บทที่ 24 การช่วยผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเอง
หยางเซี่ยวเฉินยิ้มอย่างฝืนๆ นำบุหรี่ออกมาจุดสองมวนแล้วโยนมานหนึ่งไปให้หยูเชียน
หยูเชียนเลียนแบบการเคลื่อนไหวของหยางเซี่ยวเฉิน แต่กลับไม่ได้ดูดบุหรี่เข้าไปในปอดของเขา เขาทำแค่พ่นมันออกมาหลังจากที่สูบมันเข้าปากแล้ว
***ผู้แปล: สูบบุหรี่เป็นการทำร้ายสุขภาพนะน้องๆ
"นายกำลังสูบบารากุหรอ"
"ไม่แตกต่าง" หยูเชียนพ่นควันออกมาเพื่อบังใบหน้าของเขา ทำให้มองเห็นสีหน้าได้ยาก
“ในเมื่อนายได้ปลุกความสามารถของนายแล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นสหายกันอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม แต่ฉันต้องชี้แจงบางอย่างก่อน”
"พูดมาเลย"
“นายเป็นคนฉลาด นั่นก็เป็นเรื่องดี แต่เท่าที่ฉันรู้คนฉลาดส่วนใหญ่ไม่ชอบทำตามคำสั่ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของชีวิตตัวเอง อีกอย่างตอนนี้นายได้ปลุกพลังที่แข็งแกร่งแล้วนาย... หยูเชียนคำถามยังไม่จบ แต่ความหมายของมันนั้นชัดเจน
หยางเซี่ยวเฉินหัวเราะและพูดว่า "กุยแกฉลาดกว่าโจโฉ จูกัดเหลียงฉลาดกว่าเล่าปี่แต่ฉันก็ไม่ยักจะเห็นพวกเขาฆ่าเจ้านายและตั้งตัวเป็นผู้นำนะ คนฉลาดควรตระหนักถึงตำแหน่งของตัวเองเป็นอย่างดี"
"ตอนนี้ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำแน่นอนนายยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่"
"อย่าพึ่งโกรธ ฉันพูดความจริง เราทุกคนต่างก็ไร้ประสบการณ์”
"แต่ประสบการณ์สามารถสั่งสมได้ไม่ต้องกังวลฉันไม่ได้มีความคิดอื่น ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้วฉันจะไม่ทำตัวงี่เง่าแน่นอน"
หยางเซี่ยวเฉินดับบุหรี่ของเขาและพูดว่า " เอาแบบนี้ดีกว่าถ้ามันเกี่ยวกับผู้ปลุกพลังนายเป็นคนพูด แต่ถ้าเกี่ยวกับคนธรรมดาฉันจะเป็นคนตัดสินใจ"
"ฉันยังไงก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉันต้องการคือผู้ปลุกพลัง" หยูเชียนเลียนแบบหยางเซี่ยวเฉินเพื่อดับบุหรี่ในมือของเขาและถามว่า
"ทำไมนายถึงให้ความสำคัญกับคนธรรมดามากขนาดนี้"
หยางเซี่ยวเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "มีหลายเหตุผล อย่างเช่น พวกเขาช่วยบางเรื่องให้เราได้ บางทีพวกเขาอาจมีความรู้ระดับมืออาชีพบางอย่างในแบบที่เราต้องการ"
"แต่ท้ายที่สุดบางทีฉันอาจจะมีนิสัยแบบฮีโร่แค่นั้นก็ได้ มันไม่มีอะไรผิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและสนุกกับการเป็นฮีโร่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตราบใดที่ตัวเองไม่ต้องตกอยู่ในอันตราย”
“แล้วถ้าคนที่นายช่วยไว้ไม่สำนึกบุญคุณนายละ ถ้าพวกเขามักจะถ่วงรั้งนายไว้ นายจะจับพวกเขาไปเลี้ยงซอมบี้ได้หรอ” หยูเชียนหยอกล้ออย่างสนุกสนาน
“นั่นไม่จำเป็นต้องพูดเลย การจับกุมพวกเขาแล้วป้อนพวกมันให้กับซอมบี้จะถือว่าเป็นการเพิ่มทุนให้ศัตรู” เดิมทีหยางเซี่ยวเฉินต้องการจะบอกว่า เขาจะจับพวกนั้นเพื่อไปเป็นตัวทดลอง แต่เมื่อคิดถึงอดีตอันน่าเศร้าของหยูเชียนเขาก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่ ความสามารถของนายคืออะไร?” หยูเชียนถามแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องต้องห้ามเล็กน้อยที่จะถามความสามารถของคนอื่นตรงๆ แต่การรู้ความสามารถของเพื่อนร่วมทีมเป็นวิธีเดียวที่จะร่วมมือกันต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น
หลังจากถามเขาหยูเชียนจึงอธิบายก่อน "ความสามารถของฉันคือควบคุมโลหะ นายรู้เรื่องการควบคุมแล้ว นายเคยถามฉันมาก่อนว่าทำไมการหยุดกระสุนถึงง่ายแต่การควบคุมกระสุนนั้นยาก "
"ความสามารถในการควบคุมโลหะของฉันถูกจำกัดโดยสองอย่าง อย่างแรกคือคุณภาพ ยิ่งคุณภาพมาก ก็ยิ่งยากสำหรับฉัน และประการที่สอง คือขนาด ยิ่งขนาดเล็กลงฉันยิ่งต้องใช้สมาธิมากขึ้น ตามปกติแล้ว มันก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น ถ้าวัตถุนั้นเป็นโลหะชิ้นเล็กๆที่เดินทางด้วยความเร็วสูงฉันจะยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม"
"อาจจะเพราะพลังงานจลน์สูง" หยางเซี่ยวเฉินตกตะลึงจากนั้นเขาก็งงงวย
"ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด กระสุนมีขนาดไม่ใหญ่นักและความเร็วของมันก็เร็วมาก แล้วนายหยุดมันได้ยังไงทั้งยังหยุดได้มากขนาดนั้นได้อย่างไร" ?”
หยูเชียนยิ้ม"เพราะฉันไม่ต้องสนใจพวกมัน นายไม่เห็นหรือว่ากระสุนลอยอยู่ไม่ไกลจากเราทุกครั้ง? ถ้าปฏิกิริยาของฉันสามารถไล่ตามความเร็วของมันได้ ทำไมฉันถึงต้องปล่อยให้มันเข้ามาใกล้ๆ ฉันทำแค่วางสิ่งกีดขวางไว้รอบๆ เพื่อขับไล่โลหะที่แปลกปลอมเข้ามาและมันจะยังช่วยให้ฉันสูญเสียพลังไม่มากอีกด้วย"
"ฟังดูเหมือนมีสนามแม่เหล็กรอบตัวนาย?" หยางเซี่ยวเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
"ถูกต้อง" หยูเชียนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "ฉันค้นพบวิธีการใช้งานนี้โดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว นายเคยบอกให้ฉันใช้ความสามารถไปควบคุมวิถีกระสุนมาก่อน ซึ่งทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าความสามารถบางอย่างอาจไม่ไร้ประโยชน์เสมอไป แค่ฉันยังไม่พบวิธีที่ถูกต้องในการใช้งานนั้น"
หยางเซี่ยวเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจพูดเกี่ยวกับความสามารถของเขา เนื่องจากหยูเชียนเปิดเผยและซื่อสัตย์ เขาจึงไม่อยากกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคด
"ความสามารถของฉัน... ฉันไม่รู้จะพูดยังไง ดี หลังจากพังโซ่ฉันเห็นยักษ์สีดำสนิท มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ดูเหมือนว่ามันจะแบกฉันวิ่งไปตลอดทาง แถมยังหยิบพ่อของฉันจากกลางทางขึ้นมาด้วย ตอนนั้นนายไม่เห็นเหรอ”
“ฉันไม่เห็นอะไรนะ ตอนแรกฉันคิดว่าความสามารถของนายคือการบินหรือไม่ก็เทเลไคเนซิสซะอีก”
หยูเชียนขมวดคิ้วคิดถึงความสามารถแปลกๆ ของหยางเซี่ยวเฉิน
“มันให้ความรู้สึกเหมือนร่างแยก แต่ความสามารถด้านการเคลื่อนไหวนั้นยอดเยี่ยมมาก มันสามารถบรรทุกคนสองคนแล้ววิ่งในระยะทางที่ไกลขนาดนั้นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ คิดว่าประสิทธิภาพด้านการต่อสู้ของมันก็น่าจะไม่แย่” หยูเชียนกล่าว
หยางเซี่ยวเฉินเห็นด้วย "ถ้าไม่มีใครเห็น ความสามารถของฉันก็น่าจะแข็งแกร่งอย่างมาก"
"สั่งการมันได้ไหม" หยูเชียนถามอีกครั้ง
หยางเซี่ยวเฉินพยักหน้าและพูดว่า: "ได้ มันรู้สึกเหมือนว่าทันเป็นร่างกายที่มีชีวิตอิสระ แต่ทันไม่มีความรู้สึกกลัวหรือลังเล แทนที่จะต้องให้ฉันควบคุมมันด้วยตัวเองมันจะทำตามคำสั่งเองทันทีตราบเท่าที่ฉันมีคำสั่งในความคิด มันแปลกมากหลังจากความสามารถตื่นขึ้น ฉันก็สามารถเข้าใจข้อมูลมากมายของมันได้เอง อีกทั้งยังสามารถใช้งานมันได้ตามสัญชาตญาณเลยด้วย"
“ไม่แปลกใจเลย ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ความสามารถนี้เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มันมีอยู่ในตัวนายมาตั้งแต่กำเนิด แต่จะใช้มันได้ก็ต่อเมื่อเจตจำนงของโลกปลดล็อคความสามารถของนายเท่านั้น”
"จริงหรือ" หยางเซี่ยวเปล่งเสียงออกทางจมูกอย่างไม่เต็มใจที่จะดำเนินการต่อหัวข้อนี้ต่อ
เขาลุกขึ้นและพูดว่า "ไปกันเถอะ กินอะไรกันก่อน ฉันจะเรียกมันมาเมื่อฉันมีแรง แล้วทำการวิจัยและฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ความสามารถของฉัน "
หยูเชียนยอมรับว่าการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานและข้อจำกัดของความสามารถของเขาเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้
เมื่อผลักประตูไม้สีแดงเข้มออกไปหยางเซี่ยวเฉินและหยูเชียนเดินลงบันไดวนโดยไม่เร่งรีบ จากบันไดจะมองเห็นบ้านทั้งสี่ชั้น โดยตกแต่งในรูปแบบของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งตามแนวชายฝั่งช่วงปี 1990 โดยมีบันไดวนเป็นศูนย์กลาง เมื่อยืนบนบันไดแล้วยื่นหัวออกไปคุณจะมองเห็นห้องนั่งเล่นที่ชั้น 1 ได้ชัดเจน
"บ้านหลังนี้ใหญ่มากแต่ของตกแต่งก็แย่มากกัน" หยางเซี่ยวเฉินบ่น
คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวน่าจะไม่มีเงินบูรณะมันเลยสักครั้ง
เดินไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง กลิ่นหอมของผัดผักโชยมาจากห้องอาหารทางด้านขวาของห้องนั่งเล่น ชวนให้น้ำลายสอ มีจานอาหารหลายจานวางบนโต๊ะกลมขนาดใหญ่
ในห้องนั่งเล่นหวางลี่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา ถัดจากเขาเป็นหมอในเสื้อคลุมสีขาวที่มีรองเท้าเพียงข้างเดียว ทีวีเปิดอยู่แต่มีเพียงเสียงแซกๆจากหน้าจอสีขาวดำ
ครอบครัวสามคนนั่งยองๆอยู่ข้างทางเข้า พวกเขาตัวสั่นราวกับลูกไก่และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา
“ทีวีไม่มีสัญญาณเหรอ?”
หยางเซี่ยวเฉินนั่งสบายๆ ถัดจากหวางลี่และชำเลืองมองเขา "โย่ นั้นมันบุหรี่ที่ดีที่สุดในโลกแถมยังจำกัดการขายอยู่แค่ไม่กี่ร้อยซอง?"
หวางลี่ยิ้มอย่างสุภาพและส่งบุหรี่ให้เขา เขาได้เห็นพลังวิเศษของหยางเซี่ยวเฉินแล้วด้วยตาตัวเอง เขาไม่กล้าที่จะรุกรานคนที่มีความสามารถเช่นนี้ได้ เขายังอยากอยู่ต่ออีกหลายสิบปี ยังไม่อยากถูกทิ้งให้ไปตายข้างถนน ไม่ต้องพูดถึงว่าบนถนนในเมืองตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยซอมบี้ มันเป็นการดีกว่าที่จะติดตามหยางเซี่ยวเฉินและหยูเชียนเพื่อรักษาชีวิตของเขา
"ใช่ มันเป็นเหมือนกันทุกช่อง ไม่มีสัญญาณ" หวางลี่ถอนหายใจและพูดอย่างมีเหตุผล
“ในเวลานี้ควรจะมีการออกประกาศฉุกเฉินเพื่อเตือนประชาชนให้อยู่บ้านและไม่ออกไปรอการช่วยเหลือ แต่มันกลับไม่มีข่าวทางทีวีหรือวิทยุเลย นี้มันแตกต่างจากการทำงานของนายกเทศมนตรีเหลียวอย่างสิ้นเชิง”
หยางเซี่ยวเฉินหยิบบุหรี่ แต่โบกมือเพื่อหลีกเลี่ยงมือของหวางลี่ที่ยื่นไฟแช็กมา เขาเพิ่งสูบเสร็จไปหนึ่งมวน ตอนนี้เขายังไม่อยากสูบมวนที่สองอีก หยางเซี่ยวเฉินอยากจะทำตามท่าทางของพ่อตอนที่อยู่บ้านและวางมันไว้หลังหู
แต่ลองคิดดูสักนิด การกระทำนี้ค่อนข้างไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสไตล์ของเขา ดังนั้นเขาจึงถอดมันออกอย่างเขินอายและวางมันไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา
“บอสหวาง ตอนนี้คุณเชื่อหรือยัง”
"ฉันเชื่อแล้ว" หวางลี่ยังคงรู้สึกกลัวอยู่ โชคดีที่หลังจากที่เขาทราบข่าวเรื่องไข้หวัด เขาได้พาภรรยาหลวงและภรรยาน้อยทั้งหมดไปที่เกาะสวรรค์แล้วและยังโชคดีที่สุดที่เขาไม่มีความกล้าแม้แต่นิดเดียวที่จะต่อสู้กับหยางเสี่ยวเชียนและหยูเชียน
“งั้นเรามาร่วมมือกันดีไหม” หยางเซี่ยวเฉินยิ้ม "ฉันจะอธิบายสถานการณ์ให้คุณฟังในภายหลัง ฉันต้องการความร่วมมือจากคุณ"
"ได้" หวางลี่พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
หยางเซี่ยวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่บอสหวางคนนี้เป็นคนมีเหตุผล ถ้าหากไม่มีเขา มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการงานบนเกาะสวรรค์โดยไม่มีเขา
อย่าดูถูกคนธรรมดาบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ บางทีพวกเขาอาจไม่ได้มีประโยชน์มากนักเมื่อต้องเผชิญฝูงซอมบี้ที่ดุร้ายหากไม่ได้รับการฝึกฝน แต่ตราบใดที่พวกเขาได้รับการจัดการที่ดี
พวกเขายังสามารถจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาฐานในด้านอื่นๆได้ไม่ว่าจะ ความรู้ กำลังคนหรือประสบการณ์
คนหนึ่งสามารถช่วยคนคนหนึ่งได้ แต่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่จะช่วยคนกลุ่มหนึ่งได้ หากไม่มีคนธรรมดาเหล่านี้เพื่อสร้างฐาน หยางเซี่ยวเฉินอาจสามารถเป็นฮีโร่และช่วยชีวิตคนนับแสนคนได้ แล้วไงต่อ?
ปล่อยให้พวกเขาวิ่งตามตูดของเขาในฐานะกองทัพผู้ลี้ภัยที่คอยดึงดูดซอมบี้หรือไง?
มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของภัยพิบัติ หลังจากผ่านไปสองหรือสามวัน ผู้คนที่อพยพไปจะไม่สามารถนอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้และผู้มีคนที่หลบอยู่ในบ้านก็จะไม่มีอาหารสำรองให้ประทังชีวิตอีกต่อไป
เมืองนี้จะสูญเสียผู้อยู่อาศัยทีมีทักษะทางวิชาชีพและระบบต่างๆจำนวนมากที่ เช่น การศึกษา การเงิน การรักษาพยาบาล การก่อสร้าง การบริหาร ฯลฯ ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
การทำงานของเมืองย่อมจะพังทลายลงตาม น้ำประปา ไฟฟ้า การทำความสะอาดเมือง การสื่อสารทุกประเภทและการขนส่งสาธารณะจะถูกระงับทั้งหมด เพียงแค่ฝนตกหนักเล็กน้อยก็อาจทำให้น้ำท่วมน่องบนถนนได้
ความตื่นตระหนกและความกลัวจะทำให้เมืองตกต่ำและเปลี่ยนป่าคอนกรีตให้กลายเป็นป่าโบราณที่คนกินคนด้วยกันเอง
เมื่อถึงเวลานั้นคุณยังอยากเป็นคนในยุคกลางที่ก่อไฟทำอาหารอยู่หน้าเตาผิงหรือไม่?
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คาดหวัง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนร่วมชาติให้มากขึ้น เพื่อสร้างอำนาจของเขาเอง เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและพ่อของเขา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตบนพื้นฐานของความปลอดภัย
หยางเซี่ยวเฉินต้องการให้เมืองเล็กๆนี้เป็นรากฐานสำหรับเขาในการขยับขยายออกในอนาคต
หากปราศจากผู้คนบนเกาะสวรรค์แล้วหยางเซี่ยวเฉินชายหนุ่มผู้วางแผนได้แต่บนกระดาษ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
หากไม่มีคนเหล่านี้หยางเซี่ยวเฉินและอีกสามคนจะทำอะไรได้บ้าง เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง?
"จานสุดท้ายมาแล้ว" หยางหยานออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเนื้อสันในซอสแสนอร่อยหนึ่งจาน และทักทายหยางเซี่ยวเฉินกับหยูเชียน "มาทานอาหารเย็นกันเถอะ เสี่ยวเฉินคุณไม่ได้กินข้าวมาหนึ่งวันแล้ว"
ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากที่หยางหยานพูดถึงเรื่องนี้ ความหิวและกรดในท้องของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที
“กินก่อนๆ กินไปคุยไปด้วยก็ได้” หยางเซี่ยวเฉินวางบุหรี่ลงเรียกหาหยูเชี่ยน หวางลี่ และหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่ได้พูดอะไรมาตั้งแต่ต้นให้เดินไปที่โต๊ะอาหาร