บทที่ 82 – เบาะแสสำหรับการเดินทางต่อไป
“ไม่ว่าท่านจะพูดว่าอย่างไร ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน พวกเราอาจเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว พวกเรายังคงต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก” ผมแอบคิดอยู่ในใจ ‘ทำไมทำตัวสุภาพอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้ผมเหนื่อยอ่ะ’
แล้วผมก็มีความคิดที่ค่อนข้างบรรเจิดขึ้นมา ผมกล่าวด้วยเสียงที่น่าจะมีเพียงเขาที่ได้ยิน “ถ้าพระองค์ต้องการที่จะแสดงความของคุณพวกข้าจริง ๆ ก็แค่มอบผลไม้ กับสุราสำหรับการเดินทางต่อของพวกข้าก็เพียงพอแล้ว” ได้ยินคำขอของผม ราชาเอลฟ์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี กระซิบตอบผมด้วยระดับเสียงเดียวกันว่า “ท่านเมธีเวทย์เว่ย เมื่อวานพวกท่านดื่มสุราไปเกือบเท่ากับปริมาณที่พวกเราดื่มกันเป็นเวลาครึ่งปี ข้าคงจะจัดการให้ท่านได้เพียงอีกไม่มากเท่านั้น”
“ถ้าพระองค์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ”
ราชาเอลฟ์ยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านทราบหรือไม่ว่า พวกเราจะสามารถทำเงินได้มากเท่าไร ถ้าเราขายสุราพวกนั้นให้กับเมืองมนุษย์? ขวดเล็ก ๆ จะสามารถได้ราคาถึง 10,000 เหรียญเพชรหรือมากกว่านั้น ตอนที่ท่านจะจากไป ข้าจะเตรียมให้ท่านได้อีก 2-3 ขวด แต่ต้องบอกเหล่าเอลฟ์คนอื่น ๆ ที่อยากเป็นเพื่อนของท่านให้ชัดเจนว่า ข้าได้มอบมันเป็นของขวัญให้แกท่าน ไม่อย่างนั้นพวกเขา...”
ผมส่งสายตาว่าผมเข้าใจแล้วให้เขา แล้วยิ้มออกมา
“มีอะไรที่ทำให้พวกท่านทั้งสองมีความสุขมากนัก?” จ้านหู่กับคนที่เหลือก้าวเข้ามาในห้องโถงแล้ว พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ถัดไปจากผม
ผมรีบกล่าวอย่างรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ พี่มาแล้ว ผมเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้องค์ราชาฟังนะ”
ราชาเอลฟ์รีบเอ่ยทันที “ผู้อาวุโสสาม ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ก็บอกทุกคนเถิดว่าพวกเรารู้อะไรเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์บ้าง”
เอลฟ์ชรารับคำ ก่อนที่จะกล่าวออกมา “อย่างแรก ข้า! ในนามของเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติทั้งมวล ขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อพวกท่านทุกคน ขอขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรายังสามารถมีชีวิตผ่านวิกฤตมาได้”
จ้านหู่หัวเราะและยิ้มออกมา ก่อนตอบกลับ “ไม่ต้องขอบคุณพวกเราหรอก ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก ที่พวกท่านต้องทำก็แค่เตรียมสุราร้อยผลไว้ให้มากหน่อย” ทุกคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย แม้แต่ตงรื่อที่ไม่ค่อยได้ดื่มยังร่วมพยักหน้าไปด้วย เห็นมั้ย! สิ่งที่ผมของราชาเอลฟ์น่ะ ผมคิดไม่ผิดหรอก
แต่ตอนนี้ผมต้องช่วยราชาเอลฟ์ “ไม่เอาน่า พี่ใหญ่! เมื่อวานปริมาณที่พวกเราดื่มไป ต้องใช้เวลาเกือบปีในการทำเลยนะ พวกเขาไม่มีมันเหลืออยู่แล้วล่ะ” ราชาเอลฟ์มองหน้าผมอย่างขอบคุณ
จ้านหูเม้มปากอย่างขัดใจก่อนจะพูด “ถ้ารู้อย่างนี้ เมื่อวานคงจะดื่มให้น้อยลงหน่อย”
ผมรีบส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสสามพูดต่อ เขาก็รีบกล่าวเข้าเรื่องทันที “ดาบศักดิ์สิทธิ์ มันถูกกล่าวถึงว่าเป็นอาวุธที่ถูกทิ้งไว้ของราชาแห่งเหล่าเทพเจ้าทั้งมวลเมื่อนานมาแล้ว มันมีพลังอำนาจในการทำลายโลก ผลาญได้แม้แต่สวรรค์ ตามตำนานโบราณของเผ่าข้า มันน่าจะถูกทิ้งเอาไว้ที่ป่าแห่งเทพ”
“ป่าแห่งเทพ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย” ผมกล่าวด้วยความสงสัย
“ถูกแล้ว! มันน่าจะเป็นเช่นนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเราเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งสารของเหล่าเทพ มันจึงมีเพียงพวกเราที่รู้ความลับนี้ อันที่จริง พวกเราพบกับนักล่าสมบัติเหมือนพวกท่านมาไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น คนที่คิดจะเข้าไปค้นหามันในป่าแห่งเทพกลับมีจำนวนน้อยมาก ถึงแม้ว่าท่านจะหาป่าแห่งเทพพบ บางทีก็อาจจะไม่สามารถข้ามเขตแดนที่สร้างขึ้นโดยเทพเจ้าได้ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครหาดาบศักดิ์สิทธิ์พบ พวกท่านเป็นนักล่าสมบัติที่เข้ามาที่นี่เป็นกลุ่มแรกในรอบ 300 ปีมานี้”
“เขตแดน? พวกเราไม่สามารถผ่านได้ แม้แต่ด้วยระดับพลังของเราอย่างนั้นหรือ?” ความแข็งแกร่งของพวกเรา 6 คนรวมกัน มันเท่า ๆ กับกองทัพเล็ก ๆ เลยนะ
“ความแข็งแกร่งของกลุ่มพวกท่านนั้นมีมากจริง แต่ตอนที่ข้ายังเยาว์วัย ข้าเคยพบกับกลุ่มที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าพวกท่านเลย มนุษย์กลุ่มนั้นก็ไม่สามารถข้ามผ่านเขตแดนเข้าไปได้ มันมีคำกล่าวไว้ว่า การจะผ่านข้ามเขตแดนเข้าไป ไม่เพียงแต่ต้องมีความแข็งแกร่ง ยังต้องได้รับการยอมรับจากเหล่าเทพด้วย นั่นคือทั้งหมดที่พวกเรารู้ สำหรับวิธีเข้าไปยังป่าแห่งเทพ ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม คงจะไม่มีอันตรายใด ๆ พวกท่านคงจะจัดการกับสิ่งที่จะต้องเผชิญได้อย่างแน่นอน”
เริ่มแรกผมเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของทั้งทีม การทำภารกิจให้สำเร็จไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไปนัก แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีความซับซ้อนขนาดนี้ ผมได้แต่ฝืนยิ้มตอนที่ถามต่อ “ขอบคุณที่บอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าแต่ป่าแห่งเทพอยู่ที่ไหนกันแน่? พวกเราจะลองไปเสี่ยงโชคดู”
ผู้อาวุโสสามเหมือนจะรู้ว่าผมกังวล จึงยิ้มให้แล้วพูดว่า “จางกง ไม่ต้องกังวลมากไปนัก ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นบุคคลประเภทที่ทำให้คนอื่นอยากรู้จัก อยากสร้างความสนิทสนมด้วย ถึงแม้ว่าเวลาที่ข้ารู้จักท่านจะไม่นานนัก แต่ข้าก็มองว่าท่านเป็นเพื่อนแล้ว เทพเจ้าย่อมต้องชื่นชอบคนที่มีจิตใจดีงามอย่างท่านแน่ อีกอย่าง ท่านเป็นนักเวทย์แสง โอกาสของท่านที่จะได้รับการยอมรับจากเทพย่อมต้องสูงขึ้นอีก”
ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสาม ซิวซือให้การสนับสนุนออกมา “นั่นก็ถูกแล้ว ซิงโอว เกาเต๋อ และตัวฉันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ในตอนแรกพวกเราไม่ได้เชื่อมั่นในตัวนายเต็มที่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความน่าเชื่อถือ และพึ่งพาได้ของนาย ทำให้เรายอมรับนายอย่างไม่รู้ตัว เรายอมรับนายเป็นเพื่อนโดยที่เราก็แทบไม่รู้ตัวเลย”
ผมมองไปที่ทุกคน มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมไม่มีศัตรูคู่อาฆาตอย่างแท้จริง และผู้คนที่ผมเคยอยู่ด้วยแม้จะเป็นเวลาไม่นาน ต่างก็เชื่อมั่นในตัวผม ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาของผม กลับกลายเป็นว่าผมแค่ประมาณว่ามีมนุษย์สัมพันธ์ดีแค่นั้น เฮ้อ! ผมผิดหวังในตัวเองจริง ๆ
“พอได้แล้ว ไม่ต้องชมฉันแล้ว! ผู้อาวุโสสาม ได้โปรดพูดถึงสถานที่ตั้งของป่าแห่งเทพด้วย”
เอลฟ์เฒ่าถึงกับสะอึก “อันที่จริง พวกท่านอยู่ในป่าแห่งเทพแล้ว!”
คำพูดของเขาทำให้พวกเราพูดไม่ออก แต่เขายังพูดไม่จบ “ตอนนี้พวกเราอยู่บริเวณรอบนอกเท่านั้น ที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือป่าแห่งเอลฟ์ซึ่งเป็นป่ารอบนอกของป่าแห่งเทพ ถ้ามุ่งหน้าลึกเข้าไปอีก ก็จะเข้าไปถึงป่าแห่งเทพได้”
จ้านหู่ยิ้มกว้าง “จางกง! พวกเราถือว่าโชคดีมาก หลังจากตระเวนไปทั่ว พวกเราก็ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ผู้อาวุโส พวกเราต้องรบกวนให้ท่านพาพวกเราไปที่นั่นแล้ว”
ผู้อาวุโสสามทำหน้านิ่ว แล้วเอ่ยออกมาด้วยความเสียใจ “กฎของเผ่าเอลฟ์ที่ตั้งขึ้นมาโดยบรรพบุรุษได้ห้ามพวกเราไม่ให้เข้าใกล้ป่าแห่งเทพ กฎห้ามไว้ไม่ให้เข้าไปในรัศมี 100 กิโลเมตร ข้าคงได้แค่บอกทิศทางให้พวกท่านได้เท่านั้น แต่หากพวกท่านเดินทางไปตามที่ข้าให้ไว้ ไม่น่าจะมีปัญหาในการหามัน”
“ได้อย่างนั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว พวกเราก็สมควรรีบออกเดินทางกันแล้วเหมือนกัน”
ขณะที่พวกเราพากันลุกขี้น และกำลังจะออกไป ผมเห็นราชาเอลฟ์กำลังมีสีหน้ากลุ้มใจอยู่ เหมือนกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง “องค์ราชา! พระองค์เหมือนจะมีสิ่งใดต้องการจะกล่าว?”
ราชาเอลฟ์ยิ้มแบบรู้สึกกระดากที่จะพูด แต่ยังกล่าวออกมา “ถูกแล้ว! เกี่ยวกับเรื่องของเอลฟ์มืดนั่นแหละ แม้ว่าคราวนี้พวกเขาจะถอยกลับไปแล้ว แต่ข้ากลัว...”
ผมรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร เขากำลังกลัวว่าจะมีการโจมตีอีกครั้ง นี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ ผมเกาหัวพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหาดี ๆ อา!! จริงสิ มันมีวิธีอยู่ ผมร่ายเวทย์เปิดกระเป๋ามิติเก็บของขึ้นมา หยิบเอาหนังสือในนั้นออกมายื่นให้ราชาเอลฟ์แล้วบอกเขาว่า “นี่เป็นหนังสือเวทย์มนต์แสงระดับพื้นฐาน และระดับกลางที่ข้าเป็นคนเรียบเรียงด้วยตัวเอง มันประกอบไปด้วยเวทย์เล็ก ๆ หลายเวทย์ที่ผมเป็นคนสร้างขึ้น พระองค์ทรงให้เหล่าทหารฝึกฝนเวทย์เหล่านี้ให้เชี่ยวชาญ ด้วยพรสวรรค์ด้านธาตุของเผ่าเอลฟ์พวกเขาน่าจะเรียนรู้ได้ภายในเวลาไม่นานนัก ด้วยวิธีนี้พวกท่านก็ไม่ต้องกลัวเอลฟ์มืดอีกแล้ว”
ราชาเอลฟ์รับหนังสือไปแล้วสำรวจดู ก่อนจะกล่าว “นี่มันไม่น่าจะถูกต้อง! นี่มันเป็นหนังสือผังเวทย์มนต์”
“อา! ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าหยิบผิดเล่ม” ผมรีบหยิบหนังสือที่ถูกต้องให้ แล้วก็คิดขึ้นมา อืม!! จริงด้วย ผมยังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้ผังเวทย์เลย ผมน่าจะต้องหาเวลาเรียนรู้มันบ้างแล้ว (อันที่จริงผังเวทย์มนต์เป็นหัวข้อที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้อันลึกซึ้งและมีประโยชน์มาก ตอนที่บุตรแห่งแสงเผชิญกับอุปสรรคอันยากลำบาก เขาค่อยค้นพบว่ามันเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้เรียนรู้ให้เร็วกว่านี้)