหว่างผู้คนในหยวนเจียงกับไวรัส สงครามกับสิ่งแวดล้อมและสงครามกับความโกลาหล หากเราไม่วางแผนอย่างครอบคลุมแต่เนิ่น ๆ เราจะล้มเหลวอย่างแน่นอน” เหลียวหยวนโจวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
"สงครามกับสภาพแวดล้อมและความโกลาหล?" จ้าวเจียงไม่พอใจกับคนรุ่นที่สองอย่างเหลียวหยวนโจวอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ใช่คนหยิ่งผยองเขายังต้องรับฟังความคิดเห็นที่ถูกต้อง
“ครับท่าน ไม่มีอะไรเข้ามาได้ ไม่มีอะไรออกไปได้ ถ้ามันนานเกินไปเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพืชในบริเวณแม่น้ำหยวยเจียงจะยังสามารถสังเคราะห์แสงได้ต่อไปหรือไม่”
“ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เมืองกำลังวุ่นวาย หากฝูงชนไม่สามารถรวมตัวเพื่อหลบภัยกันได้ เราก็ไม่สามารถรวมคลื่นซอมบี้ให้มาอยู่จุดเดียวและระดมพลังยิงเพื่อกำจัดซอมบี้ทั้งหมดได้”
“จำนวนซอมบี้จะเพิ่มขึ้นดั่งบอลหิมะอย่างแน่นอน ในเวลานั้นเมื่อทุกคนไม่สามารถหลบหนีและไม่มีส่วนร่วมในการผลิตได้ ระบบสาธารณูปโภคในเมืองเช่น น้ำประปา ไฟฟ้า การคมนาคมจะพังทลายหมด”
“อาหารและน้ำดื่มจะขาดแคลน ถึงตอนนั้นเราจะไม่สามารถจัดการเมืองนี้ได้อีกต่อไปและทุกคนจะทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น”
จ้าวเจียงตกตะลึงเขาเป็นทหารอาชีพและความสามารถทางทหารของเขาไม่มีที่ติอย่างแน่นอน แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดการเมืองในระดับมหภาค
บางทีเขาอาจใช้ความรู้ทางทหารของเขาเพื่อต่อสู้กับซอมบี้ได้ แต่ยังไงซะเมืองที่ไม่เป็นระเบียบและไม่มีการจัดการ แม้ว่าจะไม่มีซอมบี้มันก็ยังเป็นสถานที่ที่อันตรายอยู่ดี
"ผู้อำนวยการเหลียว ฉันไม่มีเวลาจัดการปัญหานั้นตอนนี้ คุณอยู่กับนายกเทศมนตรีเหลียวตลอดเวลา คุณน่าจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม? จ้าวเจียงถาม
"ผมยินดีที่ได้ช่วยเหลือครับท่าน" เหลียวหยวนโจวลดหน้าผากลงเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
"ยังไงก็ตาม ผมยังต้องนำกองตำรวจติดอาวุธที่นำโดยเกิงจี้ปิงที่เหลือมาช่วยด้วย ผมหวังว่าพันเอกจ้าวจะไม่ยุบพวกเขาและจัดระเบียบใหม่ก่อนที่จะขยายกองทัพอีกครั้ง”
“ให้ผมใช้พวกเขาจัดตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานงาน”
เมื่อไหร่กันที่ฉันบอกว่าจะขยายกองทัพจ้าวเจียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
การพังทลายของสถานการณ์ในหยวนเจียง ไม่สามารถควบคุมได้โดยคนสามหรือสี่พันคนจากกองพล 258 เขาต้องเปิดรับสมัครทหารใหม่และการสรรหากองหนุนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
"ใด้ " จ้าวเจียงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าเห็นด้วย
เหลียวหยวนโจวกำลังจะขอบคุณเขา แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขามองไปทางทิศตะวันตกและเห็นเงาดำที่มองไม่ชัดอยู่ไกลๆ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องดูอีกครั้ง แต่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
บริเวณเหลียวหยวนโจวมองไป มีสิ่งชีวิตที่มีรูปร่างผิดปกติซึ่งคลุมด้วยเสื้อคลุมหนาหดตัวอยู่ในเงามืดของมุมห้อง
เล็บยาวสิบเล็บที่คมราวกับมีดครูดกับพื้นทั้งสองมือทิ้งร่องรอยขีดข่วนลึกสองเซนติเมตรไว้บนพื้นกระเบื้อง
หลังจากขีดข่วนเป็นลายที่ยุ่งเหยิง เล็บยาวก็ยกหมวกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าธรรมดาๆหน้าหนึ่ง มันคือหลีจินคุ้ยที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการช่วยเหลือจากเหลียวหยวนโจวนั่นเอง!
“เฮ้ เฮ้ ว่ากันว่าตีคนหนุ่มนั้นดีกว่าตีคนแก่ ฉันไม่คิดว่าจะต้องมาจัดการกับคนหนุ่มหลังจากกินคนแก่เลยนะเนี้ย”
หลีจินคุ้ยยิ้มอย่างน่ากลัวขณะเอามือแตะใบหน้า มองเห็นความผิดปกติบางอย่างของเขา
“ไม่พอ ยังไม่พอ ต้องกินมากกว่านี้ ถึงจะทำให้ฉันแปลงร่างเป็นคนปกติได้ ถึงตอนนั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า ๆๆๆๆ”
ดวงตาสีแดงของหลีจินคุ้ยจ้องมองไปยังทิศทางของจัตุรัสเฉาหยางซึ่งเป็นคลังอาหารของเขา หากปราศจากการดิ้นรนของเหลียวเสีย คนเหล่านี้คงจะมาช่วยเขารวบรวมอาหารแน่นอน