บทที่ 194: เขาขอร้องให้เลี้ยงดูหยินชาง
“หลงโม่ เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ?” หูเจียวเจียวหันไปถามมังกรหนุ่มอย่างสงสัย
“ข้าไม่รู้จัก” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบเฉย “ข้าเคยพบภูตคนหนึ่ง เขามีแซ่ ‘หยิน’ เหมือนกัน”
หลังจากที่เขาถูกขับไล่ออกจากเผ่าเดิม เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในป่า ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกสัตว์ป่าล้อมโจมตี แต่ภูตที่มีแซ่หยินได้ช่วยชีวิตตนไว้
เท่าที่หลงโม่รู้ มีเพียงเผ่านั้นที่จะใช้แซ่ ‘หยิน’
“จริง ๆ บางทีคนที่เจ้าพบอาจจะเป็นคนในตระกูลของหยินกู่ก็ได้” จิ้งจอกสาวคาดเดา
ทางด้านมังกรหนุ่มเม้มริมฝีปากบางและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
หูเจียวเจียวพยักหน้ารับทันที
ส่วนลู่เมี่ยนเอ๋อที่เห็นว่าคนรับสารได้รับปากเรียบร้อยแล้ว นางก็ขอตัวกลับก่อนเพราะไม่อยากรบกวนคู่หนุ่มสาว
ทว่าระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินทางไปหาหยินกู่นั้นมีใครบางคนแอบติดตามพวกเขามาด้วย หลงโม่สังเกตเห็นคนคนนั้น แต่เขาไม่ได้หันไปสนใจอีกฝ่าย
ทั้ง 2 คนใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านไม้ที่คนเจ็บพักฟื้นอยู่
เมื่อหยินกู่เห็นชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมตามหูเจียวเจียวมาด้วยก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะแสดงรอยยิ้มเป็นมิตร แล้วพยายามลุกขึ้นจากเตียงโดยการพยุงร่างกายส่วนบนขึ้น
หยินชางที่เห็นการเคลื่อนไหวของพี่ชายอยู่ด้านข้างจึงรีบเข้าไปช่วยอีกฝ่าย แต่เขากลับผลักน้องชายออกไปอย่างนุ่มนวล
“หยินชาง เจ้าออกไปก่อน” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่วเบา
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ยอมขยับแม้แต่ก้าวเดียวเพราะตอนนี้เขากำลังรู้สึกเป็นกังวลหากจะต้องอยู่ห่างจากผู้เป็นพี่ชาย
“ฟังคำข้า” หยินกู่เน้นเสียงเมื่อเห็นว่าน้องชายไม่ทำตามที่ตนบอก
ถึงแม้ว่ามันจะยังฟังดูอ่อนโยนมากและไม่น่ากลัว แต่หยินชางรู้ว่าเขาจะโกรธถ้าตัวเองไม่ยอมเชื่อฟัง
เด็กหนุ่มทำหน้าเคร่งขรึมมองคนตรงหน้าชั่วอึดใจหนึ่ง และในที่สุดเขาก็เดินออกจากบ้านไม้ไป
ไม่นานภายในห้องก็มีภูตเหลืออยู่เพียง 3 คน
“ทำไมเจ้าถึงอยากพบข้า?” หูเจียวเจียวเอ่ยถามทำลายความเงียบก่อน
เธอมองไปที่หยินกู่ด้วยความสงสัยในขณะที่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ภูตชายคนนี้ดูเหมือนจะมีพลังมากและใบหน้าที่อ่อนแอของเขาก็ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเธอไม่รู้ว่าเขาโดนพิษ เธอคงคิดว่าเขากำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้า
จู่ ๆ คำว่า ‘กำลังจะฟื้นตัว’ เข้ามาในความคิดของจิ้งจอกสาวอย่างอธิบายไม่ได้
ขณะเดียวกัน สายตาที่คมดั่งเหยี่ยวของหลงโม่จ้องมองไปที่หยินกู่ซึ่งมันทำให้อีกคนรู้สึกกดดันมาก และเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าหลงโม่กำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าอยากจะขอบคุณที่เจ้าช่วยพวกเราไว้” ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงรวบรวมความกล้าตอบออกไป
“ถ้าอยากขอบคุณจริง ๆ เจ้าต้องไปขอบคุณหัวหน้าเผ่าของเรา เขาพาพวกเจ้ากลับมา ข้าแค่พบพวกเจ้าโดยบังเอิญเท่านั้น”
หูเจียวเจียวโบกมือแบบไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
ทว่าหยินกู่ส่ายหัวและยังคงยืนกรานคำเดิม “เจ้าเป็นผู้หญิงที่ใจดี ถ้าไม่ได้เจ้า เราคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้”
เขาพูดพลางมองออกไปนอกประตูพร้อมกับนัยน์ตาสีดำที่ฉายแววอ่อนโยน
“ชื่อของเขาคือหยินชาง เขาเป็นน้องชายของข้า เขาพูดไม่ได้ และเขามักจะปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์กับภูตคนอื่น เจ้าเป็นภูตคนเดียวที่เขายินยอมให้สัมผัสตัว”
พอหูเจียวเจียวได้ฟังมาจนถึงประโยคข้างต้น ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจเหตุผลทั้งหมด
ไม่น่าแปลกใจที่เด็กชายไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมา ปรากฎว่าเขาเป็นใบ้นี่เอง
“ข้ารู้ว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าคอยดูแลหยินชางมาตลอด ถ้าข้าตายไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง...”
หยินกู่ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้ายามที่เขากล่าวว่าตนกำลังจะตาย แต่เมื่อเขาพูดถึงหยินชางผู้เป็นน้องชาย สีหน้ายิ้มแย้มของเขาก็ดูเศร้าหมองลง
“ดังนั้น…” เขาเหลือบมองไปที่หลงโม่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็พลิกตัวด้วยความยากลำบากเพื่อลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น
“ข้าต้องการขอให้เจ้ารับหยินชางไปดูแล!”
ชายหนุ่มคุกเข่าร้องขอหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกัน
“เขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังและทำงานได้ ถ้าเจ้าให้อาหารเขากิน...”
“ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะให้เขาเป็นคนรับใช้ของลูกสาวของเจ้า นี่ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับเจ้า”
หูเจียวเจียวที่ได้ยินคำขอของอีกฝ่ายตกใจมาก เธอรีบก้าวไปหมายจะช่วยพยุงเขาขึ้นมา
แต่ก่อนที่เธอจะสัมผัสตัวหยินกู่ หลงโม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ก้าวเข้ามาคั่นกลางระหว่างทั้ง 2 คนแล้วยกภูตหนุ่มกลับไปที่เตียง
“ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องกลายเป็นคนรับใช้ของใคร”
จิ้งจอกสาวพูดปลอบโยนชายคนนั้น
“ไม่ต้องกังวล ท่านผู้เฒ่าเอ่ยปากแล้วว่าจะอนุญาตให้เขาอยู่ในเผ่า หลังจากนี้ไม่มีใครขับไล่เขาออกไปได้แน่นอน”
สำหรับการรับเลี้ยงหยินชาง เธอไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลยจริง ๆ
อีกทั้งในครอบครัวของเธอก็มีลูก 5 คนแล้ว หากเธอรับเด็กคนอื่นมาเลี้ยงดูเพิ่ม มันก็จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับคนในครอบครัวมากขึ้น
ทางด้านหยินกู่ถูกมังกรหนุ่มวางลงบนเตียงดังเดิม เมื่อเขาได้ยินคำปฏิเสธอย่างมีไหวพริบของหูเจียวเจียว ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันที
สิ่งที่หญิงสาวพูดมาทั้งหมดคือความจริง
และตัวเขาเองก็รู้จักนิสัยของน้องชายดียิ่งกว่าใคร
ถ้าเขาที่เป็นพี่ชายไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ด้วยบุคลิกที่ดื้อรั้นของหยินชาง ไม่นานเขาคงอดตายอยู่ที่นี่แน่นอน และเขาจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากภูตคนอื่นในเผ่าด้วย
“เจ้าเป็นอะไรกับหยินเหลย?” เสียงทุ้มลึกของหลงโม่ดังขึ้นขัดจังหวะบรรยากาศน่าอึดอัด
“เจ้ารู้จักเขาได้ยังไง?” หยินกู่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามด้วยความประหลาดใจ “เขาเป็นพ่อของข้า”
ดวงตาลึกล้ำของมังกรหนุ่มสั่นไหวด้วยอารมณ์บางอย่างหลังจากได้รับคำตอบ
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หยินเหลยช่วยชีวิตข้าไว้”
ในความทรงจำของชายหนุ่ม หยินเหลยเป็นผู้ชายร่างกำยำที่กล้าหาญ คำพูดแรกของอีกฝ่ายหลังจากช่วยให้เขาอยู่รอดปลอดภัยคือ ‘ข้าก็มีลูกชายอายุพอ ๆ กับเจ้าเหมือนกัน’
นั่นเป็นเหตุผลที่หยินเหลยยื่นมือเข้ามาช่วยตน
หลงโม่คิดว่าลูกชายที่เขาพูดถึงตอนนั้นก็คือหยินกู่
หลังจากที่หยินเหลยช่วยชีวิตเขาไว้ในเวลานั้น อีกฝ่ายก็ฆ่าเหยื่อจากข้างทางมาย่างให้เขากินเป็นอาหาร
นั่นคือเนื้อย่างชิ้นแรกที่มังกรหนุ่มได้กินตั้งแต่เขาเกิดมา…
ในขณะที่หยินเหลยดูแลเขาเหมือนพ่อคนหนึ่ง ชายคนนั้นก็เอาแต่บ่นเกี่ยวกับคู่ครองแสนสวยที่เพิ่งให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเขาต้องกลับไปส่งอาหารให้ภรรยา แต่เขาก็รอให้หลงโม่กินจนอิ่มก่อนถึงจะวางใจยอมกลับบ้านตนเองไป
เวลานั้นชายหนุ่มยังคงจำรอยยิ้มที่จริงใจของอีกคนได้ตอนที่เขาเดินจากไป
ผู้ชายที่หยาบกระด้างและแข็งแกร่ง ทว่ามีรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นประดับบนใบหน้า…
ในอดีตเขาเคยไม่เข้าใจการมีอยู่ของคำว่า ‘บ้าน’ ในสายตาของเขา มันเป็นสถานที่ที่อ้างว้างไม่น่าอยู่
ขณะที่หลงโม่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังหูเจียวเจียวที่ยืนอยู่เคียงข้างตน จนกระทั่งวันนี้เขาเองก็เพิ่งเข้าใจอารมณ์ของหยินเหลยในตอนนั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ในที่สุดหยินกู่ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด นอกจากนี้ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่คาดคิดเลยว่าคู่ของภูตที่พ่อของตนเคยช่วยชีวิตไว้ ตอนนี้บังเอิญได้มาช่วยพวกเขา 2 พี่น้อง
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้หยินเหลยอยู่ที่ไหน?” หลงโม่ถามเสียงทุ้มต่ำ
“เขา... ตายไปเมื่อ 10 ปีก่อน” หยินกู่กล่าวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีทองมืดลง
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว… นั่นคงไม่ใช่หลังจากที่หยินเหลยแยกจากเขาไปแล้วใช่ไหม?
มุมริมฝีปากของหยินกู่กระตุกและเขาก็พูดต่อพร้อมกับเผยรอยยิ้มฝืน ๆ
“เผ่าของเรามีกฎว่าห้ามมีสัมพันธ์กับภูตต่างถิ่น หากครองคู่กับภูตต่างถิ่นจะถูกไล่ออกจากเผ่า พ่อของข้าตกหลุมรักภูตต่างถิ่น เขาจึงรับแม่ของข้าไปอาศัยอยู่ในป่า”
“เดิมทีเราอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ใครจะรู้ว่าภูตบางคนในเผ่ารู้จักตัวตนของแม่ข้า...”
ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองกำลังจะตายในไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงไม่ปิดบังเรื่องราวของตัวเองอีกต่อไป และเล่าทุกอย่างที่เขารู้ให้หลงโม่ฟัง
คู่ของหยินเหลยมาจากตระกูลภูตอสูร
ภูตอสูรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอยู่ในตำนานเช่นเดียวกับจิงหลิง ตามตำนานเล่าว่าเผ่าพันธุ์นี้มีพลังของเทพอสูรไหลเวียนอยู่ในเลือดของพวกเขา ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าการดื่มเลือดของภูตอสูรจะทำให้คนคนนั้นเป็นอมตะ
หลังจากที่พวกภูตในเผ่ารู้ตัวตนของนางแล้ว พวกเขาก็เริ่มหลอกล่อหยินเหลยให้พานางกลับไปที่เผ่า
แต่หยินเหลยมองออกว่าคนพวกนั้นต้องการอะไร เขาจึงพาคู่ของตัวเองและหยินกู่ย้ายที่อยู่บ่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงทุกคน ทว่าน่าเสียดายที่หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์อีกครั้ง และเพื่อร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ เขาจึงไม่สามารถย้ายถิ่นได้บ่อยเหมือนเดิม
ดังนั้นทั้ง 3 คนจึงไปหลบอาศัยอยู่ในถ้ำที่ซ่อนอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น
แล้ววันที่เงียบสงบก็คงอยู่จนกระทั่งหยินชางถือกำเนิด...