ตอนที่แล้วตอนที่ 195: พยายามเกลี้ยกล่อม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 197: ยานรบระดับ T2!

ตอนที่ 196: ไม่สามารถติดต่อได้


ตอนที่ 196: ไม่สามารถติดต่อได้

“ขอแสดงความยินดีด้วย” อันธกล่าวกับเซี่ยเฟยด้วยรอยยิ้ม

“แสดงความยินดีอะไร?”

“ในที่สุดนายก็สามารถลากเฒ่าพอตเตอร์ลงเรือลำเดียวกับนายได้ ฉันไม่ควรแสดงความยินดีกับเรื่องนี้หรอ” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์

ถึงแม้คำว่า ‘ลากพอตเตอร์ลงเรือลำเดียวกัน’ จะฟังดูไม่ค่อยดี แต่เซี่ยเฟยก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

นับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทควอนตัมเขาก็คิดมาโดยตลอดว่าพอตเตอร์คือคนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทของเขาได้ เพราะความรู้ของชายชราคนนี้จัดอยู่ในระดับของผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของพันธมิตร และโดยปกติผู้เชี่ยวชาญในระดับนี้ก็ไม่มีทางเข้ามาทำงานในบริษัทขนาดเล็กอย่างควอนตัม

ด้วยระดับความสามารถที่พอตเตอร์มีตราบใดที่ชายชราคนนี้พูดว่าอยากทำงานในบริษัท มันก็จะมีบริษัทชั้นนำเสนอผลประโยชน์ให้กับเขาเป็นจำนวนมากชนิดที่ว่าบริษัทควอนตัมไม่สามารถจะเสนอผลประโยชน์เช่นนั้นได้

ยิ่งเขาได้อยู่ในทุ่งดาวแห่งความตายนานเท่าไหร่เซี่ยเฟยก็ยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งความแข็งแกร่งที่เขาได้ตระหนักถึงนี้ไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องความสามารถในการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลมีความซับซ้อนและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นเครือข่ายของคนรู้จักจึงได้กลายเป็นเรื่องสำคัญ

ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยไม่ได้รู้จักกับพอตเตอร์ เขาก็คงจะไม่สามารถหาเครื่องยนต์ระดับสูงอย่างเครื่องยนต์แบล็คเซอร์เพนท์ 130 มาติดตั้งให้กับยานอวกาศของเขาได้ ซึ่งถ้าหากว่าแวมไพร์ขาดเครื่องยนต์ระดับสูงแบบนี้ไป เขากับพอตเตอร์ก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในพื้นที่เขตแรงโน้มถ่วงสูงแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เซี่ยเฟยยังได้เลือกเส้นทางที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจในพันธมิตร มันจึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องละทิ้งความพยายามในการดึงตัวคนที่มีความสามารถอย่างพอตเตอร์มา เพราะท้ายที่สุดหากเขาต้องการให้บริษัทควอนตัมขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำภายในพันธมิตร เขาก็จำเป็นจะต้องค้นหาผู้เชี่ยวชาญไปช่วยเหลือบริษัทให้ได้มากที่สุด

หลังจากยืมยานอวกาศจากย่าเหวยมาได้แล้ว พอตเตอร์ก็เดินทางไปยังดาวเคราะห์ DLC-113 เพื่อพูดคุยกับวินด์ไชม์ ขณะที่เซี่ยเฟยยังคงอยู่ในฐานทัพเพื่อทำการซ่อมแซมแวมไพร์

ในครั้งนี้พิกเกิลผู้ซึ่งเป็นคนคอยอำนวยความสะดวกให้กับเซี่ยเฟยไม่กล้าที่จะยึกยักอีกต่อไป เพราะย่าเหวยได้สั่งการเอาไว้อย่างเด็ดขาดว่า

‘หากเซี่ยเฟยต้องการอะไรนายต้องรีบนำของสิ่งนั้นมาให้เขาทันที ฉันไม่สนว่านายจะต้องใช้วิธีไหนแต่นายจะต้องช่วยเซี่ยเฟยซ่อมยานอวกาศให้เร็วที่สุด!’

ด้วยเหตุนี้เองตั้งแต่ที่เซี่ยเฟยเข้ามาในแผนกเครื่องยนต์ ชายอ้วนคนนี้ก็ปฏิบัติตัวกับเซี่ยเฟยราวกับว่าชายหนุ่มเป็นพ่อของเขาเอง ในความเป็นจริงพิกเกิลค่อนข้างจะแสดงออกมากเกินไปอยู่เล็กน้อยจนทำให้แม้แต่เซี่ยเฟยก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ

เซี่ยเฟยรู้ดีว่าฐานทัพแห่งนี้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับฐานทัพอื่น ๆ ในพันธมิตร ดังนั้นเขาจึงเลือกอะไหล่ที่มีค่าน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วค่อยกลับไปจัดการในส่วนที่เหลือหลังจากที่เขาได้กลับไปยังพันธมิตรแล้ว

หลังจากเซี่ยเฟยซ่อมแวมไพร์จนเสร็จพิกเกิลก็โค้งคำนับให้ชายหนุ่มอย่างขอบคุณ เพราะเขาไม่ได้นอนตลอด 3 วันที่ผ่านมาเนื่องจากเซี่ยเฟยไม่หยุดซ่อมแวมไพร์เลยแม้แต่นิดเดียว

แวมไพร์เป็นยานฟริเกตชั้นนำของพันธมิตรทำให้การพยายามซ่อมแซมยานลำนี้มีความซับซ้อนมากกว่ายานรบโดยทั่วไป แต่เซี่ยเฟยก็ยังสามารถจัดการซ่อมแซมแวมไพร์ด้วยทรัพยากรที่จำกัดได้ในเวลาเพียงแค่ 3 วัน ซึ่งมันได้สะท้อนให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถมากแค่ไหน

ช่วงเย็นของวันที่ 4 พอตเตอร์ก็กลับมาที่ฐานทัพตามลำพังโดยที่วินด์ไชม์ไม่ได้ติดตามเขามาด้วย

เซี่ยเฟยไม่รู้ว่าทำไมวินด์ไชม์ถึงไม่อยากไปอาศัยอยู่กับพอตเตอร์บนดาวโลก แต่เมื่อพิจารณาจากสีหน้าของชายชราแล้วเขาก็คงจะถูกคำพูดของวินด์ไชม์ทำร้ายจิตใจมาแน่ ๆ

ความคิดของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้อย่างยากลำบากเสมอ นอกจากนี้เท่าที่เซี่ยเฟยได้พบกับวินด์ไชม์มาเขายังสามารถบอกได้เลยว่าหญิงคนนี้ค่อนข้างที่จะรักอิสระและมีนิสัยแตกต่างจากผู้หญิงโดยทั่วไป

พอตเตอร์ไม่เลือกที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซี่ยเฟยฟัง และเซี่ยเฟยก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถามเซ้าซี้เรื่องของคนอื่น เขาจึงค่อย ๆ บังคับแวมไพร์บินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำแฮร์ริสกับพอตเตอร์เดินทางกลับไปยังพันธมิตร

การเดินทางในพื้นที่ไร้สัญญาณกินเวลาไปมากกว่า 1 เดือนและทันทีที่เครือข่ายสตาร์เน็ตเวิร์กกลับคืนมา เซี่ยเฟยก็รีบติดต่อหาฉินหมางอย่างร้อนใจ

ฉินหมางไม่มีไมโครคอมพิวเตอร์สวมใส่ไว้ที่ข้อมือและมักจะใช้คอมพิวเตอร์อัจฉริยะขนาดใหญ่ในห้องสมุดเพื่อทำการติดต่อหาคนอื่นเสมอ แต่นี่ก็เป็นวิธีการติดต่อฉินหมางวิธีเดียวที่เซี่ยเฟยรู้ แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าชายชราจะไม่ได้อยู่ในห้องสมุด

เมื่อคำนวณจากเวลาตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเที่ยงวันของค่ายฝึกจัสทิสลีก เซี่ยเฟยจึงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะทำการติดต่อไปยังเย่จิ่งชาน

“สวัสดีครับผู้บัญชาการเย่ ผมพยายามติดต่อกับคุณตาฉินหมางแต่ผมไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการพอจะรู้ไหมครับว่าคุณตาฉินหมางเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยพูดด้วยความเคารพ

ภาพที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอเย่จิ่งชานกำลังยืนอยู่ในทางเดินที่ค่อนข้างยาว และเมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมมันก็ดูเหมือนกับชายชราคนนี้ไม่ได้อยู่ในค่ายฝึกแต่ดูเหมือนกับอยู่ภายในโรงพยาบาลมากกว่า

“สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก อาจารย์…เอ่อ คุณฉินหมางเคยเป็นโรคประหลาดตั้งแต่สมัยที่เขายังหนุ่ม แล้วจู่ ๆ โรคภายในร่างกายของเขาก็กำเริบขึ้นมาเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ซึ่งคราวนี้อาการของโรคค่อนข้างที่จะร้ายแรง หมอบอกว่าเขาอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน” เย่จิ่งชานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย

น้ำเสียงของเย่จิ่งชานดูเศร้ามากและเนื่องจากเซี่ยเฟยไม่รู้ว่าเย่จิ่งชานกับฉินหมางเป็นศิษย์อาจารย์กัน เขาจึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของผู้บัญชาการค่ายฝึกจัสทิสลีก

“คุณตาอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าครับ? ผมขอคุยกับเขาหน่อยได้ไหม” เซี่ยเฟยกล่าว

“เขาหลับไปแล้ว”

“อ่อครับ งั้นเดี๋ยวผมจะติดต่อกลับมาใหม่”

“เขาหวังที่จะพบกับคุณมาโดยตลอดและมันก็ทำให้เขาอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ คุณควรจะรีบมาที่นี่ด้วยตัวเอง อย่าติดต่อมาทางระบบสื่อสารเลย” เย่จิ่งชานกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

เมื่อได้ยินแบบนั้นเซี่ยเฟยก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง

มันไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการแพทย์ที่ผู้ป่วยจะรอใครสักคนก่อนที่พวกเขาจะตาย แล้วมันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เย่จิ่งชานจะไม่ให้เขาพูดคุยกับฉินหมางผ่านทางระบบสื่อสาร

“ได้ครับ ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

หลังจากวางสายเซี่ยเฟยก็จุดบุหรี่พร้อมกับนั่งครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ

“ทำไมฉินหมางถึงอยากให้นายไปดูใจ? เขาไม่มีลูกหลานมาคอยดูใจหรอ?” พอตเตอร์ถาม

ปกติสิ่งที่คนใกล้ตายอยากเห็นมากที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิตคือคนที่ใกล้ชิดกับพวกเขา ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าฉินหมางกับเซี่ยเฟยจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ญาติเนื้อเชื้อไขที่เกี่ยวข้องกัน

“เท่าที่ผมรู้ คุณตาไม่น่าจะมีญาติคนอื่นครับ” เซี่ยเฟยกล่าว

“งั้นเหรอ... พวกเรารีบกลับกันเถอะ เขาคงมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดกับนายก่อนที่เขาจะจากไป” พอตเตอร์กล่าว หลังจากนั้นเขาก็ตบไหล่ปลอบใจเซี่ยเฟย 2 ครั้งก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องบัญชาการของยานรบไป

พอตเตอร์มีอายุน้อยกว่าฉินหมางไม่มากและสิ่งที่ฉินหมางกำลังพบเจอก็คงจะมาถึงพอตเตอร์ในไม่ช้า ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความตายได้แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุยืนยาวมากแค่ไหนก็ตาม

นอกจากนี้พอตเตอร์ยังเพิ่งทะเลาะกับวินด์ไชม์ทำให้เขาเก็บตัวอยู่ในห้องด้วยความรู้สึกที่หดหู่ใจ

“ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการเย่จะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ” เซี่ยเฟยพูดกับตัวเองขณะเงยหน้ามองเพดาน

ในระหว่างนั้นอันธก็ลอยออกมาจากสร้อยมายืนอยู่ด้านข้างเซี่ยเฟยอย่างเงียบ ๆ

“ฉันก็คิดว่าเขากำลังปิดบังอะไรนายอยู่เหมือนกัน”

“ยากนะเนี่ยที่แม้แต่นายก็ยังสัมผัสความรู้สึกของเขาได้” เซี่ยเฟยพูดแซวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

คำพูดนี้ทำให้อันธหน้ามุ่ยขึ้นมาและถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะมีอายุเพียงแค่ 19 ปี แต่ชายหนุ่มก็มีทักษะในการวิเคราะห์ที่เหนือกว่าเขาไปมากจริง ๆ

“ตอนที่ผู้บัญชาการเย่พูดถึงอาการของคุณตา ฉันสังเกตเห็นน้ำตาที่ซึมออกมาเล็กน้อยแสดงว่าเขากำลังรู้สึกเสียใจกับอาการของคุณตามาก ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพเขาก็ไม่น่าจะแสดงอารมณ์แบบนั้นออกมาได้”

“แต่เมื่อฉันขอคุยกับคุณตารูม่านตาของเขาขยายกว่าปกติประมาณ 0.3 เท่าแสดงว่าเขากำลังรู้สึกไม่พอใจมาก แต่เขาก็เก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี ถ้าในตอนนั้นฉันไม่ได้สังเกตท่าทางของผู้บัญชาการเย่ดี ๆ ฉันก็อาจจะถูกเขาหลอกได้”

“อย่างไรก็ตามคำพูดต่อไปของเขาก็ขัดแย้งกับความรู้สึกในก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งในน้ำเสียงของเขามีร่องรอยของความสั่นเครืออยู่เล็กน้อย โดยปกติเสียงของคนจะสั่นขึ้นมาด้วย 2 สาเหตุคือหนึ่งตอนที่เขากำลังพูดโกหกหรือสองในตอนที่เขากำลังรู้สึกตื่นตระหนก แต่เสียงของผู้บัญชาการเย่ดูเหมือนจะทั้งโกหกและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน” เซี่ยเฟยอธิบายสิ่งที่เขาวิเคราะห์ออกมา

“เป็นไปได้ไหมที่เขาไม่ต้องการให้นายเจอกับฉินหมาง?” อันธถามขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ

“ฉันคิดว่าใช่” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“แล้วทำไมเย่จิ่งชานถึงไม่อยากให้นายเจอฉินหมางก่อนที่เขาจะตายด้วย?” อันธถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

คำถามนี้เป็นคำถามที่เซี่ยเฟยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขาก็ไม่สามารถคาดเดาสาเหตุได้เช่นกัน

“ลองโทรหาโรงพยาบาลโดยตรงไหม? อย่างน้อยมันก็ช่วยเลี่ยงเย่จิ่งชานได้” อันธกล่าวแนะนำ

“ไม่มีประโยชน์หรอก อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้บัญชาการของค่ายฝึกจัสทิสลีก ถ้าเขาไม่ต้องการให้ฉันเจอคุณตาจริง ๆ โรงพยาบาลก็ไม่สามารถให้ข้อมูลกับฉันได้”

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบกลับไปหาคุณตาให้เร็วที่สุด!” เซี่ยเฟยกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด