ตอนที่ 202: ล่อเหยื่อ
ตอนที่ 202: ล่อเหยื่อ
เซราฟิมถือว่าเป็นสัตว์ร้ายในตำนาน ซึ่งเซี่ยเฟยเคยเห็นข้อมูลของมันในจารึกมนตราอสูรเท่านั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องออกล่าสัตว์อสูรชนิดนี้ด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกันเซราฟิมก็มีนิสัยที่ดุร้ายมันจึงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ที่เข้าไปใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นพิษของมันยังเป็นพิษที่อำมหิตมาก เพราะมันทำให้ผู้ได้รับพิษรู้สึกทรมานใจยิ่งกว่าได้เผชิญหน้ากับความตาย
เซเลสเชียลมูนเป็นอาวุธที่แข็งแรงและมีความคมที่สูงมาก ทำให้อาวุธชนิดนี้ไม่จำเป็นจะต้องลับคมด้วยซ้ำ แต่เซี่ยเฟยเคยชินกับการลับคมอาวุธเพื่อเตรียมความพร้อมตลอดเวลาและเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องเผชิญหน้าเขาก็จะทำการจู่โจมอย่างไม่ลังเล
เสียงเซเลสเชียลมูนสัมผัสกับเครื่องลับคมเป็นเสียงที่บาดแก้วหูมาก แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเสียงนี้เป็นเสียงที่ไพเราะเหมือนกับเสียงคร่ำครวญของศัตรูก่อนจะตาย ซึ่งมันทำให้เลือดลมภายในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมามากกว่าเดิม
การออกล่าสัตว์อสูรทำให้เซี่ยเฟยนึกถึงช่วงเวลาที่เขาต้องใช้ชีวิตบนดาวมรดก โดยในตอนนั้นเขาต้องทำการต่อสู้เกือบตลอดเวลาและมีชีวิตที่ถูกแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายที่อาจถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ
ความเป็นจริงความหมายของการลับมีดสำหรับเซี่ยเฟยคือการปลุกพลังงานที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้อยู่ในสภาวะที่บ้าคลั่งเพื่อจัดการกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่งด้วยเหมือนกัน
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลับมาจากดาวมรดกเขาก็พยายามเก็บซ่อนจิตสังหารเอาไว้ เพราะประสบการณ์บนดาวดวงนั้นได้ปลุกจิตสังหารของเขาขึ้นมาอย่างเต็มที่
ทุกครั้งที่เสียงลับมีดดังขึ้นมาดวงตาของเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับจิตสังหารอันรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมาเรื่อย ๆ
อันธยืนมองดูเซี่ยเฟยจากด้านข้างอย่างเงียบ ๆ สำนักเงาสังหารสั่งสอนเรื่องการเก็บซ่อนจิตสังหารมาโดยตลอด ซึ่งการกระทำในปัจจุบันของชายหนุ่มเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของสำนักอย่างชัดเจน แต่อันธก็รู้ดีว่าเซี่ยเฟยไม่ได้ถูกจัดอยู่ในจำพวกของนักฆ่าแต่เป็นนักรบที่บ้าคลั่ง
จิตสังหารอันรุนแรงแบบนี้เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวขึ้นมาแต่กำเนิด และถึงแม้ว่าเวลาจะได้ผ่านพ้นไปหลายร้อยปีแต่เซี่ยเฟยก็ไม่มีทางเก็บซ่อนจิตสังหารพวกนี้ได้หมด
“พวกเรามาถึงเป้าหมายแล้วครับ” เสียงกัปตันดังขึ้นมาจากระบบกระจายเสียง
เซี่ยเฟยสวมใส่ชุดต่อสู้อย่างใจเย็นพร้อมกับผูกเซเลสเชียลมูนติดไว้กับแขนทางด้านขวาและทำการเหน็บมีดที่เขาได้จากทูรามเอาไว้ที่เอว ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องบัญชาการ
“อากาศบนดาวดวงนี้เป็นยังไงครับ?” เซี่ยเฟยถาม
อย่างไรก็ตามกัปตันก็กำลังตัวสั่นอย่างรุนแรง หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เซี่ยเฟยได้ปลดปล่อยออกมา
“อากาศบนดาวไม่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์และแรงดันในอากาศก็ต่ำมาก ถ้าหากคุณออกแรงมากเกินไปคุณจะรู้สึกแน่นหน้าอก ส่วนก๊าซพิษบนดาวก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่รุนแรงมากนัก แค่ใช้เครื่องฟอกอากาศก็ไม่มีปัญหากับร่างกายแล้ว” กัปตันรายงานสภาพชั้นบรรยากาศให้กับชายหนุ่ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่จะทำการส่งใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ให้กับกัปตัน
“คุณช่วยเอาใบอนุญาตไปลงทะเบียนให้ที ผมจะรอฟังข่าวดีในห้องทางออก”
หลังจากพูดจบเซี่ยเฟยก็หันหลังเดินจากไป ซึ่งหลังจากที่จิตสังหารอันเยือกเย็นได้ผ่อนคลายลง กัปตันกับผู้ช่วยกัปตันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เมื่อกี้มันคือจิตสังหารใช่ไหมครับ?” รองกัปตันหนุ่มแอบถาม
“มันเป็นจิตสังหารที่รุนแรงมากจริง ๆ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าคนหนุ่มแบบนั้นมีจิตสังหารรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง” กัปตันกล่าวตอบ
สำนักงานจัดการเส้นทางการบินในอวกาศมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลยานอวกาศทุกลำในพันธมิตร อันที่จริงเซี่ยเฟยจะแอบเข้าไปในดาวดวงนั้นก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเขาถูกจับได้เขาก็อาจจะถูกฟ้องร้องในข้อหาเป็นผู้บุกรุก
อย่างไรก็ตามการขอใบอนุญาตจากทูรามก็เป็นเรื่องง่าย ๆ อยู่แล้ว เซี่ยเฟยจึงไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
วื้ด~
เอเรสบินตรงไปยังภูเขาทางฝั่งแผ่นดินทางทิศตะวันตก ซึ่งตามรายงานจากพยานพวกเขาได้พบกับเซราฟิมในบริเวณนี้
ยานรบค่อย ๆ ร่อนลงจอดอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ไฟแสดงสถานะในห้องโดยสารจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว พร้อมกับสะพานลงจากยานที่ค่อย ๆ ทอดยาวลงไปด้านล่าง
ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็ไม่ได้สวมเครื่องกรองอากาศเข้าไปในทันที แต่ใช้จมูกของเขาสูดอากาศของดาวดวงนี้เข้าไปก่อน จากนั้นเขาจึงกดปุ่มบนชุดต่อสู้เพื่อเรียกหน้ากากชั้นบาง ๆ ออกมาปิดใบหน้าท่อนล่างของตัวเองเอาไว้
เหตุผลที่เซี่ยเฟยสูดอากาศของดาวดวงนี้เข้าไปก่อนนั่นก็เพราะว่าสถานการณ์ในสนามรบมีความไม่แน่นอน ในกรณีที่ตัวกรองอากาศได้รับความเสียหายเขาก็จะต้องรู้ว่าเขาสามารถเอาชีวิตรอดในอากาศแบบนี้ได้นานแค่ไหน และอากาศได้ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจหรือรบกวนการหลบซ่อนตัวด้วยวิชาพรางจิตหรือเปล่า
ดาวดวงนี้ไม่ใช่ดาวที่เหมาะสมสำหรับให้มนุษย์เข้ามาทำการอยู่อาศัย มันจึงมีพืชแปลก ๆ กระจายกันอยู่บนดวงดาวอย่างมากมาย เพียงแต่พืชเหล่านี้ไม่ได้มีสีเขียวเหมือนกับพืชที่อยู่บนโลก แต่มันเป็นพืชที่มีสีสันสดใสและสะท้อนแสงแดดจนทำให้เขารู้สึกลายตา
เซี่ยเฟยสูดลมหายใจเข้าออกบนยอดเขาอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะได้ปล่อยจิตสังหารออกมาเต็มกำลัง
จิตสังหารอันรุนแรงได้แพร่กระจายออกไปในทุกทิศทางราวกับว่าเขากำลังท้าทายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนดาวดวงนี้
“นั่นนายกำลังจะทำอะไร?” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ฉันกำลังล่อเหยื่อ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยกรอยยิ้มที่มุมปาก
“ล่อเหยื่อ?”
“ใช่ จากข้อมูลของจารึกมนตราอสูรเซราฟิมเป็นสัตว์อสูรที่ก้าวร้าวและหยิ่งยโส ทำให้เขตแดนของพวกมันกินรัศมีมากกว่า 500 กิโลเมตร หากมีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเข้ามาในเขตแดนของพวกมัน สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นก็จะถูกจู่โจมในทันที”
คำอธิบายนี้ถึงกับทำให้อันธพูดไม่ออก ความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าเซราฟิมเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำเขตแดนของตัวเอง แต่เซี่ยเฟยกลับใช้จิตสังหารเพื่อกระตุ้นนิสัยที่ก้าวร้าวของสัตว์ชนิดนี้ขึ้นมา หากมันมีเซราฟิมอยู่ในบริเวณนี้จริง ๆ พวกมันก็อาจจะสู้กับเซี่ยเฟยจนกว่าจะมีใครตาย
“วิธีการแบบนี้มันอันตรายเกินไปหรือเปล่า? ทำไมพวกเราไม่แอบหาพวกมันอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อยลงมือเหมือนนักฆ่าล่ะ” อันธพยายามกล่าวแนะนำ
ท้ายที่สุดวิธีการที่เซี่ยเฟยใช้ก็เป็นวิธีที่บ้าคลั่งมากจนเกินไป เพราะชายหนุ่มไม่เพียงแต่จะเปิดเผยตัวเองเท่านั้น แต่เขายังใช้จิตสังหารยั่วยุศัตรูอีกด้วย
“ป่าบนภูเขานี้กว้างมาก ถ้าฉันต้องออกค้นหาพวกมันอย่างเงียบ ๆ คงจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 เดือน ถึงแม้วิธีการของนายจะปลอดภัยกว่าแต่ฉันก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าเหยื่อที่นายล่อไม่ได้ติดปลาช่อนแต่ติดปลาฉลามล่ะ? นายจะทำยังไง?” อันธกล่าวถามพร้อมกับส่ายหัว
“ฉันไม่สนใจว่ามันจะเป็นปลาช่อนหรือปลาฉลาม ท้ายที่สุดฉันก็จะเอาพวกมันไปทำแกงปลาให้หมดอยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะด้วยความมั่นใจ
ฟุบ!
เซี่ยเฟยเริ่มเคลื่อนที่ลงไปที่เชิงเขาพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันจะบ้าบิ่นจนเกินไปแล้ว!” อันธอุทานพร้อมกับถอนหายใจก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในสร้อยของตัวเอง
เขาเบื่อที่จะห้ามปรามการกระทำที่บ้าระห่ำของเซี่ยเฟยแล้ว ท้ายที่สุดไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะบ้าแค่ไหนแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องปล่อยเซี่ยเฟยให้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการต่อไป เพราะเขาไม่ได้มีร่างกายที่จะออกไปห้ามชายหนุ่มอยู่แล้ว
เซี่ยเฟยมุ่งหน้าลงเขาไปเป็นเส้นตรงแต่จิตสังหารของเขาไม่ได้ดึงดูดเซราฟิมเข้ามาเลย แต่มันกลับข่มขู่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่าแทน
ภาพที่เกิดขึ้นคือกวางสามเขาวิ่งหนีไปข้าง ๆ กับเสือตาเดียว ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติพวกมันจะเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน แต่เมื่อต้องเจอกับจิตสังหารอันรุนแรงพวกมันก็ยังเลือกที่จะหนีไปเคียงข้างกันดีกว่าต้องเสี่ยงอยู่ในบริเวณนี้
จิตสังหารของเซี่ยเฟยก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งป่า สัตว์บางตัวถึงกับตื่นตระหนกจนหลงฝูงออกไปเลยก็มี
ในเวลาเดียวกันเอเรสก็ยังคงบินอยู่บนชั้นบรรยากาศและใช้กล้องความละเอียดสูงเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม
น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบ 4,000 เมตรต่อวินาที มันจึงทำให้กล้องไม่สามารถจับภาพของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ภาพที่ปรากฏก็ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนบนยานรู้สึกตกตะลึง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังพยายามทำอะไร แต่การปรากฏตัวของเขาก็เหมือนกับเทพเจ้าแห่งความตายที่ทำให้สัตว์ทั่วทั้งป่าหนีกระเจิงกันไปหมด
ทันใดนั้นไฟสัญญาณระบบสื่อสารก็ส่องแสงกระพริบ ก่อนที่ภาพของทูรามจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“สวัสดีครับท่าน!” กัปตันและรองกัปตันยืนขึ้นแสดงความเคารพ
“นั่งลงได้ ตอนนี้เซี่ยเฟยอยู่ไหน?” ทูรามถาม
“คุณเซี่ยเฟยลงไปบนดาวแล้วครับ และในตอนนี้เขาก็กำลัง…” กัปตันยานกล่าวขึ้นมาด้วยความลังเลใจ เพราะเขาไม่สามารถหาคำมาอธิบายการกระทำของชายหนุ่มได้
“เขากำลังทำอะไร?” ทูรามตะโกนขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“เขากำลัง... กำลังไล่สัตว์ในป่าครับ” กัปตันยานพยายามรายงานภาพที่เห็นออกไป
“ไล่สัตว์ในป่า? หรือว่าเขาอยากจะจับสัตว์พวกนั้นมาทำอาหารกิน” ทูรามพึมพำกับตัวเอง
“ไม่น่าใช่นะครับ เขาแค่ขับไล่พวกมันออกไปแต่ไม่จับสัตว์ตัวไหนเลย” กัปตันยานกล่าว
“เขาได้บอกหรือเปล่าว่าเขากำลังจะทำอะไร?”
“ไม่ได้บอกครับ เขาแค่บอกให้เรามาที่นี่ ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปในป่าและปล่อยจิตสังหารออกมาตลอดเวลาจนสัตว์ป่าวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปคนละทาง”
“ส่งสัญญาณวิดีโอมาให้ฉันที ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าเด็กคนนี้กำลังจะทำอะไร” ทูรามกล่าวพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งแตะคางของเขาเอาไว้
“ได้ครับ”
หลังจากนั้นกัปตันก็ส่งสัญญาณวิดีโอไปให้กับทูรามเผยให้เห็นภาพเซี่ยเฟยที่กำลังวิ่งอยู่ในป่าพร้อมกับเซเลสเชียลมูนที่อยู่ในมือ
“ความเร็วของเขาน่าจะเกิน 3,000 เมตรต่อวินาทีไปแล้วสินะ” ทูรามอุทานหลังจากที่ได้เห็นภาพอันพร่ามัวของชายหนุ่ม
“เครื่องตรวจจับความเร็ววัดความเร็วเฉลี่ยได้ที่ 3,851 เมตรต่อวินาทีครับ” กัปตันกล่าวรายงาน
ทูรามพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็วิ่งทะลุออกไปจากป่าก่อนที่เขาจะกลับตัว 360 องศาและวิ่งกลับไปในทิศตรงกันข้าม
หลังจากดูไปสักพักทูรามก็ไม่รู้ว่าเซี่ยเฟยกำลังจะทำอะไร แต่ในขณะที่เขาจะวางสายไปนั่นเองมันก็มีเสียงร้องคำรามแปลก ๆ ระเบิดออกมาเหมือนกับฟ้าร้อง
***************