ตอนที่ 195: พยายามเกลี้ยกล่อม
ตอนที่ 195: พยายามเกลี้ยกล่อม
“อาจารย์กำลังมีปัญหาใหญ่!” ย่าเหวยพูดขึ้นมาด้วยความร้อนรน
คำพูดของย่าเหวยทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะก่อนที่เขาจะเข้าสู่พื้นที่เขตแรงโน้มถ่วงสูงฉินหมางได้พยายามติดต่อเขาเข้ามา แต่ในตอนนั้นระบบสตาร์เน็ตเวิร์กได้ล่มลงไปพอดี ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่คิดว่าฉินหมางจะมีปัญหาในช่วงเวลานี้ขึ้นมา
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างกังวล
ย่าเหวยส่งสัญญาณให้คนรอบข้างถอยหลังออกไป ก่อนที่จะเดินมาจับแขนของเซี่ยเฟยและพูดขึ้นมาด้วยเสียงกระซิบว่า
“อาจารย์... อาการของอาจารย์ทรุดหนักอาจจะเสียชีวิตได้ตลอดเวลา”
“อะไรนะ?! แต่ตอนที่ผมออกมาคุณตายังสบายดีอยู่เลยนะครับ มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้กันแน่?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ช่วงนี้สตาร์เน็ตเวิร์กไม่ค่อยเสถียร ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดของเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เท่าที่ฉันเห็นผ่านหน้าจอสีหน้าอาจารย์ไม่ดีเลย” ย่าเหวยกล่าวพร้อมกับส่ายหน้า
ฉินหมางให้ความช่วยเหลือเซี่ยเฟยมาโดยตลอด นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองคนยังมีนิสัยที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจึงอยู่ในระดับที่ดีมาก เมื่อฉินหมางมีอาการไม่ค่อยดีเซี่ยเฟยจึงรู้สึกเป็นห่วงเป็นเรื่องธรรมดา
“อาจารย์ฝากบอกว่าทันทีที่นายกลับมาช่วยกลับไปหาเขาหน่อย” ย่าเหวยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ได้ครับ หลังจากผมซ่อมยานเสร็จเมื่อไหร่ผมจะรีบกลับไปทันที” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“สถานการณ์ที่นี่ยังไม่ค่อยดีนัก ฉันฝากความห่วงใยไปให้อาจารย์ด้วยนะ” ย่าเหวยกล่าวพร้อมกับตบไหล่ของเซี่ยเฟยเบา ๆ
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันไปสักพัก ซึ่งย่าเหวยก็เห็นด้วยกับเซี่ยเฟยว่าตราบใดที่แวมไพร์ได้รับการซ่อมแซม ชายหนุ่มสมควรจะต้องออกเดินทางกลับไปยังภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ทันที
ต่อมาย่าเหวยก็ต้องกัดฟันจากไปพร้อมกับทหารองครักษ์ แต่ภายในแววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่สามารถเดินทางกลับไปหาฉินหมางด้วยตัวเองได้
ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพเขาไม่สมควรจะต้องมายืนรอรับเซี่ยเฟยแบบนี้เลย แต่เขารู้สึกกังวลเรื่องฉินหมางจากใจจริงเขาจึงต้องการบอกเรื่องนี้กับชายหนุ่มโดยเร็วที่สุด น่าเสียดายที่ในฐานะของเขามีคนคอยจับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว เขาจึงไม่สามารถแสดงอารมณ์ความโศกเศร้าให้ลูกน้องพบเห็นได้
เซี่ยเฟยจุดบุหรี่เดินก้มหน้าอย่างกลัดกลุ้ม แม้ว่าการกลับไปยังภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่จะฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่มันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่า 2 เดือน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นฉินหมางจะทนรอเขากลับไปได้ไหม
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” พอตเตอร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ลุงจำคุณตาฉินหมางที่ผมเคยพูดถึงได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าว
“จำได้ เขาคือคนที่จ้างนายเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดและเป็นคนที่คอยสนับสนุนนายหลังจากที่ได้เข้าไปในค่ายฝึกใช่ไหม” พอตเตอร์กล่าว
“ตอนนี้เขากำลังป่วยหนักและอยากให้ผมกลับไปในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะบอกกับผมโดยตรง”
พอตเตอร์ไม่เคยเจอฉินหมางเลยสักครั้งแต่เขาเคยได้ยินเซี่ยเฟยเล่าเรื่องชายชราคนนี้ให้เขาฟังเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมันก็ทำให้พอตเตอร์รู้สึกชื่นชมชายชราคนนี้มาก เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจและกล่าวออกไปว่า
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมนายถึงไม่รีบกลับไปล่ะ”
“ทำไมลุงพูดเหมือนลุงจะไม่ได้กลับไปพร้อมกับผมล่ะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากที่เขารู้สึกว่าพอตเตอร์ยังต้องการอยู่ที่นี่ต่อ
เซี่ยเฟยไม่ต้องการให้พอตเตอร์อยู่ที่นี่จริง ๆ เพราะในฐานะช่างเครื่องชั้นแนวหน้าการอยู่ในพื้นที่อันห่างไกลก็เป็นการเอาความสามารถมาทิ้งอย่างน่าเสียดายมากจนเกินไป
นอกจากนี้สถานการณ์ภายในเขตทุ่งดาวแห่งความตายยังไม่ปลอดภัยเลยสักนิด ยกตัวอย่างเช่น ภายในฐานทัพแห่งนี้มีการฝึกทหารอย่างเข้มงวดทุกวัน มันจึงทำให้แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการสู้รบ ซึ่งเซี่ยเฟยมั่นใจว่ามันน่าจะเกิดการปะทะในอีกไม่นานนี้
“ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างที่ค้างคาใจไปหมดแล้ว อู่ที่สุสานยานก็ปล่อยขายไปแล้ว ลูกศิษย์ของฉันทุกคนก็แยกย้ายกันไปเดินในเส้นทางของตัวเองแล้ว ฉันจะทำอะไรหลังจากที่ฉันกลับไปที่นั่นล่ะ สู้ฉันนั่งกินนอนกินอยู่ที่นี่เฉย ๆ ไม่ดีกว่าหรอ” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ลุงอยากอยู่กับป้าวินด์ไชม์ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวออกไปอย่างใจเย็น
คำแย้งของเซี่ยเฟยทำให้พอตเตอร์หน้าแดงขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่เขาก็พยักหน้ายอมรับอย่างเงียบ ๆ
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพอตเตอร์กับวินด์ไชม์ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าหากพิจารณาจากท่าทางของพอตเตอร์แล้วชายชราคนนี้ก็คงจะจริงจังกับวินด์ไชม์มาก
“นี่ลุงรู้หรือเปล่าว่าทุ่งดาวแห่งความตายกำลังจะเกิดสงคราม?” เซี่ยเฟยถาม
“ฉันก็เคยได้ยินข่าวเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน พูดตามตรงนะทุ่งดาวนี้มันไม่ได้สงบสุขมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาแค่ยังถ่วงดุลอำนาจกันอยู่มันจึงยังไม่มีความขัดแย้งมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในปัจจุบันภูมิภาคดาวแต่ละแห่งต่างก็ล้วนแล้วแต่เลือกผู้นำเป็นของตัวเอง และอิทธิพลของพันธมิตรก็กำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ประกอบกับเหตุการณ์แย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างน้อยนิด มันจึงก่อให้เกิดความเกลียดชังจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถผูกมิตรกันได้อีกแล้ว”
เซี่ยเฟยกับพอตเตอร์ยังคงเดินวนรอบสนามบินของกองทัพ และด้วยสายตาของผู้มีประสบการณ์มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พอตเตอร์จะไม่ได้กลิ่นของสงครามจากการเตรียมความพร้อมภายในฐานทัพแห่งนี้
“สมมติถ้าทุ่งดาวแห่งความตายเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ มันก็จะเกิดปัญหาการขาดเสบียงอาหาร แม้แต่ความปลอดภัยก็จะเริ่มถูกคุกคามด้วย ป้าวินด์ไชม์เป็นคนดีมาก ลุงคงไม่คิดที่จะปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตรายใช่ไหมครับ?”
เซี่ยเฟยพยายามเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องของวินด์ไชม์อย่างชาญฉลาด เพราะไม่ว่าผู้ชายจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะแพ้ภัยให้กับผู้หญิงของตัวเองอยู่ดี เช่นคำพูดที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณที่บอกต่อ ๆ กันมาว่าผู้ชายคือเพศที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปกป้องผู้หญิง
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่มันก็น่าจะนำมาใช้ในกรณีของพอตเตอร์กับวินด์ไชม์ได้
“นอกจากนี้หลังจากที่ลุงทิ้งอู่ไป พี่โบเดนก็ยังคงรอลุงอยู่เหมือนเดิม ความเป็นจริงผมไม่ได้บอกพี่เขาด้วยซ้ำว่าผมมาหาลุงที่ทุ่งดาวแห่งความตายนี่ ถ้าพี่เขารู้ว่าผมแอบมาพี่เขาคงจะบ่นผมแน่ ๆ”
“ฮ่า ๆ ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน โบเดนเป็นคนที่ซื่อสัตย์แต่ก็ดื้อรั้นมากที่สุด ว่าแต่ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ผมเกลี้ยกล่อมให้พี่เขามาช่วยทำงานในบริษัทของผมที่อยู่บนดาวโลกครับ ถึงแม้ว่าดาวโลกจะยังเป็นดาวที่ไม่ได้รับการพัฒนาแต่สภาพแวดล้อมภายในดาวก็ยังค่อนข้างดี และมันก็ยังมีสาธารณูปโภคที่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ตอนนี้พี่โบเดนลงหลักปักฐานบนดาวโลกแล้วและพี่สะใภ้ก็ดูเหมือนจะชอบดาวโลกด้วยเหมือนกันครับ”
“น่าเสียดายที่พี่โบเดนเป็นคนซื่อตรงมากเกินไป ถึงแม้เขาจะมีความสามารถในทักษะด้านงานช่างแต่เขาก็ยังขาดทักษะในเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคล ดังนั้นพี่เขาจึงทำงานหนักคนเดียวตลอดทั้งวันโดยไม่สนใจลูกน้องของเขาเลย บางครั้งถ้าลูกน้องเขาทำงานไม่ได้พี่โบเดนก็จะเอางานทุกอย่างมารับผิดชอบทำคนเดียว”
เซี่ยเฟยพยายามเล่าเรื่องต่าง ๆ อย่างใจเย็นและพยายามบอกเป็นนัย ๆ ว่าสภาพแวดล้อมบนโลกเหมาะแก่การอยู่อาศัยและไม่มีใครเข้ามารบกวน ข้อมูลทั้งหมดที่เขาพยายามป้อนออกไปเป็นข้อมูลที่พอตเตอร์ต้องการใช้เป็นสถานที่สำหรับเกษียณ เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจริง ๆ นั่นก็คือการพยายามพาพอตเตอร์กลับไปที่โลกพร้อมกับเขา
ในความเป็นจริงโบเดนทำงานของเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่เซี่ยเฟยได้หยิบยกหัวข้อนี้เป็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาเพื่อพยายามสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่โบเดนได้อยู่บนโลก
ไม่ว่าจะยังไงเซี่ยเฟยก็ได้ช่วยชีวิตของพอตเตอร์เอาไว้ ถ้าหากว่าชายหนุ่มได้ร้องขอจริง ๆ พอตเตอร์ย่อมไปช่วยบริษัทของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ชายหนุ่มไม่อยากใช้เรื่องนี้ในการโน้มน้าวพอตเตอร์เลย เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาทำเหมือนชดใช้หนี้บุญคุณกับเขาสักเท่าไหร่
ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงพยายามใช้วิธีการที่แยบยลในการป้อนข้อมูลเข้าไปในสมองของพอตเตอร์ทีละนิด ซึ่งการทำแบบนี้ก็เป็นการพยายามทำให้พอตเตอร์เดินทางไปทำงานบนดาวโลกอย่างเต็มใจ
อันธที่รับฟังบทสนทนามาโดยตลอดถึงกับพูดไม่ออก เพราะเขารู้สึกราวกับว่าเซี่ยเฟยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเจรจาที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน แม้ว่าคำพูดของชายหนุ่มคนนี้จะดูเรียบง่าย แต่มันก็ค่อย ๆ แทรกซึมความตั้งใจของเขาเข้าไปภายในใจของผู้ฟังทีละน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ มันไม่ใช่ทุกคนจะฉลาดเหมือนนายนะ ถึงแม้ว่าโบเดนจะมีฝีมือและซื่อสัตย์มากแต่เขาก็ยังขาดความยืดหยุ่นในการทำงาน สิ่งที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดคือการตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปอย่างเดียว การเอาเขามาช่วยดูแลกองยานเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะกับนิสัยของเขาเท่าไหร่” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข
เซี่ยเฟยแอบดีใจที่พอตเตอร์เริ่มคลายความกังวลลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าวิธีการพูดของเขาจะค่อนข้างได้ผล
ตอนนี้เซี่ยเฟยกำลังต้องการใครสักคนมาช่วยจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เรื่องกองยานขนส่ง เพราะท้ายที่สุดเมื่อบริษัทได้เติบโตขึ้นจำนวนของยานขนส่งก็จะมีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าพอตเตอร์ย่อมเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุด
“คุณตาฉินหมางคอยสนับสนุนผมทุกอย่าง ในตอนที่ผมเล่าเรื่องของลุงให้เขาฟังเขาถึงขนาดขอให้เพื่อนจัดหายานแบทเทิลครุยเซอร์ให้กับผมเพื่อที่ผมจะได้เดินทางมาหาลุงได้อย่างปลอดภัย ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่ผมจะออกเดินทางคุณตาก็เคยบอกว่าอยากจะพบลุงสักครั้งอยู่เหมือนกันครับ”
“นอกจากนี้พี่โบเดนเพิ่งได้ลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน แล้วลุงรู้ไหมครับว่าพี่เขาตั้งชื่อลูกตัวเองว่าอะไร?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
“ชื่ออะไร?” พอตเตอร์ถามด้วยความสงสัยและเนื่องมาจากลูกศิษย์ของเขาได้มีลูกชายตามที่หวังสักที ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์เขาย่อมรู้สึกมีความสุขด้วยเช่นกัน
“พี่โบเดนตั้งชื่อลูกว่า ‘พอตเตอร์’” เซี่ยเฟยกล่าว
“หะ!”
“ไอ้เด็กนี่มันจะเหิมเกริมไปใหญ่แล้ว! ถึงขนาดเอาชื่อฉันไปตั้งชื่อให้ลูกมันเลยงั้นเหรอ เจอกันครั้งหน้าฉันจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้มันสักหน่อยแล้ว” พอตเตอร์กล่าวหลังจากชะงักค้างไป
แม้คำพูดของพอตเตอร์จะดูน่ากลัวแต่จริง ๆ แล้วเขาก็แอบมีความสุขอยู่ภายในใจ เพราะการที่โบเดนได้ตั้งชื่อลูกชายตามชื่อของเขาเอง มันก็หมายความว่าโบเดนให้ความเคารพต่อเขามากซึ่งพอตเตอร์รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ชายชรามองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฉันเข้าใจสิ่งที่นายต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี นายคงไม่อยากบังคับให้ฉันเดินทางไปที่โลกสินะถึงพยายามเกลี้ยกล่อมฉันอยู่นานสองนานแบบนี้”
“ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับย่าเหวยค่อนข้างดีอยู่ใช่ไหม?” พอตเตอร์ถาม
“พี่เขาเป็นลูกศิษย์ของคุณตาฉินหมางครับ พวกเราเลยมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างดี” เซี่ยเฟยตอบ
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปขอยืมยานจากเขาแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปพูดเรื่องนี้กับวินด์ไชม์ดู”
“ได้ครับ!” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับอย่างตื่นเต้น
***************