บทที่ 202: หวงเยว่โกหก
บัดนี้สีหน้าของหวงเยว่เปลี่ยนเป็นเหยเกเพราะความเจ็บปวดจากการที่นางถูกหลงเหยาจู่โจมแบบกะทันหัน ทำให้ตัวนางเสียหลักทำอาหารในมือกระเด็นหกใส่ศีรษะของตัวเอง จากนั้นร่างกายของนางก็อยู่ในสภาพเละเทะไปทั้งตัว
หลังจากที่หลงเหยาพูดจบ เขาก็รีบวิ่งกลับไปยืนอยู่ด้านข้างหยินชางพร้อมกับจับมือของเขาไว้
“ไอ้เด็กเวร! เจ้าบังอาจมาหลอกข้า!”
หงส์สาวโมโหมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง นางคว้าเนื้อออกจากหัวแล้วขว้างลงพื้นตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง ในขณะที่นางพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อระงับความโกรธของตัวเอง
ตอนนี้ผมของหญิงสาวถูกปกคลุมด้วยคราบน้ำมันเหนียว แต่นางก็ต้องเก็บอาหารทั้งหมดจากบนพื้นและนำมันกลับบ้านไปเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครบังเอิญเก็บมันไปกิน รวมถึงไม่ให้ใครรู้ว่าอาหารนั้นเป็นของใคร แล้วสาวมาถึงตัวนางเอง
หวงเยว่รู้สึกโกรธมากที่แผนของตนเองไม่สำเร็จ แถมยังโดนชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมามองด้วยสายตาแปลก ๆ อีก หลังจากกลับมาถึงบ้าน นางก็รีบฝังอาหารไว้ใต้ต้นไม้ข้างบ้านลวก ๆ
ตอนนี้การวางยาพิษหลงเหยาเพื่อขับไล่หยินชางออกจากเผ่าไม่ได้ผลแล้ว
แต่โชคดีที่ไอ้เด็กนั่นเป็นใบ้ ถ้าถึงฤดูหนาวเมื่อไหร่ล่ะก็… ภารกิจของนางก็จะเสร็จสิ้น
...
ในเวลาเดียวกัน หลงโม่กับหูเจียวเจียวมาช่วยสร้างบ้านหินเป็นเวลาครึ่งวัน จากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลือไปทำงานของตัวเอง
เมื่อถึงตอนเที่ยง จิ้งจอกสาวก็มุ่งหน้ากลับบ้านโดยที่เธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะหาปุ๋ยให้คนในเผ่าเอาไปโปรยบนทุ่งหญ้าเพิ่ม
สิ่งที่เธอให้คนนำไปโปรยที่ทุ่งหญ้าครั้งล่าสุดคือปุ๋ย แม้ว่าบริเวณทุ่งเลี้ยงกระต่ายจะมีเพียงหญ้า แต่ปุ๋ยก็จะช่วยให้พวกมันเติบโตได้เร็วขึ้น อีกทั้งลำต้นจะขยายใหญ่ขึ้นด้วย
แต่หญิงสาวไม่รู้ว่าขนาดพื้นที่ของทุ่งหญ้าใหญ่แค่ไหน เพราะวันนั้นเธอให้คนอื่นโปรยปุ๋ยให้ วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะเอาปุ๋ยไปที่ทุ่งหญ้าและดำเนินการเรื่องการสร้างสะพาน
เดิมทีเธอสามารถหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้วนำปุ๋ยออกจากมิติได้แล้ว แต่พอคิดว่าหยินชางอาจไม่ชินกับการอาศัยอยู่ในบ้าน เธอจึงเลือกที่จะแวะไปหาเขาก่อน
เมื่อหูเจียวเจียวเดินทางกลับถึงบ้าน มีเพียงหยินชางกับหลงเหยาที่อยู่บ้านเท่านั้น ในขณะที่เด็กคนอื่นออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว
ยามนี้เจ้าตัวเล็กกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนม้านั่งหินตัวเล็กในลานบ้าน โดยที่ท้องของเขาเบียดกับม้านั่ง ส่วนมือและเท้าห้อยต่องแต่งแบบคนหมดแรง แถมใบหน้ายังดูบึ้งตึงอีกด้วย
บอกตามตรงว่าภาพนั้นไม่ต่างจากพยูนเกยตื้นเลย…
อาจเป็นเพราะคนตัวเล็กอารมณ์ไม่ดี เขามังกรกับหางจึงโผล่ออกมาจนหมด และหางก็ห้อยลงมาด้านหลังก้นของเขา
ทางด้านหยินชางกำลังยืนอยู่ไม่ไกลเพื่อคอยป้องกันไม่ให้เจ้าเด็กจอมซนหนีไปป่วนที่ไหนอีก
ประกอบกับเขากังวลว่าหวงเยว่จะเข้ามายุ่งกับหลงเหยาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงคอยจับตาดูเด็กน้อยคนนี้ไว้ เขามั่นใจว่าผู้หญิงสารเลวนั่นจะต้องหาทางเข้าใกล้หลงเหยาโดยมีเจตนาร้ายแน่นอน
“ทำไมพวกเจ้าอยู่บ้านกันแค่ 2 คนล่ะ แล้วพวกอวี้เอ๋อไปไหนกัน?”
หูเจียวเจียวที่กลับมาแล้วเห็นแค่เด็ก 2 คนนี้รู้สึกสงสัยมาก ปกติเด็กตระกูลหลง 5 คนตัวติดกันอย่างกับตังเม พวกเขาแทบไม่เคยแยกจากกันมาก่อน
แล้วทำไมหลงเหยาต้องทำหน้าบึ้งตึงด้วย?
เมื่อเด็กน้อยเห็นแม่จิ้งจอก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะทำคอตกพลางตอบว่า
“พวกพี่ ๆ ไม่ชอบเสี่ยวเหยาเลยไม่พาเสี่ยวเหยาออกไปเล่นด้วย”
หูเจียวเจียวได้ยินคำตอบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอเข้าไปหยิกแก้มอ้วน ๆ ของลูกชายพร้อมกับพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปเล่นคนเดียวก็ได้นี่ ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นกับลูก ๆ ของป้าโหวเซียงล่ะ?”
คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้หลงเหยายิ่งรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้น
“ท่านพี่ไม่ให้เสี่ยวเหยาออกไปเล่น” เขาทำหน้ามุ่ยและยู่ปากบ่นพึมพำ
“ท่านพี่?”
จิ้งจอกสาวสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลงเหยา บวกกับคำเรียกหยินชางที่ไม่เหมือนเดิม เธอจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทำไมจู่ ๆ เจ้าตัวแสบถึงสนิทสนมกับเด็กหนุ่มมากขึ้น เมื่อวานเขายังเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายอยู่เลย แต่วันนี้เขากลับเรียกหยินชางว่าท่านพี่เสียแล้ว
แม่จิ้งจอกมองไปที่เด็กตัวโตอย่างสงสัย ก่อนจะพบว่าสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก
“หยินชาง มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเปล่า?” หูเจียวเจียวถามด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวจำได้ว่าก่อนออกไปข้างนอกเขายังดูปกติดีอยู่เลย แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าเขาจะกลับมามีใบหน้าที่เศร้าหมองเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก
หยินชางส่ายหัวเบา ๆ
สิ่งที่เด็กชายคิดอยู่ในใจคือจะบอกหูเจียวเจียวเกี่ยวกับปัญหาของหวงเยว่อย่างไรดี
เขากังวลว่าเผ่านี้จะถูกฝูงภูตหมาป่าโจมตีเช่นเดียวกับเผ่าที่ตนเคยอาศัยอยู่
แต่เด็กหนุ่มพูดไม่ได้ ที่ผ่านมาเขาเคยสื่อสารกับพี่ชายของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาไม่เคยพยายามสื่อสารกับภูตคนอื่นมาก่อน...
ทางด้านจิ้งจอกสาวขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่าเธอจะมองหยินชางอย่างไร เขาก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจ
ท่าทางของอีกฝ่ายบ่งบอกว่ากำลังคิดหนัก
เด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
“เหยาเอ๋อ เจ้าอยู่บ้านตลอดเลยหรือ?” แม่จิ้งจอกถามเสียงเบา
ดวงตาของหลงเหยาสั่นไหวอยู่เสี้ยววินาที แล้วเขาก็พยายามซ่อนความจริงที่ว่าตนเองพาพี่ชายคนใหม่ออกไปขโมยผลไม้ไว้
จากนั้นเจ้าเด็กน้อยก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ท่านพี่กับเสี่ยวเหยากำลังจะออกไปเล่น แต่เราได้พบกับหวงเยว่ระหว่างทาง นางจะเอาอาหารมาให้เสี่ยวเหยากิน”
หวงเยว่? นางจะใจดีเอาอาหารมาให้เหยาเอ๋อทำไมกัน?
คิ้วเรียวสวยของหูเจียวเจียวขมวดแน่นทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีหงส์สาวมาเกี่ยวข้อง เธอก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน
หลังจากที่หลงเหยาพูดจบ เขาก็กระโดดลงจากม้านั่งหินแล้ววิ่งไปกอดขาของแม่ผู้เป็นที่รัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบ ๆ
“แต่เสี่ยวเหยาไม่กินอาหารที่นางเอามาให้ เสี่ยวเหยาเชื่อฟังท่านแม่~”
จากนั้นเจ้าลูกมังกรน้อยก็ยกมือกุมแก้มพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนขอคำชม
นั่นทำให้หูเจียวเจียวหลุดออกจากความคิดของตัวเองและเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายอย่างนุ่มนวล
“เหยาเอ๋อเก่งมาก สมแล้วที่เป็นลูกของแม่”
ทันทีที่เธอพูดจบ คนตัวเล็กก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าเธอ
“ท่านแม่ มีรางวัลไหม~?”
คนเป็นแม่ถึงกับมีสีหน้าตกตะลึง
เมื่อแม่จิ้งจอกคิดว่าหลงเหยาเคยกินของว่างในระหว่างวัน อีกทั้งเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ดังนั้นเธอจึงนำแตงกวาที่กินแล้วสดชื่นออกมาจากมิติให้เขา
โชคดีที่ลูกชายคนสุดท้องไม่ค่อยเลือกกินอาหาร เขามีความสุขทุกครั้งยามที่ได้ของกินเป็นรางวัล
เจ้าเด็กน้อยคว้าแตงกวาไปอย่างตื่นเต้น แล้ววิ่งกลับมานั่งบนม้านั่งหินเพื่อกัดแตงกวากินเสียงดังกร้วม
ต่อมา หูเจียวเจียวหันไปมองหยินชางพร้อมกับยื่นแตงกวาให้เขา “ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยดูแลเหยาเอ๋อ”
หญิงสาวเดาว่าลูกอีก 4 คนของเธอได้ผลักภาระให้หยินชางช่วยดูแลหลงเหยาในขณะที่พวกเขาออกไปทำงาน
เด็กหนุ่มอยากจะโบกมือปฏิเสธอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหลงเหยากินแตงกวาอย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงยอมรับมันมาง่าย ๆ
“เหยาเอ๋อ นอกจากหวงเยว่ให้เนื้อเจ้าแล้ว นางได้พูดอะไรกับเจ้าอีกไหม?” แม่จิ้งจอกหันกลับไปถามเจ้าตัวเล็ก
“ไม่ นางแค่ล่อลวงเสี่ยวเหยาให้กินเนื้อที่นางเอามาให้ เสี่ยวเหยาไม่ยอมถูกหลอกหรอก”
ขณะนี้หลงเหยากินแตงกวาจนแก้มปูด เสียงของเขาเลยยิ่งอู้อี้ขึ้น ในขณะที่เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
นับตั้งแต่เด็กน้อยสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ความคิดความอ่านของเขาก็เติบโตขึ้นเช่นกัน เขารู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือบทเรียนอันแสนเจ็บปวดยามที่ตนเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า ณ ทุ่งหญ้าแห้งแล้ง
“เหยาเอ๋อเก่งมาก” หูเจียวเจียวเอ่ยปากชมเชยคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองหยินชางอีกครั้ง
เมื่อเธอนึกถึงปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มในตอนที่หวงเยว่ปรากฏตัวขึ้นครั้งก่อน เธอเดาว่าสีหน้าหนักใจของเขาในวันนี้น่าจะเป็นเพราะนาง
เธอจำได้ว่าตอนนั้นมันมีทั้งความโกรธและความเกลียดชังฉายอยู่ในดวงตาสีดำสนิทของหยินชาง บวกกับที่เขาจงใจพุ่งชนหงส์สาวจนล้มลง
มันจะต้องมีสาเหตุที่ทำให้เด็กคนนี้เกลียดหวงเยว่ทั้งที่เพิ่งเคยพบหน้ากันแน่ ๆ
พวกเขารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?
“หยินชาง เจ้าเคยพบหวงเยว่มาก่อนหรือไม่?” พอหูเจียวเจียวคิดถึงจุดนี้ เธอก็ตัดสินใจถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ
เมื่อหยินชางได้ยินคำถามนั้น ดวงตาอันมืดมิดของเขาก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ
นางรู้ได้ยังไง?
จากนั้นเขาก็เม้มปากและพยักหน้ารับหนักแน่น
“เจ้าพบนางที่ไหน?” หญิงสาวถามก่อนจะคิดได้ว่าเด็กหนุ่มคงไม่สามารถตอบได้ เธอจึงถามต่อว่า “ใช่เผ่าที่เจ้าเคยอาศัยอยู่มาก่อนหรือไม่?”
ยิ่งจิ้งจอกสาวถามคำถามต่อไป ความประหลาดใจในดวงตาของหยินชางก็ยิ่งฉายชัดขึ้น
เขาพยักหน้าตอบรับระรัว
ทันทีที่หูเจียวเจียวได้รับคำยืนยันจากเด็กหนุ่มตรงหน้า เธอก็ขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้ยังไง...”
หวงเยว่เป็นภูตเผ่าพันธุ์หงส์ไฟ ตามปกติภูตหงส์ไฟคิดว่าตัวเองสูงส่งเหนือใคร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้จักกับพี่น้องตระกูลหยินมาตั้งแต่เกิด...
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ หวงเยว่ไปอยู่ในเผ่าที่หยินชางอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ตอนที่หงส์สาวมาเยือนเผ่าแห่งนี้พร้อมกับพวกหลงโม่ นางบอกหัวหน้าเผ่าว่าเผ่าของนางถูกโจมตี นางจึงหลบหนีเข้าป่า และนางก็จำอดีตของตัวเองไม่ได้
แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่หยินชางบอก หวงเยว่ต้องโกหกแน่ ๆ
แล้วผู้หญิงที่ความจำเสื่อมจะโกหกไปเพื่ออะไร?