ตอนที่ 192: กำจัดศัตรูให้หมด!
ตอนที่ 192: กำจัดศัตรูให้หมด!
“แฮฟวี่โดรนทั้งหมดสกัดพวกมันเอาไว้” เซี่ยเฟยสั่งการด้วยความรวดเร็ว
วี่!
แฮฟวี่โดรนทั้ง 10 ลำพุ่งไปยังโดรนศัตรูที่อยู่ไม่ไกลและพยายามซื้อเวลาให้ชายหนุ่มมากที่สุด
เซี่ยเฟยเร่งเครื่องแวมไพร์ด้วยความเร็วที่สูงมากจนทำให้ตัวยานไม่สามารถเบรกก่อนจะเข้าเทียบกับยานของพอตเตอร์ได้
“เปิดใช้งานเครื่องแทรคชั่นคอนโทรลเลอร์ด้วยระบบโอเวอร์โหลด ลดความเร็วของแวมไพร์ลงเดี๋ยวนี้” เซี่ยเฟยตะโกนสั่งการอีกครั้ง
วื้ด!
ลำแสงจากเครื่องแทรคชั่นคอนโทรลเลอร์พุ่งออกมาจากด้านข้างของแวมไพร์ ก่อนที่จะทำให้ความเร็วของยานลำนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว
การพยายามเทียบยานทั้งสองลำเข้าด้วยกันจำเป็นจะต้องใช้ความแม่นยำที่สูงมาก ซึ่งการบังคับยานของเซี่ยเฟยทั้งรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งกว่าที่ระบบคอมพิวเตอร์ AI คอยควบคุมบังคับยานเสียอีก
กึก!
สะพานเชื่อมยานของยานทั้งสองเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากความเร็วที่มากเกินไปก็อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ จนทำให้ตัวสะพานไม่ได้รับความเสียหายที่มากนัก
เมื่อสะพานยานทั้งสองลำเชื่อมต่อกันพอตเตอร์ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาในแวมไพร์สุดกำลัง โดยทั่วทั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาทุกที่
“เตรียมใช้ระบบวาร์ปเดี๋ยวนี้!!” เซี่ยเฟยรีบตะโกนสั่งการโดยไม่หันไปทักทายพอตเตอร์เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแฮฟวี่โดรนทั้ง 10 ลำได้ถูกทำลายไปจนหมดแล้ว ศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนจึงกำลังระดมยิงเข้าใส่เกราะพลังงานของแวมไพร์
ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกกระสุนจากโดรนฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ากระทบกับเกราะพลังงานเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้พลังงานของเกราะถูกระบายออกไปราวกับกราฟทิ้งดิ่ง ซึ่งหากเซี่ยเฟยยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปเขาก็จะยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
“เริ่มเปิดระบบวาร์ปแบบสุ่ม!”
รูหนอนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับแวมไพร์ที่พุ่งเข้าไปอย่างเต็มที่ โดยด้านหลังมีโดรนสีดำเป็นจำนวนมากพยายามพุ่งเข้ามาในรูหนอนเพื่อจู่โจมแวมไพร์อย่างต่อเนื่อง
ตูม!
ยานทริสตันของพอตเตอร์ไม่สามารถต้านทานอำนาจการยิงของข้าศึกได้อีกต่อไปจนมันระเบิดออกเป็นพลุไฟท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
แรงระเบิดครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกมหาศาลจนทำให้แม้แต่ยานแวมไพร์ก็ยังสั่นไปด้วย
โดรนไร้คนขับมีความแข็งแรงด้อยกว่าแวมไพร์มาก โดยคลื่นกระแทกจากการระเบิดของยานได้ทำให้ครึ่งหนึ่งของพวกมันถูกทำลาย
“เร่งความเร็วเต็มที่” เซี่ยเฟยตะโกนสั่งการเพื่อให้แวมไพร์เร่งความเร็วเข้าไปในรูหนอน
ทันใดนั้นโทมาฮอว์กที่อยู่ในระยะไกลก็ครบกำหนดเวลาสำหรับการทำลายตัวเอง
การระเบิดจากการถูกจู่โจมกับการระเบิดตัวเองเป็นสิ่งที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะการถูกจู่โจมจนระเบิดเกิดจากการที่เตาปฏิกรณ์ไม่สามารถทนรับความเสียหายได้อีกต่อไป มันจึงเกิดปฏิกิริยาระเบิดออกมา
แต่การระเบิดด้วยการตั้งระบบทำลายตัวเองคือการที่คอมพิวเตอร์จุดชนวนระเบิดทุกอย่างภายในยานพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเตาปฏิกรณ์, ห้องกระสุนหรือแม้กระทั่งเครื่องยนต์ มันจึงทำให้คลื่นกระแทกที่เกิดจากระบบทำลายตัวเองมีความรุนแรงไม่ต่างไปจากระเบิดพลังงานสูง
ยิ่งไปกว่านั้นโทมาฮอว์กยังเป็นยานแบทเทิลครุยเซอร์ มันจึงทำให้จำนวนของอาวุธ, ขนาดของเครื่องยนต์และขนาดของเตาปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่กว่ายานฟริเกตมาก ที่สำคัญภายในโทมาฮอว์กยังมีเตาปฏิกรณ์อยู่ถึงสองเครื่อง!
ตูม!
ควันรูปเห็ดขนาดใหญ่สว่างไสวราวกับพระอาทิตย์ในตอนเที่ยง
พร้อมกันนั้นไม่ว่าจะเป็นคลื่นกระแทกอันรุนแรง, เศษโลหะหรืออุณหภูมิที่แผดเผาก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของเขตแรงโน้มถ่วงสูง
นี่คือแผนการในขั้นที่ 3 ของเซี่ยเฟย นั่นก็คือการใช้โทมาฮอว์กทำลายศัตรูที่น่ารำคาญพวกนี้ให้หมด!!
เซี่ยเฟยเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาโดยตลอดและถึงแม้ว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาในตอนนี้จะคือการช่วยเหลือและหลบหนี แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะสร้างบาดแผลให้กับศัตรูก่อนที่เขาจะจากไป
การลงมือของชายหนุ่มในครั้งนี้ทำให้ศัตรูเจ็บแสบพอตัว เพราะแรงระเบิดจากโทมาฮอว์กทำให้โดรนของศัตรูถูกทำลายไปมากกว่าหมื่นลำ นอกจากนี้เขายังสามารถวางแผนการหลบหนีพร้อมแผนการเอาคืนได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ถือว่าความคิดการตัดสินใจของเขาอยู่ในระดับที่เหนือเกินกว่าคนธรรมดาอย่างแท้จริง
เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่โทมาฮอว์กระเบิดทำลายตัวเอง รูหนอนที่แวมไพร์ได้สร้างขึ้นมาก็ปิดตัวลงทำให้พวกเซี่ยเฟยได้เข้าสู่กระบวนการวาร์ปไปยังสถานที่อื่นแบบสุ่ม
โดรนต่อสู้ของศัตรูที่ไล่ตามมาไม่สามารถจะทนต่อแรงฉีกขาดอันรุนแรงภายในรูหนอนได้ พวกมันจึงถูกทำลายเป็นเศษโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวกันออกไปกลายเป็นขยะที่มองไม่เห็น
เซี่ยเฟยถอนหายใจออกมายาว ๆ พร้อมกับทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้อย่างแรง โดยในขณะนี้แขนเขารู้สึกบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะเขาต้องบังคับพวงมาลัยของยานในรูปแบบที่ฝืนธรรมชาติ ซึ่งอาการบาดเจ็บก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาต้องออกแรงบังคับยานมากเพียงใด
“เริ่มตรวจสอบความเสียหายเดี๋ยวนี้” เซี่ยเฟยสั่ง หลังจากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นเดินไปหาพอตเตอร์ที่ยังตกใจไม่หาย
“เป็นยังไงบ้างลุงพอตเตอร์” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
พอตเตอร์ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเพราะฉากการเสี่ยงตายยังคงอยู่ในใจเขาไม่หาย
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ไปชงชากับเอาขนมมาให้ที” เซี่ยเฟยสั่งแฮร์ริส
แฮร์ริสได้สวมสร้อยเจ้าชีวิตแล้วเขาจึงไม่สามารถขัดคำสั่งของชายหนุ่มได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงกลับมาพร้อมกับกาต้มชาสีม่วง, ถ้วยชา 2 ใบและขนมอีกเล็กน้อย
“นายมาที่นี่จริง ๆ สินะ” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นมาดื่มโดยไม่สนใจอุณหภูมิของน้ำชาที่สูงกว่าปกติอยู่เล็กน้อย
“ครับ” เซี่ยเฟยตอบกลับอย่างเรียบง่ายพร้อมกับพยักหน้า
ภายในใจของพอตเตอร์เต็มไปด้วยความขอบคุณ เพราะแม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าเซี่ยเฟยต้องเสี่ยงมากแค่ไหน ซึ่งแม้แต่ยานแบทเทิลครุยเซอร์ที่เขาเพิ่งได้มาก็ยังต้องระเบิดตัวเองไปในระหว่างแผนการช่วยเหลือ ยิ่งกว่านั้นผลการตรวจสอบความเสียหายก็ยังไม่ออกมา และพอตเตอร์ก็คาดการณ์ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นบนยานลำนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เล็กน้อย
การสูญเสียวัตถุไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสิ่งที่เขารู้สึกซาบซึ้งจริง ๆ คือความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในกระบวนการพวกนั้น หากเซี่ยเฟยทำได้ไม่ดีกว่านี้สักเล็กน้อยพวกเขาก็คงจะไม่ได้นั่งดื่มชาที่ตรงนี้ แต่ได้จับมือกันเดินไปในยมโลกหลังจากเสียชีวิตแทน
ในเวลาเดียวกันแฮร์ริสที่ซ่อนตัวอยู่ภายในห้องของลูกเรือก็กำลังถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เพราะคอมพิวเตอร์กับเครื่องมือสำหรับการวิจัยของเขาได้หายไปแล้วมันก็คงจะทำให้ชายชราคนนี้ยิ้มไม่ได้ไปอีกนาน
พอตเตอร์มองไปยังเซี่ยเฟยอย่างประหลาดใจเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยชายหนุ่มตรงหน้าได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิงและแม้แต่ผมของเขาก็เริ่มถูกเปลี่ยนเป็นสีเทา แสดงว่าเซี่ยเฟยได้เจอกับความกดดันในระหว่างสองปีนี้มาไม่น้อย
ความเปลี่ยนแปลงของเซี่ยเฟยทำให้พอตเตอร์รู้สึกเหมือนกับเขาไม่ได้เจอชายหนุ่มมา 20 ปีมากกว่าจะเป็นแค่เพียง 2 ปี เพราะสิ่งต่าง ๆ ของชายหนุ่มคนนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป
ในระหว่างที่พอตเตอร์กำลังมองสำรวจตัวเซี่ยเฟย เซี่ยเฟยก็กำลังมองสำรวจชายชราด้วยเหมือนกัน พอตเตอร์ยังคงเป็นคนตัวอ้วนสูงและผิวคล้ำอยู่เช่นเดิม แต่ผ้าปิดตาอันเก่าของเขาถูกแทนที่ด้วยโลหะทำให้มันดูดุดันขึ้นกว่าเดิม
“วินด์ไชม์เรียกนายมางั้นเหรอ?” พอตเตอร์ถามด้วยความสงสัย
“ใช่ครับ”
“ฉันอุตส่าห์ฝากบอกนายว่าไม่ต้องมา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ฟัง” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นแวมไพร์ก็เคลื่อนที่ออกจากรูหนอนพร้อมกับระบบตรวจสอบความเสียหายของตัวยานที่รายงานขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน
“ดีแล้วครับที่เธอไม่ฟัง ไม่อย่างนั้นผมก็อาจจะไม่ได้เจอกับลุงอีก” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นเพื่อไปอ่านรายงานความเสียหายของตัวยาน
แวมไพร์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงโดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่เหลือกำลังอยู่ไม่ถึง 1 ใน 3 ส่วนระบบอื่น ๆ ก็ได้รับความเสียหายในระดับที่แตกต่างกัน
หลังจากใช้เวลาพิจารณาสถานการณ์อยู่สักพัก เซี่ยเฟยก็วางแผนการเดินทางใหม่อีกครั้ง เพราะด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของแวมไพร์ยานลำนี้คงไม่สามารถวิ่งผ่านเขตแรงโน้มถ่วงสูงได้
การบินอ้อมเขตแรงโน้มถ่วงสูงจะต้องใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 2 เท่า แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวในปัจจุบันที่เป็นเส้นทางการบินกลับอย่างปลอดภัย
หลังจากกลับมานั่งที่โต๊ะน้ำชาเซี่ยเฟยก็ไม่ได้เล่าเรื่องความเสียหายของแวมไพร์ให้พอตเตอร์ฟัง เพราะเขากลัวว่าชายชราคนนี้จะรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นกว่าเดิม
“คนที่ชื่อวินด์ไชม์เป็นแฟนลุงเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“พวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน ว่าแต่นายหาฉันเจอได้ยังไง?” พอตเตอร์ตอบกลับด้วยความลำบากใจ
จากนั้นเซี่ยเฟยก็เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ที่วินด์ไชม์แอบคัดลอกแผนที่ดาว จนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางมาเจอกัน
“มันจะมากเกินไปแล้ว! นี่เธอกล้าก๊อบปี้แผนที่ดาวโดยไม่บอกฉันได้ยังไง” พอตเตอร์ตบโต๊ะพร้อมกับอุทานออกมาอย่างไม่พอใจ
“ผมคิดว่าอย่างน้อยลุงควรจะกลับไปขอบคุณเธอนะครับ เพราะถ้าหากว่าเธอไม่ทำแบบนี้ผมก็คงหาลุงไม่เจอ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้พอตเตอร์เงียบเสียงของเขาลงไป ท้ายที่สุดเมื่อสักครู่มันก็เป็นความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงเขาทั้งรู้สึกขอบคุณเซี่ยเฟยและวินด์ไชม์มากที่ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้
“นายได้ไปพื้นที่สีม่วงที่ฉันทำเครื่องหมายเอาไว้ครบแล้วหรือยัง?” พอตเตอร์ถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนจะพูดออกไปว่า
“ทั้งสองที่ต่างก็ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่ไม่ธรรมดา ลุงกำลังพยายามหาอะไรอยู่กันแน่ครับ?”
เซี่ยเฟยมีคำถามมากมายอยู่ภายในใจแต่เขาก็รู้ว่าทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเฝ้าดูปฏิกิริยาของพอตเตอร์อย่างใกล้ชิดหลังจากที่เขาเริ่มตั้งคำถาม
“ฉันกำลังพยายามหาอะไรบางอย่างอยู่จริง ๆ แต่ก่อนที่ฉันจะเล่าอะไรฉันขอถามความคิดเห็นของนายหลังจากที่ได้เห็นหินประหลาดพวกนั้นก่อน” พอตเตอร์กล่าว
“ตอนแรกที่ผมเห็นผมคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ในสมัยโบราณ จากนั้นผมก็รู้สึกว่าก้อนหินพวกนี้มันไม่น่าจะใช่อาคาร เพราะพวกมันไม่มีประตูหรือหน้าต่างอยู่เลย ผมจึงตัดสินใจยิงปืนใหญ่ใส่ก้อนหินพวกนี้และพบว่าพวกมันน่าจะเป็นบล็อกหินที่ถูกเอามาวางเรียงกันไว้” เซี่ยเฟยกล่าวกลับไปอย่างใจเย็น
“นายรู้แค่นั้นหรอ?” พอตเตอร์ถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างบล็อกหินพวกนั้นขึ้นมาแล้วเอามาวางไว้ในดวงดาวที่แห้งแล้งดวงนั้นทำไม แต่ในตอนที่ผมกำลังจะจากไปผมก็ได้พบว่าบล็อกหินพวกนี้ถูกวางไว้โดยมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง ดังนั้นผมจึงสั่งให้ยานบินขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้นก่อนจะพบว่าจริง ๆ แล้วพวกมันน่าจะเป็นตัวอักษรที่เรียงตัวกันเป็นประโยคอะไรสักอย่างที่ผมอ่านไม่ออก”
“คนที่สร้างบล็อกหินพวกนี้ดูเหมือนจะต้องการบอกอะไรกับคนที่ผ่านมา แต่พวกเขาไม่สะดวกที่จะสื่อสารอย่างชัดเจน พวกเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีที่ลึกลับแบบนี้ น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจตัวอักษรพวกนั้นได้” เซี่ยเฟยกล่าว
คำตอบของเซี่ยเฟยทำให้แววตาของพอตเตอร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าชายชราคนนี้กำลังทดสอบความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์ของเซี่ยเฟยอยู่ เขาจึงปรบมือให้กับชายหนุ่มอย่างเต็มกำลัง
แปะ! แปะ! แปะ!
“ทักษะในการสังเกตและวิเคราะห์ของนายดีจริง ๆ ที่สามารถค้นพบความลับของบล็อกหินพวกนั้นได้ หลังจากที่ได้เห็นพวกมันเพียงแค่ครั้งเดียว”
“แล้วพื้นที่สีม่วงอีกจุดหนึ่งล่ะ นายได้พบกับอะไร?” พอตเตอร์ถาม
“สถานที่ที่นั้นค่อนข้างจะซับซ้อนและข้อมูลที่ผมได้มาก็มีเยอะมากอยู่เหมือนกันครับ” เซี่ยเฟยกล่าวขณะนึกย้อนไปถึงยานลำมหึมา
***************