ระบบยอดอาจารย์บ่มเพาะศิษย์ ตอนที่ 44 เรือนอสูร
แม้ชิงอี้จะตะโกนถามไปมากเสียเพียงใด แต่นางก็ยังไม่ได้คำตอบจากเซวียนห่าวเช่นเดิม นางจึงตัดสินใจเก็บข้าวของที่จำเป็นและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้น นางจะได้ว่าสิ่งที่อาจารย์ของนางกล่าวนั้นหมายถึงอย่างใด
นางคิดว่าเขาคงใช้อสูรที่สามารถบินได้ เนื่องจากนิกายกระบี่ล่องนภาเป็นนิกายที่ใหญ่โต มันจึงปกติอยู่แล้วหากพวกเขาจะมีอสูรเช่นนั้นอยู่ในมือ
เมื่อนางคิดเช่นนั้น นางจึงไม่แปลกใจกับการที่ยอดฝีมือขอบเขตวิญญาณก่อกำเนิดจะมีอสูรที่สามารถบินได้ จากสิ่งที่นางรู้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตควบแน่นแก่นแท้ที่มั่งคั่งบางคนก็มีอสูรที่บินได้เช่นกัน !
ต่อให้ชิงอี้จะสงสัยไปแล้วนางจะได้อันใด นางจึงตัดสินใจไปพบกับจื่อหรัวและเจิ้งซื่อฮั่นเพื่อบอกลาก่อนที่นางจะจากไป มิหนำซ้ำนางยังได้เล่าเรื่องค่ายกลที่เซวียนห่าวได้ทำขึ้นให้กับเพื่อนของนาง
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นจากทางทิศตะวันออกเมื่อวันใหม่เริ่มขึ้นสำหรับศิษย์ของนิกายกระบี่ล่องนภาหลายคนต่างก็รู้สึกประหม่าและตึงเครียดเนื่องจากสถานการณ์ของอาณาจักรนภาสวรรค์และอาณาจักรนภาครามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แต่ชิงอี้กลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นขณะที่นางยืนอยู่นอกตำหนักและรอให้อาจารย์ของนางปรากฏตัว
เหตุผลที่ทำให้นางตื่นเต้นเช้นนี้เป็นเพราะในที่สุดนางก็จะได้กลับบ้านและกลับไปหาพ่อของนางอีกครั้ง ชิงอี้รู้สึกปลาบปลื้มกับการที่นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตการก่อตั้งรากฐานจนแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปแสดงให้พ่อของนางเห็น
นอกจากนั้นเซวียนห่าวยังได้พัฒนาเคล็ดวิชากระบี่ล่องนภาให้กับนางอีกด้วย
“เจ้ามาที่นี่แล้วหรือ? เจ้าจะไม่ทานอาหารเช้าเลยหรือไร” ขณะที่ชิงอี้กำลังหมกมุ่นกับความคิดของนาง นางก็สัมผัสได้ถึงเสียงที่ดังออกมาจากภายในตำหนัก ในไม่ช้านางก็เห็นเซวียนห่าวเดินออกมาจากตำหนักในชุดคลุมสีขาวสบาย ๆ ซึ่งแตกต่างจากชุดผู้อาวุโสหลักของเขาอย่างมาก
“เจ้าค่ะ ข้าตื่นแต่เช้าเพื่อให้แน่ใจว่าข้าจะพร้อมสำหรับวันนี้ ข้าได้ทานอาหารและกล่าวลาทั้งจื่อหรัวและเจิ้งซื่อฮั่นไปแล้ว หากท่านพร้อมก็เริ่มออกเดินทางได้เลย เจ้าค่ำ !” ชิงอี้ตอบคำถามของเซวียนห่าวในทันที
นางตอบอย่างตื่นเต้นจนทำให้เซวียนห่าวคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือชิงอี้ตัวปลอม
“งั้นหรือ… หากเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันเถิด” เซวียนห่าวเมื่อมองไปที่ชิงอี้ก่อนที่จะผงกหัวขึ้นลง เขาวางมือลงบนหัวของนางเบา ๆ เพื่อพยายามทำให้นางสงบลง สิ้งนี้ได้ทำให้ชิงอี้หน้าแดงด้วยความอับอายอย่างกระทันหัน
“หากเจ้าสงบสติได้แล้ว เราก็ไปที่เรือนอสูรของนิกายและรับอสูรเสียเถิด” เมื่อเซวียนห่าวพูดจบ ชิงอี้ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเดินตามหลังเซวียนห่าวไปอย่างเงียบ ๆ และไม่ตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
การกระทำก่อนหน้านี้จากอาจารย์นั้นมากเกินไปที่หัวใจของนางจะรับมือไหว ชิงอี้เฝ้าสังเกตอาจารย์ของนางอย่างเงียบ ๆ และระมัดระวังขณะที่ทั้งคู่เดินไปที่เรือนอสูร
เรือนอสูรของนิกายกระบี่ล่องนภาเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายแต่สวยงาม
อสูรทั้งหมดที่ศิษย์จับได้และฝึกให้เชื่องมักจะถูกเก็บไว้ในเรือนอสูรของนิกาย ส่วนอสูรที่จับได้และฝึกโดยผู้อาวุโส ส่วนใหญ่พวกเขามักจะเก็บอสูรเหล่านั้นไว้ที่ตำหนักของตน
น่าเศร้าที่เซวียนห่าวนั้นไม่สามารถจับอสูรได้แม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยืมพวกมันจากนิกาย โชคดีที่เขานั้นคือผู้อาวุโสหลักของนิกายจึงทำให้เซวียนห่าวทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเข้าไปในเรือนอสูร เซวียนห่าวและชิงอี้ก็ได้เห็นอสูรหลากหลายชนิด ตั้งแต่อสูรตัวเล็กขนาดเท่าลูกแอปเปิ้ล ไปจนถึงอสูรขนาดใหญ่พอที่จะแบกคนสองถึงสามโหลไว้บนหลังได้
“ท่านผู้อาวุโสเซวียน ท่านมีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่” ขณะที่เซวียนห่าวเข้าไปในเรือนอสูรพร้อมกับชิงอี้ ชายชราตัวเตี้ยก็เดินไปข้างหน้าและโค้งคำนับก่อนจะถามอย่างสุภาพถึงจุดประสงค์ของพวกเขา
“ข้าต้องการใช้อสูรที่สามารถบินได้ จ้าวนิกายเฟิงเฉินได้บอกกับข้าให้มาที่เรือนอสูร” เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอสูรเลยแม้แต่น้อยและเขาก็จะไม่ยอมรับว่าตนนั้นขาดความรู้เรื่องอสูรต่อหน้าศิษย์ของตนเป็นอันขาด เขาจึงใช้ข้ออ้างว่าเฟิงเฉินได้บอกให้เขามาที่แห่งนี้
หากมีเวลาว่างเซวียนห่าวตั้งมั่นต่อตนเองว่าเขาจะต้องได้เรียนรู้ศาสตร์ที่ตนไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนเช่นศาสตร์การปรุงโอสถ การตีเหล็ก การฝึกอสูรและค่ายกล
“ข้าเข้าใจแล้ว... โปรดตามข้ามาเถิดผู้อาวุโสเซวียน ข้าแน่ใจว่าเรานั้นมีอสูรที่บินได้พอที่จะตอบสนองความต้องการของท่าน” เขาพูดราวกับเป็นพ่อข้าที่ชำนาญ ชายชราตัวเตี้ยพาพวกเขาเดินลึกเข้าไปในเรือนอสูร พวกเขาเดินผ่านอสูรมากมาย
อสูรตัวหนึ่งมีหัวเป็นสิงโตและมีลำตัวเป็นม้าทำให้มันดูตลกขบขันเป็นอย่างมาก ในขณะที่อีกตัวหนึ่งมีลำตัวเป็นช้างที่มีหนามแหลมยื่นออกมาทั่วตัว
เซวียนห่าวและชิงอี้ต่างประหลาดใจกับอสูรนานาชนิด พวกเขาค่อย ๆ เดินลึกเข้าไปในเรือนอสูรโดยมีชายชราตัวเตี้ยนำทาง