ตอนที่ 15 มื้อเช้าอันแสนสุข
“เอาหล่ะ!! รีบเก็บของ!”
“ไม่ต้องเอาพวกของไร้สาระติดตัวไปหละ เอาไปแค่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้จำเป็นอีกเล็กน้อยพอ”
ก่อนรุ่งสางทีมนักล่าได้กระจายข่าวไปทั่วค่ายแห่งนี้ และเตรียมตัวอพยพ
ปัง ปัง ปัง
เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้น ก่อนที่สมาชิกทีมนักล่าจะเปิดประตูเข้ามาเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
“พวกเคราโลหิตกำลังมา เตรียมตัวอพยพไปยังทะเลสาบพระจันทร์”
สมาชิกทีมนักล่าพูดจบก็ออกไปทันที
มินโฮตื่นขึ้นมาพร้อมกับขนหมาป่าที่ห่มร่างกายเอาไว้ มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
“มันยังเช้าอยู่เลย….พวกมันยังไม่มาหรอก….”
มินโฮพูดออกมาอย่างงัวเงีย แต่กลับยิ้มออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“แต่ก็ตื่นได้แล้ว กินข้าวเช้าก่อน”
มู่เหลียงที่ตื่นแล้วก็พูดขึ้น
“อือ…เมื่อคืนนายนอนกี่โมง”
มินโฮถามด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียอยู่
เพราะเมื่อคืนนั้นเธอนอนหลับไปก่อน และก่อนที่เธอจะเผลอหลับไปมินโฮจำได้ว่าเห็นมู่เหลียงยังตื่นอยู่ และกำลังวาดอะไรบนพื้นข้างกองไฟ
เธออายเกินไปกว่าที่จะบอกให้มู่เหลียงเข้านอนพร้อมกับเธอ
“ก็ประมาณเที่ยงคืนได้”
มู่เหลียงตอบ ขณะกำลังคนน้ำซุปในหม้อสนาม
มื้อเช้าวันนี้เป็นซุปเนื้อตุ๋น
“หอมจัง”
มินโฮฟุตฟิตจมูกอยู่สองสามครั้งเพื่อดมกลิ่น
เด็กสาวลุกมาที่กองไฟ พร้อมด้วยแววตาสีฟ้าใสเป็นประกายมองไปยังหม้อที่กำลังเดือด
มินโฮขมวดคิ้วพร้อมกับแสดงสีหน้ารู้สึกผิด
“ต่อจากนี้เรื่องอาหารเช้าให้ฉันเป็นคนจัดการเถอะ”
“เอ้าทำไมหล่ะ?”
มู่เหลียงถามขึ้นอย่างตกใจ
“นายหนะทำอาหารเยอะเกินไป….เราต้องประหยัดอาหารไว้กินวันหน้าด้วย”
มินโฮเท้าเอวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหม้อต้ม
“ไม่เป็นไร เนื้อยังเหลืออีกต้องเยอะ ฉันแบ่งเอาไว้แล้วมันพอสำหรับเราสองคนกินได้ 20 วัน”
มู่เหลียงตักซุปที่เต็มไปด้วยเนื้อใส่ถ้วยให้กับมินโฮ
เมื่อคืนเด็กสาวนั้นยืนกรานว่าจะกินแค่เนื้อตากแห้ง และเธอก็คิดว่านี้คงเรียกว่าอิ่มแล้วหลังจากกินไปแค่ เล็กน้อย
สำหรับเธอแล้วเนื้อตากแห้งที่กินเมื่อคืนก็เท่ากับอาหารสามมื้อได้
“ไม่ๆ มันเยอะเกินไป นายต้องเก็บไว้กินตอนเย็นด้วยสิ!”
มินโฮพูดขัดและไม่กล้ารับถ้วยซุปเนื้อตุ๋นมาจากมู่เหลียง
“งั้นมื้อเย็นเราจะกินเนื้อย่างกัน”
มู่เหลียงยิ้มพร้อมกับส่งถ้วยซุปใส่มือของมินโฮ
“อ้าา…..”
มินโฮทำอะไรไม่ได้ เธอจึงตักซุปเข้าปากทันทีโดยที่ไม่ทันระวัง ทำให้เธอนั้นอังปากและพ่นล้มหายใจหลายครั้งเพื่อคลายร้อนออก
“ระวังสิ มันร้อนนะ!”
มู่เหลียงเตือนก่อนที่จะเอาถ้วยของมินโฮมา และเป่าลมใสถ้วยซุป เพื่อลดความร้อนลง
มินโฮค่อยๆ ตักซุปขึ้นมากินอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เมื่อน้ำซุปอยู่ในปากมินโฮก็ได้รับรู้ถึงรสชาติแสนอร่อยของเนื้อ
“อร่อยจัง”
มินโฮรีบกลืนน้ำซุปลงไป -พร้อมกับทำตาพริมราวกับมีความสุข
รสชาติของเนื้อที่นุ่มและละลายทันทีที่โดนลิ้น น้ำซุปหอมเนื้อเข้มข้นชุ่มคอ
เด็กสาวกินซุปเนื้อตุ๋นจนรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และคิดถึงเรื่องเก่าๆ
“นานแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้กินน้ำซุปแบบนี้”
มินโฮพูดขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปาก ก่อนที่นัยน์ตาของเธอจะพร่ามัว
สมัยก่อนตอนที่พี่สาวเธอยังอยู่ด้วย พี่สาวของเธอมักจะทำซุปให้กินนานๆ ครั้ง
“ต่อจากนี้ไปเธอก็กินได้เท่าที่เธอต้องการเลยรู้ไหม..”
มู่เหลียงเอามือปาดน้ำตาน้อยๆ ของมินโฮที่กำลังไหล
มินโฮรีบส่ายหัวทันทีก่อนที่จะเม้มปากพูด
“มะ-ไม่ได้มันเปลืองเกินไป เรากินซุปแบบนี้ทุกวันไม่ได้!”
“เพราะเราต้องดื่มน้ำใช่ไหม?”
“ใช่”
มินโฮตอบกลับ
“ถ้าทำซุปบ่อยๆ เราก็ได้ทั้งดื่มน้ำและดื่มซุปอร่อยๆ ไปพร้อมกัน”
อยู่ๆ มู่เหลียงก็ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะถามว่า
“ไม่คิดว่ามันดีกว่างั้นหรอ?”
“ก็น่าจะใช่…ถ้าคิดแบบนั้น”
มินโฮก้มหน้าลงและครุ่นคิด และเอียงหัวไปมาราวกับว่าสิ่งนี้มันมีอะไรแปลกๆ
มู่เหลียงยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกวักมือเรียกมินโฮ
“เอ้าๆ งั้นดื่นซุปพวกนี้ก่อนเถอะ ถ้ามันเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“อื้อ!”
มินโฮลืมเรื่องพวกนั้นและดื่มซุปต่อ
ภายในและภายนอกกระท่อมแห่งนี้ราวกับโลกคนละใบกัน
แม้ว่าภายนอกนั้นจะโหดร้ายขนาดไหน แต่เวลานี้คือยามเช้าสบายๆ ของทั้งสองคนกับอาหารดีๆ สักมื้อ
ในขณะที่ทุกคนในค่ายรีบเก็บของเตรียมตัวอพยพ
“กินไม่ไหวแล้ว…”
มินโฮพูดขึ้นพร้อมกับถ้วยซุปที่ว่างเปล่า
เด็กสาวเลียริมฝีปากก่อนที่จะมองดูถ้วยซุปด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
เดิมทีมินโฮนั้นตั้งใจว่าจะเก็บครึ่งหนึ่งไว้สำหรับมื้อเย็น แต่ไม่คิดเลยว่าพอได้กินเข้าไปแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ และอยากกินมากขึ้นไปอีก
ขออีกคำ อีกคำ และขออีกสักคำจนในที่สุด…ก็หมดถ้วย
“เป็นยังไงกับความรู้สึกอิ่ม”
มู่เหลียงถามอย่างอ่อนโยน
“มันรู้สึกดีมาก แต่….มันสิ้นเปลืองเกินไป”
มินโฮพูดพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
มื้อนี้ของเธอเท่ากับการกินกิ้งก่าตากแห้ง 10 ตัว
“อย่าคิดมากเลย ปล่อยเรื่องหาอาหารเป็นหน้าที่ฉันเอง”
มู่เหลียงลุกขึ้นยืนและลูบหัวของมินโฮเบาๆ
เด็กน้อยคนนี้ช่วยชีวิตของเขาไว้ เขาจะไม่ปล่อยให้เธอลำบากอีก
“.......”
มินโฮหน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนที่จะอ้าปากค้าง และไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใด
มู่เหลียงเอามือขึ้นมาถูไปสองสามครั้งก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ
“เอาผ้าโพกหัวออกได้ไหม ฉันลูบหูกระต่ายไม่ถนัด”
“อะไร!! ฉ-ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ!!”
มินโฮหน้ามุ้ยทันที พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
เด็กสาวถอยออกไป และทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะแกะผ้าโพกหัวออก
มู่เหลียงเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเด็กสาวก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และรู้สึกเอ็นดูไม่น้อย
เมื่อเห็นว่ามู่เหลียงยิ้มให้ มินโฮเองก็หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กสาวหันหน้าหนีทันที และเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ฉะ-ฉันแค่ปล่อยหูออกมาเพื่อผึ่งลมแค่นั้นแหละ แต่ฉันไม่ให้นายจับหรอกน่ะ!”
“รู้แล้ว รู้แล้ว”
มู่เหลียงยิ้มอย่างฝืนๆ
“ฮึ่ม!!”
มินโฮนั้นกระแทกเสียงใส่เบาๆ
ก่อนที่เธอจะลืมความเขินอาย และถามเรื่องหนึ่งกับมู่เหลียงขึ้น
“วันนี้เราจะย้ายไปบนตัวเจ้าเต่าทมิฬเลยไหม?”
เด็กสาวนั้นอยากจะย้ายบ้านใหม่มากๆ และอยากไปอยู่บนบ้านเคลื่อนที่
“ไม่ต้องรีบย้ายก็ได้ เรายังไม่ได้สร้างอะไรบนนั้นเลย”
มู่เหลียงต้องการที่จะเพิ่มระดับให้เต่าทมิฬเป็นระดับ 3 ก่อน เพื่อที่จะทำให้ลานบนหลังของมันกว้างขึ้น จะได้สร้างที่อยู่ได้สบายขึ้น
“แล้วเราจะไปสร้างตอนไหนหล่ะ”
มินโฮกล่าวขึ้นด้วยแววตาที่กลมโต
“ก็ได้…ก็ได้ งั้นเราไปสร้างบ้านกันเถอะ”
มู่เหลียงลุกขึ้นและเดินออกไปหน้ากระท่อมไม้
“เดี๋ยว…แล้วพวกของในบ้านละ”
มินโฮคิดได้ว่ายังไม่ได้ขนของไปด้วย
แล้วตอนนี้ทุกคนในค่ายกำลังจะย้ายออก บ้านของเธออาจจะถูกขโมยของได้
“ไม่เป็นไร เดียวให้เสี่ยวไกเฝ้าเอาไว้”
มู่เหลียงชี้ไปยังมุมกระท่อม
ก่อนที่มินโฮจะหันตามไปมองจุดที่ชี้ และเห็นกิ้งก่าลำตัวยาวกว่าสองเมตรโผล่ออกมาราวกับผีสาง
เด็กสาวรู้สึกสบายใจขึ้นและพูดออกมา
“จะได้สบายใจขึ้นหน่อย”
ทั้งสองออกจากกระท่อมไม้ และเดินออกไปจากตัวค่าย เข้าไปยังดินแดนรกร้างของโลกที่โหดร้าย
เพราะเต่าทมิฬนั้นออกหาของกินเองไปทั่วพื้นที่รอบค่าย มันใช้ท่าหนามหินดันหนูให้ขึ้นมาจากรูแล้วดักกินพวกมัน