บทที่ 192: ต่างกันราวฟ้ากับเหว
หยินชางหันหน้าไปมองตามต้นเสียง แล้วได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารักยืนอยู่ข้างหลังตน นางกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพร้อมกับยืนเท้าสะเอว
ผิวของเด็กผู้หญิงคนนี้ขาวเหมือนกับหิมะที่ตกในฤดูหนาว นางดูสดใสผุดผ่องมาก ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์ที่สกปรกมอมแมมของเขาราวฟ้ากับเหว
ดวงตากลมโตที่ดูฉลาดคู่นั้นเปล่งประกายตัดกับดวงตาอันมืดมนของเด็กหนุ่ม หากจะให้เปรียบเทียบนัยน์ตาของเขาเป็นเวลากลางคืน นัยน์ตาของนางก็คงเป็นดั่งดวงดาวที่สุกใสบนท้องฟ้ายามราตรี
หยินชางยืนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปทางอื่น
“นี่ ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้าในเผ่าของเรามาก่อน?”
เมื่อหลงหลิงเอ๋อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบ นางจึงทวนคำถามอีกครั้ง
ระหว่างที่พูดสาวน้อยคอยมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ก่อนจะจำได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่เด็กในเผ่าของตน
เมื่อสักครู่นางได้ยินภูตคนอื่นพูดคุยกันว่าแม่จิ้งจอกช่วยเหลือภูตที่ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ท่านแม่จะเอาเด็กคนนี้กลับไปเลี้ยงหรือไม่?
พอหลงหลิงเอ๋อคิดได้เช่นนี้ นางก็ตื่นตัวมากกว่าเดิมพลางจ้องมองหยินชางเขม็งประหนึ่งว่านางกำลังป้องกันคนร้ายที่จะมาฉกชิงตัวแม่ของตนเอง
ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเด็กสาว เขาเอาแต่เฝ้าดูการกระทำของหูเจียวเจียวที่กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้หยินกู่เงียบ ๆ
ท่าทางของเขาทำให้หลงหลิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
เจ้าหมอนี่จ้องมองท่านแม่เขม็งเลย เขาต้องพยายามขโมยแม่ของข้าแน่ ๆ!
ท่านพ่อก็ชอบทำอย่างนั้น!
“นั่นคือแม่ของข้า ไม่ว่าเจ้าจะมองนานแค่ไหน นางก็ไม่ใช่ของเจ้าหรอกนะ” สาวน้อยคิดเองเออเองเสร็จสรรพ จากนั้นนางก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าหยินชางเพื่อพยายามบดบังการมองเห็นของเขา
แล้วสายตาของเด็กหนุ่มก็ถูกบังคับให้มองใบหน้าเด็กสาว
ปรากฏว่าผู้หญิงที่ช่วยเขาและพี่ชายคือแม่ของนางอย่างนั้นหรือ?
นางช่างโชคดีเหลือเกินที่มีแม่สวยขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะเกิดมาหน้าตาดีตั้งแต่เด็ก...
ครู่ถัดมา หยินชางหลุบสายตาลงต่ำพลางถอยหลังไป 2 ก้าว ในขณะที่เขาถอยห่างจากเด็กผู้หญิงตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ในหัวเขาก็คิดว่ากลัวสิ่งสกปรกรวมถึงเลือดตามเนื้อตัวตนเองจะเปื้อนหนังสัตว์ที่สะอาดของนาง
“เจ้าเจ็บไหม? เลือดออกเยอะเลย...”
จุดที่แสงตกกระทบลงบนตัวของเด็กหนุ่ม หลงหลิงเอ๋อเห็นบาดแผลและเลือดบนร่างกายของเขา
คิ้วเรียวสวยขมวดแน่นยิ่งขึ้นหลังจากได้เห็นสภาพของอีกฝ่าย แต่นางไม่ได้รู้สึกโกรธเขาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“เจ้าต้องการให้แม่ของข้ารักษาแผลของเจ้าสินะ!” สาวน้อยกล่าวพร้อมใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดในทันที
ช่างเถอะ! เพื่อเห็นแก่อาการบาดเจ็บของเขา ข้าจะยอมสละท่านแม่ให้ไปช่วยเขาสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน!
ทางด้านหยินชางมองคนพูดด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนที่เขาจะทันได้ส่ายหัวปฎิเสธ เขาก็ได้ยินนางพูดต่อว่า
“แม่ของข้าเก่งมากเลยนะ เจ้าโชคดีที่ได้พบแม่ของข้า”
จากที่ตอนแรกเด็กหนุ่มจะปฏิเสธก็กลายเป็นพยักหน้าตอบกลับแทนเสียอย่างนั้น
“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” หลงหลิงเอ๋อพูดอยู่คนเดียวมาตั้งนานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหยินชางไม่ยอมตอบอะไรนางสักคำ
เด็กสาวจึงเอียงศีรษะพลางโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย จากนั้นนางก็มองสำรวจเขาแบบละเอียดยิบ
การกระทำของสาวน้อยส่งผลให้หยินชางตกใจกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้หน้าตนเองอย่างกะทันหัน ขณะนี้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น เด็กหนุ่มรีบถอยหนีให้ห่างทันที แต่เขาลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่ตรงมุมกำแพงแล้ว หัวของเขาจึงชนเข้ากับกำแพงเสียงดัง
โป๊ก!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกภูตที่อยู่โดยรอบหันมามองทั้งคู่ทีละคน
เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นลูกของหูเจียวเจียว พวกเขาก็มองไปทางอื่นทันที ในขณะที่ไม่มีใครกล้าไล่นางออกไป
ตามปกติแล้วเด็กในเผ่านั้นซุกซนมาก แต่ผู้ใหญ่ทุกคนรู้ว่าลูกทั้ง 5 คนของแม่จิ้งจอกประพฤติตัวดีมาก พวกเขาไม่เคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ต้องหนักใจ บวกกับสถานะของหูเจียวเจียวในปัจจุบัน เหล่าภูตที่อยู่ในเผ่าจึงปฏิบัติต่อเด็กตระกูลหลงเป็นอย่างดี
“หลิงเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
จิ้งจอกสาวเพิ่งรักษาอาการบาดเจ็บของหยินกู่เสร็จ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงหันไปเห็นว่าเป็นหลงหลิงเอ๋อ นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
“ท่านแม่!”
ทันทีที่เด็กสาวได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ท่าทางของนางก็ร่าเริงแจ่มใสขึ้นทันที พร้อมเผยรอยยิ้มแสนหวาน
จากนั้นนางวิ่งเข้าไปกอดต้นขาของหูเจียวเจียวพลางร้องกระจองอแงเสียงดังโดยทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ระวังหน่อย เนื้อตัวแม่สกปรก ปล่อยก่อนเร็วเข้า อย่าให้เลือดเปื้อนตัวเจ้า”
ยามนี้แม่จิ้งจอกยังคงถือยาและผ้าพันแผลอยู่ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กด้วยวาจาเท่านั้น
หลงหลิงเอ๋อส่ายหัวปฏิเสธ “ท่านแม่มีกลิ่นหอม ฉะนั้นตัวท่านไม่สกปรกเลย!”
หูเจียวเจียวที่ได้ยินคำพูดของลูกสาวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อหยินชางได้เห็นปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง 2 แม่ลูก นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาก็เป็นประกายด้วยความอิจฉา เขาเม้มริมฝีปากพลางเดินไปที่ข้างเตียงเพื่อจับมือของพี่ชายแน่นพร้อมกับซบหน้าลงบนฝ่ามืออีกคน
“ท่านแม่ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ท่านช่วยเขาได้ไหม?” หลงหลิงเอ๋อปล่อยมือตัวเองทันที แล้วใช้มือข้างหนึ่งชี้ไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวเงียบ ๆ และใช้อีกมือดึงกระโปรงของแม่จิ้งจอก
อันที่จริงนางให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของหยินชางมาก
“ได้สิ”
หูเจียวเจียวตอบแล้วมองไปทางเด็กชายตัวเล็กที่กำลังซบตัวอยู่ข้างหยินกู่
เด็กคนนี้ไม่ยอมพูดอะไรเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นเด็กที่โตเกินวัย จิตใจของเขาจะต้องละเอียดอ่อน ไม่ไว้วางใจใครง่าย ๆ เธอเดาว่าเขาคงกำลังตกใจกลัว เขาจึงมีปฏิกิริยาแบบนั้นเพราะความเครียด
“ข้าจะช่วยห้ามเลือดเจ้าเอง ไม่ต้องกลัว” หญิงสาวพยายามเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ พลางพูดเกลี้ยกล่อมไปด้วย
หูเจียวเจียวพร้อมรับการต่อต้านของหยินชางแล้ว แต่เธอไม่คาดคิดว่าครั้งนี้เขาจะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี จนกระทั่งหนังสัตว์ในมือของเธอสัมผัสบาดแผลของอีกคน เขาก็แค่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทว่าไม่ได้หลบเลี่ยง
นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หลังจากนั้นเธอก็ทำความสะอาดบาดแผลก่อนจะพันผ้าพันแผลให้เด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าหยินชางจะไม่ขัดขืน แต่ร่างกายของเขากลับเกร็งตัวแน่นตลอดเวลา จนกระทั่งจิ้งจอกสาวพันผ้าพันแผลให้เขาเสร็จ
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อยืนอยู่ข้างหลังแม่จิ้งจอกเลิกคิ้วมองเด็กชาย ไม่นานนางก็เชิดคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “เอาล่ะ เท่านี้ก็เรียบร้อย ข้าบอกแล้วว่าท่านแม่ของข้าเก่งมาก”
หยินชางเหลือบมองคนพูดก่อนจะกลับไปที่ด้านข้างของพี่ชายโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ท่าทางนั้นบ่งบอกได้ว่าหยินกู่คือโลกทั้งใบของเขา
“นี่เจ้า...” หลงหลิงเอ๋อขมวดคิ้วพลางเม้มริมฝีปากมองดูท่าทางน่าสงสารของเขา และในที่สุดนางก็กลืนคำพูดของตัวเองลงคอไป
ปัจจุบันหยินกู่เจ็บปวดมากจนไม่มีแรงจะพูด แม้หลังจากเขากินยาแก้ปวดที่ได้รับจากหูเจียวเจียว ความเจ็บปวดก็ยังคงแทรกซึมเข้าไปในไขกระดูก อีกทั้งยาแก้ปวดก็ไม่มีผลต่อพิษในร่างกายของเขาเลย
ในช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่จำกัด ชายหนุ่มทำได้เพียงจ้องมองน้องชายตัวน้อย จากนั้นเขาก็กวาดตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“พวกเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าพวกเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้” หัวหน้าเผ่ามองดูหยินกู่ด้วยความโล่งใจ แล้วบอกให้ภูตคนอื่นออกจากบ้านไม้ไปเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักฟื้น
ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป ชายชราได้ส่งภูต 2 คนไปเฝ้าประตูทางเข้าเอาไว้
คนนอกยังไงก็คือคนนอก ดังนั้นคนในเผ่ายังคงต้องระมัดระวังตัวเองไว้ก่อน
ส่วนหูเจียวเจียวที่เพิ่งเสร็จงานก็จับมือหลงหลิงเดินออกไปจากบ้านไม้
ขณะเดียวกัน หยินชางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านหลังของเด็กสาว แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นบางสิ่งหรือไม่ เพราะนางเองก็หันกลับไปมองเขาเช่นกัน
สายตาของทั้ง 2 สบประสานกันชั่วครู่ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายรีบเสมองไปทางอื่น
ทว่าดวงตาสีดำสนิทที่หลบเลี่ยงออกไปนั้นมีความลำบากใจซ่อนอยู่
หยินกู่ที่นอนอยู่ด้านข้างน้องชายดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคน และร่องรอยของความกังวลก็ฉายบนใบหน้าอันแสนอ่อนแรงของเขา
“แค่ก ๆ...”
ชายหนุ่มไอขึ้นมากะทันหัน หน้าอกของเขากระตุกจนยกขึ้นจากเตียง หยินชางจึงคว้ามือของเขาอย่างประหม่า
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวล...” หยินกู่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับมีรอยยิ้มจาง ๆ แต้มที่มุมปาก ซึ่งท่าทางนี้เขาแค่ต้องการปลอบโยนเจ้าน้องชายตัวเล็กเท่านั้น
แต่สิ่งที่คนอื่นเห็นกลับกลายเป็นว่ารอยยิ้มของเขาช่างดูเหยเกยิ่งกว่าเวลาร้องไห้เสียอีก
หยินชางมองดูสภาพของพี่ชายแล้วขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขวาขึ้นลูบอากาศตรงหน้าอก 2 ครั้งอย่างรวดเร็ว
“ข้าสบายดี ข้าแค่สำลัก...” หยินกู่เข้าใจว่าอีกคนต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาจึงส่ายหัวพร้อมกับยิ้มติดตลก “เจ้าอย่าทำหน้าบึ้งตลอดเวลาแบบนี้สิ”
ทว่าเด็กหนุ่มยังคงทำหน้าเคร่งขรึมและเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา
“ชาง เจ้าอยากอยู่ที่นี่ไหม?”
หยินชางส่ายหัวหลังจากได้ยินคำถามของผู้เป็นพี่
ถึงกระนั้น หยินกู่ก็ยิ้มราวกับว่าเขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของน้องชาย และพึมพำกับตัวเองว่า “ที่นี่ดูอบอุ่นมาก ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ต่อ แต่ข้ากลัวว่าเผ่านี้จะได้รับผลกระทบ...”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: หลิงเอ๋อน่าร้าก เราหลง(ที่แปลว่าหลง)หลิงเอ๋อหนักมาก ><