ตอนที่ 4 เด็กน้อยที่สับสน
เช้าวันใหม่ได้มาถึง เป็นเช้าที่สดใส
เด็กสาวตื่นขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองเพดานของกระท่อมไม้ด้วยสายตาที่เหม่อลอย
เมื่อคืนมินโฮนั้นคิดเรื่องคำชวนของมู่เหลียงทั้งคืน จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว
ฟุตฟิต….
มินโฮสูดหายใจเข้า พร้อมกับขยับจมูกเล็กน้อย เพราะได้กลิ่นอาหารที่ลอยอยู่ในอากาศ
เด็กสาวหันไปมองที่ต้นทางของกลิ่น ก็เห็นกองไฟเล็กๆ ที่ลุกโชนขึ้น พร้อมกับฐานวางหม้อเหล็ก และกลิ่นหอมที่โชยออกมา
“ตื่นแล้วงั้นหรอ…มากินอะไรสักหน่อยมา”
มู่เหลียงนั้นถือช้อนและกำลังคนส่วนผสมต่างๆ ในหม้อเหล็กให้เข้ากัน อย่างเบามือ
มินโฮยังเหม่อลอยอีกสักพัก เพราะปกติเธอจะเป็นคนเตรียมอาหารเช้า
ก่อนที่เด็กสาวจะพูดออกมาอย่างช้าๆ
“นาย….หายดีแล้ว…งั้นหรอ”
“ใช่แผลข้าดีขึ้นมาแล้ว และกำลังก็ฟื้นกลับมาแล้ว”
มู่เหลียงตอบออกมาแผ่วเบา
มื้อเช้าของวันนี้คือขนมปังอบกรอบที่ติดตัวเขามาด้วย และซุปกิ้งก่าถึงจะน้อยแต่ก็พออิ่มท้อง
“อื้ม…”
มินโฮขานตอบกลับมาก่อนที่จะมานั่งข้างๆ กองไฟ
“กินให้อิ่ม วันนี้ฉันจะออกล่ากับมินโฮด้วย”
มู่เหลียงตักซุปกิ้งก่าใส่กล่องเหล็กใบเล็กๆ และส่งให้กับมินโฮ
เพื่อที่จะเตรียมตัวออกเดินทางไกล เขาต้องเตรียมอาหารเอาไว้ เพราะตอนนี้เหลือขนมปังอบกรอบไม่กี่ชิ้นแล้ว
“ขอบคุณ”
มินโฮรับกล่องเหล็กมาอย่างเชื่อฟัง
เด็กสาวจำกล่องเหล็กนี้ได้ดี เพราะเธอกะว่าจะเอาสิ่งนี้ไปจ่ายค่าส่วยของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่เพราะความลังเลใจมินโฮเลยไม่ได้เอาไปจ่ายเป็นค่าส่วย
มู่เหลียงเห็นว่าเด็กน้อยดูไม่สดใสเหมือนเดิม แต่เขาก็ไม่พยายามที่จะปลอบโยน
เขาตักซุปใส่ถาดอาหารเหล็กที่เป็นอุปกรณ์เดินป่าของเขา และกินมื้อเช้าอย่างเงียบๆ
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันเลยเอาแต่นั่งกินมื้อเช้าเท่านั้น
มินโฮนั้นได้แต่เม้มริมฝีปาก และชำเลืองมองมู่เหลียงอยู่หลายครั้ง
เด็กสาวไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เธอถึงไม่สามารถพูดคุยกับมู่เหลียงได้อย่างปกติ หรือหาเรื่องคุยได้เหมือนก่อนหน้านี้
ครืด!
เจ้าเต่ามันตะกุยพื้นจนเกิดเสียงดัง และมองไปยังมู่เหลียงด้วยแววตาสีเขียวมรกตของมัน
เมื่อมินโฮเห็นเจ้าเต่าก็เลยคิดเรื่องคุยออกทันที
“แล้วเจ้าเต่านี้หล่ะ”
“ฉันจะเอามันออกไปด้วย”
มู่เหลียงตอบก่อนที่จะลูบหัวเจ้าเต่าอย่างอ่อนโยน
เขาเป็นห่วงมันเพราะสัตว์อสูรฝึกตัวนี้ของเขามีระดับแค่ 1 มันยังอ่อนแออยู่ หากมีคนมาพบเข้ามันอาจจะถูกฆ่าและเอาเนื้อไปกินได้
อีกอย่างเขาต้องการให้เต่าหินออกไปหาอะไรกิน เพราะมันสามารถออกหาอาหารกินเองตามธรรมชาติได้
“นั่นสินะ”
มินโฮตอบสั้นๆ พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
ก่อนที่บรรยากาศระหว่างสองคนจะกลับมาเงียบอีกครั้ง
หลังมื้อเช้า ทั้งสองก็ได้เอากิ่งไม้และสิ่งของรอบๆ มาปิดพรางทางเข้ากระท่อม เพื่อกันคนเข้ามาขโมยของตอนที่พวกเขาไม่อยู่
บ้านของมินโฮนั้นเป็นกระท่อมไม้เล็กๆ ที่เก่ามาก มีหลายส่วนที่เอาหนังสัตว์มาซ่อมแซมตัวบ้านด้วย
และกระท่อมนี้ตั้งอยู่ขอบสุดของค่ายแห่งนี้ เป็นอะไรที่เข้าทางทั้งสองคน และเจ้าเต่าที่จะออกไปจากค่ายอย่างเงียบๆ
เต่าหินตัวนี้มันคลานได้ไม่เร็วเท่าไร พอๆ กับการเดินของมนุษย์ธรรมดา แต่รูปร่างของกระดองมันนั้นเหมือนก้อนหินซึ่งพรางสายตาได้ดี
หลังจากที่ออกมาจากค่ายแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปทางเหนือพร้อมกับเจ้าเต่า
ตามคำบอกเล่าที่มินโฮบอกมา เด็กน้อยบอกว่าทางเหนือนั้นมีพื้นที่เนินเขา และมีโขดหินเล็กๆ ทำให้มีกิ้งก่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
และระหว่างทางที่กำลังเดินทาง มู่เหลียงเองก็สังเกตเห็นผู้ที่ออกมาล่าสัตว์เหมือนกับพวกเขาเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่เหลียงกับมินโฮก็รีบหนีหายไปทันที
แต่นั้นก็พอที่มู่เหลียงพอจะคาดเดาเหตุผลได้ ในวันที่โลกล่มสลายแบบนี้ เพื่อความอยู่รอดการหักหลัง และปล้นสะดมกันคงเป็นเรื่องปกติ
และเนินหินนั้นอยู่ไม่ไกลจากค่ายเท่าไร ไม่นานทั้งสองก็มาถึงเชิงเขา
“เจ้าเต่าทมิฬ แกออกไปหาอาหารกินเองล่ะกันนะ”
มู่เหลียงย่อตัวลงและตบเบาๆ ไปสองสามทีที่หัวเจ้าเต่า
เขาได้ตั้งชื่อให้มันว่าเต่าทมิฬตามชื่อของเทพสัตว์อสูรที่เขารู้จัก และต้องการให้มันเติบโตไปเป็นเช่นนั้น
แอ๊!!
เต่าทมิฬร้องออกมาเหมือนกับเข้าใจสิ่งที่มู่เหลียงพูด ก่อนที่มันจะเดินหายในซอกหิน
“มันจะไม่หายใช่ไหม?”
มินโฮถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง เต่าทมิฬกับฉันสัมผัสถึงกันและกันได้”
มู่เหลียงตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
สัตว์อสูรที่ฝึกนั้นสามารถสัมผัสทางจิตกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากสำหรับมู่เหลียง
มินโฮเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะชี้นิ้วไปข้างหน้า
“นั้นกับดักที่ฉันวางเอาไว้ มันอยู่แถวๆ เนินเขาเล็กๆ นั้น”
“ไปดูที่กับดักเถอะ เดี๋ยวฉันจะลองล่าอะไรแถวนี้ดูหน่อย”
มู่เหลียงตัดสินใจแยกกับมินโฮ
เพราะสิ่งที่เขาต้องการล่านั้นไม่ใช่กิ้งก่าตัวเล็กๆ เนื้อมันน้อยเกินไปที่จะทำให้ผู้ใหญ่อิ่มท้องได้
“อืมตกลง…”
มินโฮตอบกลับมาเบาๆ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ตะโกนเรียก ดังๆ ละกันนะ”
“เข้าใจแล้ว”
มู่เหลียงตอบพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย และเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเจ้าเต่าทมิฬ
“โอ๊ย!!! ทำไมวันนี้มันน่าหงุดหงิดจัง!”
มินโฮนั้นบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย และใช้มือทั้งสองข้างตบที่แก้มทั้งสองเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“.....”
มู่เหลียงที่พึ่งเดินออกมาไม่ไกลก็ได้ยินสิ่งที่เด็กน้อยพูดขึ้นแต่เขาก็ไม่ทำอะไร
ที่เขาได้ยินก็เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาดีขึ้นตั้งแต่ได้รับพลังจากเจ้าเต่าทมิฬมา แม้จะเดินออกมาไกลแล้วก็ตามเขาก็ยังได้ยินเสียงเด็กน้อยถอนหายใจ
เด็กผู้หญิงตอนนี้ดูอารมณ์อ่อนไหวอย่างมาก และด้วยที่ว่าเธอนั้นอยู่ตัวคนเดียวมานาน จู่ๆ ก็มีคนมาอยู่ด้วยทำให้เธอนั้นรู้สึกสับสน และทำตัวไม่ถูกมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่เหลียงเองก็ไม่คิดที่จะปลอบใจมินโฮ เพราะเขาคิดว่าหากเด็กสาวไม่ไปกับเขา การที่เขาไปทำดีกับเธอด้วย มันจะกลายเป็นผลร้ายมากกว่า
“ที่นี่มันกันดารจริงๆ ไม่ต่างจากประเทศที่ยากจนเลย”
มู่เหลียงก้าวเดินอย่างระมัดระวัง และกวาดสายตาไปรอบๆ ตัวเสมอ
เขาถอนหายใจเบาๆ
“ไม่รู้เลยว่าคนที่โลกนี้ มีชีวิตรอดกันได้ยังไง ในสภาพแวดล้อมแบบนี้”
แทรก!!
เสียงเหมือนมีบางสิ่งตกลงบนทรายได้ดึงความสนใจของมู่เหลียงทันที
เขาจ้องมองไปยังกำแพงแผ่นหินที่อยู่ไม่ไกลจากเขา และมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อจะเจอสัตว์สักตัว
ตอนนั้นเองเขาเห็นกิ้งก่ากำลังไต่แผ่นหินอยู่
“ขอโทษนะ ในเมื่อฉันเห็นแกแล้ว คงปล่อยแกไปไม่ได้
มู่เหลียงดึงมีดพกที่ติดตัวออกมาทันที ก่อนที่จะหยองเข้าไป และแทงเข้าที่หัวของกิ้งก่าอย่างรวดเร็ว
กี้!!!
กิ้งก่าดิ้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะสิ้นใจตาย
แทรก!!
แล้วก็มีกิ้งก่าอีกตัวโผล่ขึ้นมาจากรอยแยกบนแผ่นหิน ก่อนที่มันจะรีบปีนขึ้นบนแผ่นหินอย่างรวดเร็ว
“กิ้งก่าหลากสี!”
มู่เหลียงตกใจอยู่แว็บเดียว ก่อนที่เขาจะตั้งสติและตอบสนองในทันที เขารีบเอามือคว้ากดไปบนร่างของกิ้งก่าหลายสีได้ทันก่อนมันจะปีนขึ้นไปสูงกว่านี้
กิ้งก่าตัวแรกเป็นกิ้งก่าธรรมดา แต่ตัวที่สองนี้มันแตกต่างจากกิ้งก่าตัวอื่น
“ไม่คิดว่ากิ้งก่าพวกนี้จะกลายพันธ์ด้วย”
มู่เหลียงจ้องมองมันอย่างละเอียด ในขณะที่กิ้งก่าหลากสีก็พยายามดิ้นสุดกำลังเพื่อจะให้หลุดจากฝ่ามือของมู่เหลียง
ตัวของมันใหญ่กว่ากิ้งก่าปกติถึงสองเท่า และมีสามสีบนตัว แดงเขียวน้ำเงิน
-ติ๊ง! ตรวจพบสิ่งมีชีวิตที่ฝึกเลี้ยงได้ ต้องการรับมาฝึกฝนหรือไม่-