บทที่ 197: ศัตรูของลูก ๆ
หวงเยว่ตกใจกับท่าทางก้าวร้าวของหยินชาง เห็นได้ชัดว่าเขามันก็เป็นแค่ไอ้ลูกหมาตัวน้อย เขาจะใช้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จ้องคนที่เพิ่งเจอหน้ากันได้อย่างไร?
หรือว่าเจ้าเด็กนี่จำนางได้!?
“หวงเยว่ ทำไมไม่ปล่อยให้เจียวเจียวรับเขาไปเลี้ยงแทนล่ะ?” หัวหน้าเผ่าอดไม่ได้ที่จะพูดขัดขึ้นมา เขายังคงรอที่จะจัดการกับร่างไร้วิญญาณของหยินกู่อยู่
ในฐานะผู้นำสูงสุด เขามีหลายสิ่งที่ต้องไปทำทุกวัน เขาไม่มีเวลาว่างมากพอจะมารออีกฝ่ายอยู่ที่นี่
เมื่อหงส์สาวได้ยินคำพูดของชายสูงวัย สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นเหยเกไม่น่ามอง แล้วในที่สุดนางก็ยอมถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ
นางรู้ว่าเด็กคนนี้จะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน ตราบใดที่เขายังอยู่ในเผ่า เขาก็ไม่สามารถหนีรอดไปได้อยู่ดี ดังนั้นนางจึงไม่ควรรีบร้อน
ถัดมา หวงเยว่เฝ้ามองหูเจียวเจียวพร้อมทำท่าเหมือนกำลังดูการแสดงที่จะเกิดขึ้น นางต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรได้บ้าง
ทางด้านจิ้งจอกสาวพยักหน้าให้ท่านผู้เฒ่า ก่อนจะเดินไปที่เตียงข้าง ๆ หยินชาง
ปัจจุบันหยินกู่ที่นอนอยู่บนเตียงไร้ชีวิตไปแล้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาซีด หากหูเจียวเจียวไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เธอคงยากที่จะเชื่อว่าเมื่อวานนี้ชายหนุ่มยังมีชีวิตอยู่และพูดคุยกับเธอ
ภาพตรงหน้าทำให้เธอยิ่งแน่ใจว่าวันก่อนหยินกู่รวบรวมแรงฮึดสุดท้ายเพื่อร้องขอตน
อาจเป็นเพราะความปรารถนาก่อนที่ชายหนุ่มจะหมดลมหายใจทำได้สำเร็จ ใบหน้าของเขาจึงดูสงบมาก ซึ่งไม่มีร่องรอยของความทุกข์ทรมานเลยสักนิด
จิ้งจอกสาวถอนหายใจแล้วหันไปมองหยินชางที่มีร่างกายผอมบาง “พี่ชายของเจ้าจากไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะปกป้องร่างกายของเขาไว้ ร่างเขาจะเน่าเปื่อย และในไม่ช้าเขาก็จะถูกหนอนกัดกิน ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกแล้ว”
เด็กหนุ่มที่ได้ฟังเช่นนั้นกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดออกมา
ท่าทางของเขาเหมือนกับว่าเขาจะกระแทกหมัดใส่คนพูดได้ทุกเมื่อ
“แต่ข้ามีวิธีทำให้เขาอยู่กับเจ้าตลอดไป สิ่งแรกเจ้าต้องเชื่อฟังและกลับบ้านกับข้าก่อน” หูเจียวเจียวยังคงกล่าวต่อไป
ปัจจุบันหยินชางอายุได้ 10 ปีแล้ว เขาไม่เหมือนกับลูกน้อยทั้ง 5 คนของเธอ เขามีความคิดเป็นของตัวเอง แม้แต่ความคิดของเขาก็ใกล้เคียงกับภูตผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลาย
หลังจากที่หยินชางได้ยินคำพูดของแม่จิ้งจอก สุดท้ายเขาก็คลายหมัดออกพลางก้มหน้านิ่ง
“หยินกู่หวังว่าเจ้าจะเติบโตอย่างปลอดภัย นี่เป็นความปรารถนาของพ่อแม่เจ้าด้วย เจ้าไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวังใช่ไหม?”
หูเจียวเจียวโน้มน้าวใจเด็กชาย เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้ว เธอจึงพูดต่อว่า “ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะพาร่างของพี่ชายเจ้าไป”
ในเวลาเดียวกัน การเย้ยหยันฉายผ่านดวงตาของหวงเยว่
นางคิดว่าคำพูดไม่กี่คำจะทำให้ไอ้เด็กเวรนั่นเชื่อฟังงั้นรึ?
ทว่าในวินาทีต่อมา หยินชางเดินตามหลังจิ้งจอกสาวไปเงียบ ๆ โดยที่เขายังคงก้มหน้าลงต่ำ แต่เขาก็แสดงออกว่ายอมรับคำพูดของอีกคน
แล้วภูตทุกคนก็ต้องตกใจกับภาพที่ได้เห็น
เด็กคนนี้เชื่อฟังหูเจียวเจียวมากจริง ๆ!
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาทั้งก้าวร้าวและทำร้ายคนที่เข้ามาใกล้ตน นางทำให้เขายอมรับได้อย่างไรกัน?
พอหงส์สาวเห็นฉากที่เกิดขึ้น ใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวมากกว่าเดิม แล้วนางก็หันหลังเดินออกจากบ้านไม้ไปด้วยความโกรธทันที
ขณะเดียวกัน หูเจียวเจียวตบไหล่หยินชางเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบโยนหลังจากเห็นว่าเขาเชื่อฟังมาก
“ท่านผู้เฒ่า ข้าสามารถจัดการกับร่างของหยินกู่ได้หรือไม่?” หญิงสาวหันไปถามคนที่มีอำนาจสูงสุดในเผ่า
แน่นอนว่าชายสูงวัยไม่คัดค้านเธอ เขาพยักหน้ารับซ้ำ ๆ “ได้สิ”
ดังนั้นหูเจียวเจียวจึงรีบบอกให้ภูตชาย 2 คนช่วยหามร่างของหยินกู่ออกจากบ้านไม้ จากนั้นพวกเขาก็ตั้งเตียงไม้ไว้นอกบ้านแล้ววางศพลงบนนั้น
ไม่นานจิ้งจอกสาวก็ส่งคบเพลิงให้หยินชางขณะที่อธิบายว่า
“ข้าจะช่วยเจ้าเก็บกระดูกของพี่ชายเจ้าไว้ มาจุดไฟสิ”
แม้ว่าเหล่าภูตอาจไม่สามารถยอมรับการเผาศพได้ แต่สำหรับหยินชาง การเก็บกระดูกของพี่ชายไว้ข้างกายดีกว่าปล่อยให้เขาถูกสัตว์ป่ากัดกิน
ถ้าร่างของชายหนุ่มถูกฝังลงในดินตรง ๆ พวกภูตในเผ่าจะไม่ยอมให้ทำแน่นอน เพราะทุกคนจะไม่ทิ้งศพไว้ในเผ่าซึ่งมันจะดึงดูดสัตว์ป่าให้มาโจมตีสถานที่แห่งนี้
ฉะนั้นการเผาศพจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
บัดนี้หยินชางยืนถือคบเพลิงนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณของครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวช้า ๆ
ปัจจุบันศพตั้งตระหง่านอยู่บนกองไม้จำนวนมากที่วางไว้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงเผาร่างกายให้เป็นขี้เถ้า
อีกทั้งภูตจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศต่างก็พากันมาดู หลังจากได้ยินข่าวการเสียชีวิตของหยินกู่ ทุกคนก็ช่วยกันส่งไม้ต่อให้ชายหนุ่มเพื่อเป็นหนทางที่จะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ความตายเป็นเรื่องธรรมดามากในโลกของภูต แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงเกรงกลัวต่อความตาย เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าตนเองจะเป็นศพรายต่อไปหรือไม่
ก่อนหน้านั้นหูเจียวเจียวราดน้ำมันบนท่อนไม้ ก่อนจะบอกให้หยินชางแตะคบเพลิงไปที่ไม้ฟืน
พรึ่บ!
เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นในพริบตา มันกลืนกินร่างที่นอนอยู่จนเห็นแต่เงาเลือนราง ไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างกายของภูตหนุ่มก็ค่อย ๆ กลายเป็นเถ้าถ่าน
และไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดก็ส่งกลิ่นไหม้
ขณะนี้หยินชางเฝ้าดูเปลวไฟเต้นรำตาไม่กะพริบ ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงเงาที่หลงเหลืออยู่ของหยินกู่ที่กำลังโบกมือลาเขา
เด็กหนุ่มคิดว่านี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่ชายของเขาทิ้งไว้ในโลกใบนี้
หูเจียวเจียวไม่รู้ว่าทุกคนรู้สึกได้ถึงความเสียใจของหยินชางหรือไม่ แต่ภูตที่อยู่โดยรอบก็รู้สึกโศกเศร้าไปพร้อมกับเขา และมองดูเด็กหนุ่มด้วยความสงสาร
บรรยาศของงานศพในครั้งนี้ช่างเงียบสงัดจนเหลือแต่เสียงประกายไฟที่ยังไม่มอดดับ...
...
หลังจากการเผาศพเสร็จสิ้น หูเจียวเจียวก็หยิบโกศไม้ที่ไม่มีลวดลายโดดเด่นออกมาจากมิติแล้วใส่กระดูกของหยินกู่ลงไปก่อนจะมอบให้หยินชาง
ในความเป็นจริงมีเศษขี้เถ้าเหลืออยู่บนพื้นมากมาย ซึ่งหญิงสาวบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเถ้าของไม้หรืออะไร แต่โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่รังเกียจและถือโกศไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
จากนั้นหญิงสาวก็หาสถานที่สำหรับฝังกระดูกของหยินกู่ที่เหลืออยู่
กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาอยู่ครึ่งวัน
“เจียวเจียว เรื่องของหยินชางข้าจะมอบให้เจ้าดูแล หากเจ้าและหลงโม่มีปัญหาอะไรก็สามารถบอกข้าได้ทันที ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ก่อนจากไป หัวหน้าเผ่าได้เข้ามาปลอบโยนหูเจียวเจียว
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่า” จิ้งจอกสาวพยักหน้าให้ชายสูงวัยเพื่อแสดงความขอบคุณ
ในเวลาเดียวกัน ภูตชาย 2 คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองไปที่หยินชางแล้วกระซิบคุยกันว่า
“เด็กคนนี้โชคดีจริง ๆ ที่มีผู้หญิง 2 คนมาแย่งกันรับเลี้ยง”
ต่อมา ภูตคนหนึ่งก็พูดเตือนหญิงสาวว่า “หูเจียวเจียว เด็กคนนี้มีนิสัยแปลกมาก แถมยังชอบทำร้ายคนอีก ระวังอย่าให้เขาทำร้ายเจ้าล่ะ”
พวกเขาไม่เคยเห็นเด็กที่มีพละกำลังสูงขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เขาอายุยังน้อยแท้ ๆ
“ขอบคุณที่เตือนข้า”
หูเจียวเจียวพยักหน้าอย่างสุภาพให้กับชายทั้ง 2 คน และพาหยินชางกลับบ้าน
ขณะนี้เด็กตระกูลหลงทั้ง 5 กำลังช่วยกันเลี้ยงกระต่ายอยู่ที่บ้าน
เมื่อเหล่าเด็กน้อยเห็นว่าแม่จิ้งจอกกลับมาพร้อมกับเด็กแปลกหน้าที่ตามมาข้างหลังนาง พวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาแบบอธิบายไม่ถูก
แม้แต่หลงเหยาที่อายุน้อยที่สุดก็ละความสนใจไปจากกระต่ายในทันที
เขารีบวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ด้วยขาป้อมสั้นก่อนจะอ้าแขนรอรับกอดอันแสนอบอุ่น จากนั้นเขาก็มองไปที่หยินชางประหนึ่งว่าต้องการประกาศอำนาจของเขา
“เจ้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงตามท่านแม่ของข้ามา?”
คนตัวเล็กถามทะลุกลางปล้องโดยไม่มีการอ้อมค้อมสักนิด
นัยน์ตาเล็กคู่นั้นฉายแววราวกับกำลังป้องกันโจร เพราะเขากลัวว่าแม่ของตนจะถูกฉกไปต่อหน้าต่อตา
ส่วนพวกหลงอวี้ก็จ้องเด็กที่โตกว่านิ่ง
“ท่านแม่ เขาคือใคร ทำไมท่านพาเขามาที่บ้านของเรา?” ขนาดหลงจงซึ่งมีท่าทางที่ไม่ดีต่อหูเจียวเจียวมาโดยตลอดก็ยังถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะถามแม่จิ้งจอก แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่หยินชางไม่กะพริบ อีกทั้งน้ำเสียงที่เขาเอ่ยถามดูเหมือนต้องการเตือนอีกฝ่ายมากกว่า
ทางด้านผู้มาใหม่ชำเลืองมองดูเด็กที่อายุน้อยกว่าตัวเองไม่กี่ปี จากนั้นเขาก็หลบสายตาก่อนจะขยับไปยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านหลังหูเจียวเจียว โดยเมินเฉยต่อความเป็นปรปักษ์ของเด็กคนอื่น
เขาคุ้นเคยกับความไม่เป็นมิตรของพวกภูตมานานแล้ว
การที่ภูตทุกคนจะเป็นมิตรกับเขามันเป็นเรื่องที่น่าแปลกเสียมากกว่า
ก่อนที่จิ้งจอกสาวจะทันได้เอ่ยปาก หลงหลิงเอ๋อก็มายืนอยู่ตรงหน้าพี่น้องทั้ง 4 คนของนาง
“พี่สาม อย่าดุนักสิ”
เมื่อหลงจงได้ยินคำพูดของน้องสาว เขาจึงยอมละสายตาออกจากหยินชางไปมองหน้าเด็กสาวเพียงคนเดียวในบ้านด้วยความไม่พอใจ “หลิงเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงออกหน้าพูดแทนคนนอก?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: หลับให้สบายนะหยินกู่ ไม่ต้องห่วงน้องชาย ครอบครัวเจียวเจียวจะต้องดูแลเขาเป็นอย่างดีแน่นอน