บทที่ 101 – สิบยอดนักเวทย์
เมื่อเสียงระฆังบอกสัญญาณว่าจบคาบเรียนของวันนี้ดังขึ้น ผมก็เริ่มรู้สึกตัว อืม! หลับสบายจริง ๆ ในขณะที่มู่จือกำลังเก็บของอยู่ที่โต๊ะของเธอ ผมหันไปยิ้มอย่างมีความสุขให้เธอ “ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอนะ! วันนี้ตอนเรียนเป็นยังไงบ้าง? ตอนฉันตอบคำถามนั่น ฉันทำให้อาจารย์พูดไม่ออกเลยนะ เยี่ยมไปเลยเนอะ!”
มู่จือตอบกลับอย่างเย็นชา “ใครจะไปกินข้าวกับนาย? มีนายอยู่ด้วยใครจะไปกินข้าวลง แล้วอีกอย่าง สิ่งที่นายพูดวันนี้มันผิดทั้งนั้น! อาจารย์ก็แค่ไม่อยากยุ่งกับนายเท่านั้น”
ผมทำสีหน้าผิดหวัง “มันผิดยังไง? นั่นเป็นการศึกษาเรื่องเวทย์มนต์ที่ยาวนานที่สุดของฉันเลยนะ แล้วก็! เธอกลัวเหรอ? ทำไมไม่ยอมให้ฉันเลี้ยงข้าว? ไปกันเถอะ! ไปกินข้าวด้วยกัน”
มู่จือคำรามในคออย่างเย็นชา แล้วก็เดินจากไปแบบไม่ได้หันมามองผมเลย
ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ ทำไมต้องเล่นตัวมากนักนะ ก็ไม่ได้สวยมากเสียหน่อย? ผมต้องทำให้เธอตกหลุมรักผมให้ได้ รอก่อนเถอะ!
ยังพอมีเวลาก่อนที่จะถึงอาหารเย็น ผมเลยไปตามหาหม่าเคอเพื่อคุยเล่น และสอนเวทย์มนต์บางอย่างให้เขา แล้วก็ออกมากินข้าวด้วยกัน เสร็จแล้วผมก็กลับไปที่ห้องพัก แล้วก็ฝึกฝนอย่างหนักตามปกติของผม ใช่! ผมนอน!
หลังจากที่ผมตื่นมาตอนเช้า ผมรู้สึกสดชื่น พลังเวทย์ในร่างกายของผมนั้นเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะใช้ได้ตลอดเวลา
ตอนที่ผมกำลังจะออกไปหาหม่าเคอ เขาก็โผล่มาพอดี “หม่าเคอ! นายมาพอดี! สนใจจะมาประลองกับฉันหน่อยมั้ย? เหมือนร่างกายของฉันมันต้องการการปะทะ!”
หม่าเคอรีบสั่นหัวทันที “ไม่เอา! ไม่ต้องการ! พลังเวทย์ของผมสู้พี่ไม่ได้แม้แต่น้อย มันจะเรียกว่าการประลองไม่ได้หรอก มันเป็นแค่การรังแกกันมากกว่า แต่ถ้าพี่อยากต่อสู้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร พี่ก็แค่ต้องไปท้าประลองกันสิบยอดนักเวทย์ของสถาบัน”
“สิบยอดนักเวทย์! สิบยอดนักเวทย์ของสถาบันไหน? ที่นี่เหรอ? มันคืออะไร?”
“ที่สถาบันนี้มีระบบจัดอันดับอยู่ ใครที่สามารถติดอันดับได้ จะถือว่าเป็นนักเวทย์ที่เก่งที่สุดของสถาบัน”
“แล้วเราจะติดอันดับได้ยังไง?”
“ง่ายมาก! พี่แค่ต้องไปท้าประลองกับนักศึกษาที่มีอันดับสูงกว่าพี่ แล้วพอพี่ชนะ พี่ก็จะได้อันดับของคู่ต่อสู้คนนั้นมา แล้วอันดับข้างล่างก็จะขยับไปเอง”
“แล้วนายติดอันดับกับเขาด้วยมั้ย?”
หม่าเคอดูภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว! ตอนนี้ผมอยู่อันดับ 5”
อืม! ถ้าระดับความแข็งแกร่งของหม่าเคอยังเป็นแค่อันดับ 5 แสดงว่าในสถาบันต้องมีนักศึกษาเก่ง ๆ อยู่ไม่น้อย มันจุดประกายให้ผมนิดหน่อย “มีใครอยู่ในสิบยอดนักเวทย์นี้บ้าง?”
หม่าเคอไล่ชื่อให้ฟัง “คนที่อยู่อันดับสูงสุด เป็นนักศึกษาชั้นปี 5 แล้ว เขาเป็นนักเวทย์ดินที่ทรงพลังมาก พี่น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเวทย์ดินนั้นมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ส่วนการโจมตีค่อนข้างห่วย แต่มันไม่ใช่กับเขาเลย ไม่เพียงแต่เขามีการป้องกันที่ทำลายไม่ได้แล้ว การโจมตีของเขายังทรงพลังและคาดเดาลำบาก การรับมือกับเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก ผมเคยสู้กับเขาครั้งหนึ่ง แต่ผมทำลายการป้องกันของเขาไม่ได้ เขาน่าจะเป็นอาจารย์เวทย์แล้ว พี่น่าจะไปท้าเขาประลองโดยตรงเลย ถ้าพี่ชนะได้ พี่ก็จะกลายเป็นอันดับ 1 ในสถาบันทันที อือ! เขาชื่อหมิงซือหวา”
“ต่อไปล่ะ”
หม่าเคอพูดต่อ “อันดับสอง! ก็เป็นคนที่พี่รู้จักนั่นแหละ พี่ใหญ่ไห่รื่อ เขามีพรสวรรค์มาก ในช่วงไม่กี่ปีที่อยู่ในสถาบันเวทย์มนต์ระดับสูง เขาพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก ตอนนี้เวทย์ไฟของเขาถึงกับมีพลังมากกว่าผมแล้ว ตามปกติ มันไม่มีความแตกต่างเรื่องความแข็งแกร่งมากนักในสิบยอดนักเวทย์ อ้อ! ให้พี่ทายว่าใครเป็นอันดับ 3?” เขาทำหน้าแบบ อืม! มีความลับมั้ง..
มันจะเป็นใคร? ผมต้องรู้ด้วยเหรอ? หรือว่าเป็นคนที่ผมรู้จัก? งั้นก็น่าจะเป็นไหสุ่ย ทักษะเฉพาะตัวของเธอน่าจะทำให้เธอเหนือกว่าพี่สาวได้ คิดอย่างนี้ผมเลยตอบออกไป
“ใช่ไหสุ่ยมั้ย? โลกต้องห้าม กับมนต์มังกรน้ำของเธอน่าจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
หม่าเคอส่ายหัว “อันดับของไหสุ่ยต่ำกว่าผม เธออยู่อันดับที่ 6”
“ถ้าไม่ใช่ไหสุ่ย! อย่างนั้นจะเป็นใครได้? คงไม่ได้เป็นทายาทของตระกูลรื่อนั่นใช่มั้ย?”
ตอนที่ผมเอ่ยออกมา สีหน้าของหม่าเคอดำทะมึนทันที แต่ยังคงพยายามส่ายหัว “ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็แค่อยู่เหนือผมอันดับเดียว เขาอยู่ที่อันดับ 4”
“โอ้ย!! ฉันไม่อยากจะทายแล้ว ใครจะไปทายถูก ที่บอกไปนี่ก็นักศึกษาทั้งหมดที่ฉันรู้จักแล้ว รีบ ๆ บอกมาว่าใครเป็นอันดับ 3?”
หม่าเคอหัวเราะใส่ผม ก่อนจะบอก “พี่รู้จักคนที่อยู่อันดับ 3 นั่นอยู่นะ เธอไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างพี่ในห้องเรียนนั่นไง โหมวมู่จือ”
ผมตกใจ “หือ!!? ใครจะไปนึกออกว่าเป็นเธอ ดูไม่ออกเลยว่าเธอจะเก่งขนาดนั้น! นี่มันจะไม่น่าเชื่อเกินไปหน่อยเหรอ?”
หม่าเคอตอบมาแบบยิ้ม ๆ “ทำไมถึงเหลือเชื่อ? มู่จือเป็นคนที่เก็บตัวอย่างมาก แต่เวทย์มนต์แห่งลมของเธอถือว่าเป็นที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นแล้ว การควบคุมเวทย์มนต์ของเธอน่าจะเหนือกว่าผม เธอน่าจะเป็นอาจารย์เวทย์แล้วแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดินต้านลมได้ บางทีอันดับ 1 อาจจะเป็นเธอไปแล้ว ตอนที่เพิ่งเข้ามาในสถาบัน ผมเคยแพ้เธอในการประลองระหว่างนักศึกษาใหม่ แน่นอนผมไม่พอใจกับผลการประลอง ผมเลยท้าเธอสู้อีกหลายครั้งหลังจากนั้น ปรากฏว่าผมแพ้ทุกครั้ง ตอนนี้ผมไม่กล้าประลองกันเธอแล้ว ถ้าพี่ถ้าเธอประลอง ก็เหมือนกับว่าเป็นการแก้แค้นให้กับผมด้วย”
ผมถอนหายใจ “จริง ๆ นายไม่ควรรู้เรื่องนี้! แต่เมื่อวานฉันเพิ่งเขียนจดหมายรักให้เธอไป”
หม่าเคอถึงกับตัวลอยด้วยความตกใจ “อะไรนะ? พี่ส่งจดหมายรักให้เธอจริง ๆ เหรอ? ถึงระดับพลังเวทย์ของมู่จือจะแข็งแกร่งมาก แต่หน้าตาของเธอมันธรรมดาเกินไปมั้ย? แล้วเธอก็เป็นที่รู้จักในสถาบันว่าเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง คนสุดท้ายที่เคยตามจีบเธอนี่สภาพดูไม่ได้เลยนะ ทำไมพี่ถึงเลือกเธอ? ทำไมพี่ไม่เลือกไหสุ่ย? ผมว่ามู่จือไม่เหมาะที่จะเป็นคนรักของพี่หรอก!”
ผมหัวเราะลั่นกับความตื่นเต้นของเขา ก่อนจะบอกเขาถึงแรงจูงใจของจดหมายรักนั่น หม่าเคอค่อยเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดคืออะไร เขายกนิ้วโป้งให้ผม “พี่ใหญ่! วิธีการของพี่นี่ช่างพิเศษจริง ๆ น่าประทับใจมาก เป็นวิธีการแก้แค้นที่เป็นต้นแบบของการแก้แค้นทั้งมวลจริง ๆ ผมจะเก็บเอาไว้ใช้บ้าง ฮ่าฮ่า! วางใจได้เลยครับ ผมไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่”
“ไป! พวกเราไปเรียนกันก่อน แล้วฉันจะตัดสินใจว่าฉันจะท้าใครประลองหลังเลิกเรียน”
ระหว่างคาบเรียน ผมทำแบบเดียวกับเมื่อวานอีกครั้ง ผมหยิบกระดาษออกมาแล้วเริ่มเขียนอย่างเมามัน มา! ผมจะอ่านให้ฟังว่าผมเขียนอะไรลงไปบ้าง ..มู่จือ ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตอนที่ผมรู้ว่าคุณเป็นถึงนักเวทย์ที่เก่งที่สุดอันดับ 3 ของสถาบัน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าผมมีความแข็งแกร่งเหมาะสมกับคุณ ผมตัดสินใจที่จะท้าประลองกับสิบยอดนักเวทย์คนที่เหลือ คุณจะไปให้กำลังใจผมใช่มั้ย? ตอนนี้ผมยิ่งตกหลุมรักมากขึ้นเรื่อย ๆ ....(ส่วนที่เหลือมันก็เหมือนกับเนื้อหาแบบเดียวกับที่คนรักจะเขียนถึงกันนั่นและ ผมคงไม่ต้องอ่านให้ฟังทั้งหมดหรอกนะ มันจะเสียเวลามากเกินไป)
และก็เป็นแบบเดียวกับเมื่อวาน พอเขียนและตรวจทานเสร็จแล้ว ผมยื่นจดหมายให้เธอ แต่เธอมองผมอย่างเย็นชา และไม่ยอมรับจดหมายของผม “นายนี่มันน่าเบื่อมาก”
ผมยังไม่ยอมแพ้ ยังพยายามส่งจดหมายให้เธออีกครั้ง “ก็แค่อ่านดูสักหน่อยน่า นี่มันเรื่องสำคัญ! ถ้าเธอไม่อ่าน เธอจะต้องเสียใจ!”
มู่จือถลึงตาใส่ผมก่อนที่จะรับจดหมายไปอ่านแบบผ่าน ๆ สีหน้าของเธอแดงกล่ำขึ้นมาอีกครั้ง บางทีคงเป็นเพราะผมเขียนได้อย่างซาบซึ้งฟูมฟายมากแน่ ๆ แสดงว่าผมยังมีความหวังอยู่ ผมต้องทำให้มันดูจริงจังมากกว่านี้อีก
แต่ทำไมจดหมายของผมมันถึงถูกทำร้ายอย่างนั้นล่ะ เธอขยำมันทำไม? ขยำเสียจนกลายเป็นลูกบอลเชียว อ้าว! อ้าว ๆ ทำไมไม่โยนคืนมาล่ะ โยนทิ้งออกหน้าต่างไปทำไมล่ะนั่น?
ผมเริ่มทำตัวให้ดูโกรธเธอ ผมยืนขึ้นแล้วตะโกนอีกแล้ว “มันไม่เป็นไรถ้าเธอไม่ยอมรับฉัน แต่ทำไมเธอถึงต้องโยนจดหมายรักของฉันทิ้งไปด้วย? จดหมายนั่นฉันตั้งใจเขียนด้วยความรักเลยนะ!” หลังจากการระเบิดอารมณ์ของผม ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความโกลาหล
อุ้ย! ผมยังอยู่ในห้องเรียนนี่นา สีหน้าของมู่จือตอนนี้เริ่มซีดแล้ว ปากของเธอก็เริ่มสั่น
อาจารย์หยูสื่อหลาน ที่ยืนสอนอยู่ที่หน้าห้องออกปาก “จางกง! เธอทำอะไร? นี่มันห้องเรียนนะ ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาใช้เป็นที่สารภาพรัก”
ผมรีบขอโทษ “ขอโทษครับอาจารย์หยู! คราวหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ แต่ตอนนี้มู่จือโยนกระดาษออกไปข้างนอกหน้าต่าง เพื่อความสะอาดของสถาบัน อาจารย์อนุญาตให้ผมออกไปเก็บมันนะครับ”
อาจารย์หยูสื่อหลานถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะ “ออกไปได้! เจ้าเด็กกะล่อน! ไปเก็บมา”