ตอนที่ 8 บ้านเคลื่อนที่
“มินโฮ ระหว่างกิ้งก่าตัวนี้กับเจ้าเต่าทมิฬเธอมีความคิดเห็นอย่างไรกับพวกมัน?”
มู่เหลียงถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองมินโฮ
“เต่าทมิฬ?”
มินโฮชะงักไปนิดนึง ก่อนที่จะนึกได้ว่ามันคือชื่อเต่าที่มู่เหลียงฝึก
ก่อนที่นางจะก้มหน้าและครุ่นคิดอะไรสักอย่างและพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“หากดูจากขนาดแล้วเจ้ากิ้งก่าน่าจะเก่งกว่า!”
มู่เหลียงพยักหน้าเห็นด้วย ขนาดของเจ้าเต่าทมิฬมันใหญ่โตเกินไปจริงๆ
และมีข้อเสียอีกหลายอย่างทั้ง เชื่องช้า และเทอะทะไม่มีความคล่องตัว
แต่ความสามารถหนามหินของมันก็พอจะทดแทนข้อเสียเหล่านี้ได้
“มู่เหลี่ยง ฉันขอปีนขึ้นไปบนตัวมันได้ไหม?”
มินโฮกระพริบตาหลายครั้ง พร้อมกับจ้องมองมู่เหลียงอย่างกระตือรือร้น
“ได้สิ!”
มู่เหลียงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับไป
มู่เหลียงสั่งให้เต่าทมิฬใช้หนามหินสร้างบันไดให้พวกเขาขึ้นไปบนหลังของมัน
แอ๊!!
เต่าทมิฬร้องออกมาอีกครั้ง ก่อนที่หินบนกระดองของมันจะหดลง และให้ทั้งสองขึ้นไปบนหลังของมันได้
“ว้าว เจ้าเต่าทมิฬ เจ้าเข้าใจที่เราพูดด้วยงั้นหรอ!”
สายตาของมินโฮนั้นดูเป็นประกาย และดูสนอกสนใจเต่าทมิฬมากขึ้นไปอีก ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินไป
บนหลังของเต่าทมิฬเป็นลานกว้างๆ วงกลม ประมาน 7 - 8 เมตร
และที่รอบๆ ขอบกระดองของมันก็เป็นหินยกสูง 1 เมตร กลายเป็นรั้วโดยธรรมชาติ
“เต่าน้อยแกใส่ใจจริงๆ”
แอ๊!!
เต่าทมิฬร้องออกมาตอบรับคำชมของมู่เหลียงอย่างมีความสุข
“เจ้าเต่าทมิฬน้อยมันฉลาดจริงๆ”
มินโฮปีนขึ้นไปบนหลังเต่าทมิฬ และมองลงไปยังบันใดหินที่เดินชึ้นมาและเห็นว่าบันไดกำลังหดกลับเข้าไปในพื้น
เด็กสาวมองไปรอบๆ หลังเต่าที่ดูแบนและเป็นลานโล่งๆ
มินโฮจึงพูดขึ้นอย่างติดตลกว่า
“มู่เหลียง ไม่คิดบ้างหรอว่า เราสามารถสร้างบ้านบนหลังของเต่าทมิฬน้อยได้!”
“นั้นสิ…สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียด้วย”
มู่เหลียงได้แรงบันดาลใจจากคำพูดเล่นของมินโฮทันที และความคิดนี้เข้าท่ามาก
สุดท้ายเขาเองก็ต้องมีสัตว์อสูรที่ฝึกเลี้ยงมากขึ้นในอนาคต มันคงไม่เหมาะที่จะไปอาศัยอยู่ชุมชนอื่น
และไม่มีทางที่จะอาศัยนอนตากลมห่มฟ้าของโลกที่พังพินาศแบบนี้ได้ด้วย
แต่หากมีเต่าทมิฬ และมันยังเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ขนาดของมันย่อมใหญ่โตตามไปด้วยอย่างแน่นอน
และบนหลังของเต่าทมิฬนั้นพอจะปรับแต่งเป็นที่อยู่อาศัยได้
มินโฮเองก็มองมู่เหลี่ยงที่กำลังใช้ความคิดอยู่ และถามขึ้นเบาๆ ว่า
“นี้ไม่ใช่ว่ามู่เหลี่ยงคิดจะสร้างบ้านบนหลังเต่าทมิฬจริงๆ ใช่ไหม?”
“ตอนนี้ยัง แต่อนาคตไม่แน่”
มู่เหลียงเมื่อได้ยินคำถามก็ได้สติกลับมา และยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แต่อย่างน้อยๆ ก็พอที่จะสร้างเพิงไม้เล็กๆ ชั่วคราวได้!”
“นี้ๆ อนาคตเราจะมีบ้านอยู่บนหลังเต่านี้จริงๆ งั้นหรอ?”
มินโฮถามต่อด้วยความตื่นเต้น
“แล้วมินโฮรู้สึกยังไงกับการที่จะมีบ้านเคลื่อนที่ได้ละ?”
มู่เหลียงยกมือขึ้นจับคางแล้วพูดต่อ
“แต่ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอนนี้”
มินโฮกระโดดไปกระโดดมาด้วยความดีใจ และดูเหมือนว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอเลยทีเดียว
“ถ้าถึงตอนนั้น พวกเราจะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ โดยมีบ้านเคลื่อนที่ ความรู้สึกเหมือนนักล่านักสำรวจเลย!”
มินโฮคิดว่าการเดินทางอาจจะช่วยทำให้เธอตามหาพี่สาวของเธอได้
“มู่เหลียง ถ้าเราก่อกองไฟบนหลังของเต่าทมิฬ มันจะไม่ร้อนงั้นหรอ?”
“ไม่หรอก กระดองของมันเป็นหินมันกันไฟกันร้อนได้”
“มู่เหลียง หากเราขนของมาเยอะ เต่าทมิฬจะรับน้ำหนักไหวไหม ฉันกลัวมันหนัก..”
“ฉันว่าต่อให้ขึ้นมาอีกสักร้อยคนเต่าทมิฬก็ยังเดินได้สบายๆ!”
มู่เหลียงพิงตัวกับรั้วหิน และดูเด็กสาววางแผนต่างๆ นาๆ ในการเตรียมตัวมาอยู่บนหลังเต่า
เขานั้นรู้สึกได้เลยว่าชีวิตของเขามีชีวิตชีวามากขึ้นตั้งแต่รู้จักกับมินโฮ
มินโฮอยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“มู่เหลี่ยง กลับค่ายก่อน!! ฉันจะกลับไปเอาเพิงไม้!”
“เข้าใจแล้วไม่ต้องกังวลไปหรอก”
มู่เหลี่ยงสายหัวพร้อมกับอมยิ้ม
“อย่าตื่นเต้นจนลืมเรื่องโจรด้วยล่ะ”
“อะ!! จริงด้วย….เกือบลืมไปแล้วเชียว”
มินโฮแลบลิ้นออกมานิดนึงและพูดออกมาอย่างเขินอาย
เด็กน้อยเดินมาหามู่เหลียง และใช้มือเล็กๆ ของเธอจับชายเสื้อของชายหนุ่ม ก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“แต่ถ้ามันเสี่ยงเกินไป….เราก็ออกเดินทางกันวันพรุ่งนี้เลยก็ได้นะ”
แม้ว่ามินโฮจะเป็นเด็กใจดีก็ตาม แต่เวลานี้เธอกลับแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา และไม่สนใจคนในค่ายของเธอ
มินโฮไม่ต้องการให้มู่เหลียงนั้นเสี่ยงอันตราย เธอกลัวว่าจะสูญเสียความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ของเธอ
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก”
มู่เหลี่ยงตอบกลับไป ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆสีเทาบดบังแสงอาทิตย์
แล้วก่อนที่เมฆนั้นจะพัดผ่านไป ทำให้แสงส่องลงบนหน้าของมู่เหลี่ยงอีกครั้ง
มู่เหลี่ยงแค่ไปเตือนคนในค่ายเท่านั้น ถ้าหากว่าทุกคนไม่เชื่อเขา
อีกสองวันเขาจะออกเดินทางไปพร้อมกับมินโฮ
โลกนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี และสนใจคนอื่น หากแสดงความเมตตาแล้วไม่รับก็ปล่อยไปตามทางของเขา
“ว่าแต่..มินโฮเธอไม่มีคนในค่ายที่สนิทและผูกพันบ้างเลยหรอ”
“อย่างเพื่อนอะไรแบบเนี้ย”
มู่เหลี่ยงไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมินโฮเลยจึงถามขึ้น
“มีกลุ่มคนไม่กี่คนที่จับกิ้งก่าตัวเล็กแบบฉัน และก็พอจะเป็นมิตรกันอยู่”
ก่อนที่มินโฮจะมองไปอีกทางและพูดขึ้นอย่างเซงๆ
“แต่ฉันเลือกจะปลีกตัวเองอยู่คนเดียว”
“ก็เรียกว่าเพื่อนได้สินะ”
มู่เหลี่ยงถามต่อ
“ก็อาจจะใช่…..น่าจะใช่…”
แววตาของมินโฮดูเลื่อนลอยเล็กน้อย ก่อนที่จะเกาแก้มอย่างเขินๆ
มินโฮนึกถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ออกไปล่ากิ้งก่ากับเธออยู่บ่อยๆ แต่มักจะจับได้ไม่เท่าเธอ และบางทีเขาก็พยายามจะขโมยกิ้งก่าของเธออีกด้วย
แต่ผลลัพธ์ก็พอจะคาดเดาได้เด็กสาวเป็นผู้กลายพันธ์ ด้วยพลังที่มีเธอได้ทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บร้องไห้กลับไป และเด็กสาวเองก็ปล้นกิ้งก่าจากพวกเขาหลายครั้ง
หลังจากนั้นมาคนเหล่านี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มินโฮอีกเลย
“มันก็ดูไม่เหมือนเพื่อนเท่าไร”
การแสดงออกของมินโฮทำให้มู่เหลียงพอจะเข้าใจได้ว่ามันเกิดเรื่องยากลำบากอะไรขึ้นแน่
นอกจากนี้เขายังเห็นแล้วว่าก่อนหน้านี้เด็กสาวใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากขนาดไหน
และเขาคงเป็นเพื่อนคนแรกของเธอ