บทที่ 59 - สถาบันอัศวิน
ข้ามชายแดนเข้ามาสู่อาณาจักรซิวต้า มันมีความแตกต่างกับอาณาจักรอ้ายเซี่ยอยู่ในหลายด้าน แต่ธรรมชาติของผู้คนกลับไม่แตกต่างกัน เรียบง่าย ซื่อสัตย์ และมีเกียรติ ในอาณาจักรนี้ คุณจะสามารถพบเจอกับนักรบที่อยู่ในชุดแบบอัศวินได้ทั่วไป แม้แต่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลก็ยังสามารถพบเห็นได้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่เทิดทูนการเป็นนักรบมาก
ระหว่างทาง ผมเริ่มฝึกฝนเวทย์มนต์ระดับ 8 ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยใช้ อาศัยหนังสือของอาจารย์ตี้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ถึงจะบอกว่าเป็นแค่เวทย์ที่สูงขึ้นเพียงระดับเดียว แต่อำนาจของมันช่างน่าตระหนกยิ่งนัก ผลของมันแตกต่างจากเวทย์ระดับ 7 ราวฟ้ากับเหว ความแข็งแกร่งของผมที่เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกมั่นใจว่าสามารถจะจบการเดินทางครั้งนี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ
เพราะผมก็อยู่ในชุดเกราะอัศวินเหมือนกัน (ของขวัญ ๆ! พี่ใหญ่ให้มา) ทำให้การเดินทางมาเมืองหลวงของอาณาจักรนี้ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น อา! ช่างใหญ่โตมโหราฬ หอคอยสูงที่ตั้งอยู่ข้างประตูทางเข้าเมือง ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อยตั้งแต่แรกเห็น เท่าที่ผมสังเกตดู บรรดานักรบที่ประจำอยู่ที่ประตูเมือง ล้วนเป็นนักรบชั้นสูง ช่างเป็นเมืองที่ทรงพลังเหลือเกิน
ตอนที่นักรบที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองเห็นชุดเกราะระดับอัศวินพิภพของผม พวกเขามองมาด้วยสายตาแสดงความเคารพ แน่นอนมันถูกใจผมมาก! แต่ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเข้าเมืองไป ผมได้ยินเสียงตะโกนออกมาจากด้านใน “หลีกทาง! หลบออกจากถนนให้หมดทุกคน” ผมขยับตัวไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง แล้วมองเข้าไปภายในตัวเมือง หวา!! นั่นมันมังกรดินเหรอ?
ผมเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ 10 ตัววิ่งออกมา บนตัวของสิ่งมีชีวิตนั้นนั่งอยู่ด้วยอัศวินที่อยู่ในชุดเกราะ ในมือถือหอกมังกรยาว 3.6 เมตร ช่างน่าประทับใจ! ช่างน่าเกรงขาม! เจ้าสิ่งมีชีวิตยักษ์นั่นน่าจะเป็นมังกรดิน ผมสังเกตอย่างตั้งใจ ขนาดของพวกมันพอ ๆ กับเสี่ยวจิน แค่ตัวสั้นกว่าเยอะ ตัวยาวประมาณ 5 เมตร ความสูงประมาณ 2 เมตร มีขาหลัง 2 ข้าง ที่สั้นแต่หนาดูทรงพลัง คอยรองรับร่างกายอันใหญ่โตนั้น ตรงที่ควรเป็นขาหน้า ปรากฏอยู่ด้วยกรงเล็บคู่ใหญ่ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคงสามารถฉีกร่างของเสือร้ายได้โดยการตะปบเพียงครั้งเดียว
ผมเริ่มถามคำถามคนที่อยู่ข้าง ๆ “สวัสดีครับ นี่คือกองพันมังกรดินใช่หรือเปล่า?”
นักรบคนนั้นมองมาที่ผมอย่างสงสัย ก่อนตอบ “คุณไม่ใช่คนที่นี่หรือ? กองพันมังกรดินจะลาดตระเวณไปรอบเมืองเป็นประจำทุกวัน พวกเขาเป็นแบบอย่างของพวกเราจริง ๆ”
ผมหัวเราะเขิน แล้วบอก “ใช่แล้ว! ผมเพิ่งจะมาเมืองนี้เพื่อเข้าเรียนที่สถาบันอัศวินหลวง ผมไม่เคยเห็นมังกรดินมาก่อนเลย พวกมันน่าประทับใจมาก!”
สายตาของนักรบเปลี่ยไป มันเริ่มเต็มไปด้วยความเคารพ ก่อนเอ่ยอย่างยกย่อง “ในอนาคตท่านต้องได้เป็นสมาชิกของกองพันมังกรดินแน่นอน”
เดินเข้าไปในเมืองซิวต้า ทุกแห่งหนต่างเต็มไปด้วยเสียงแห่งความวุ่นวาย และน่าตื่นเต้น ผมหยุดเพื่อถามถึงเส้นทางที่จะไปสถาบันอัศวินหลวงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพาตัวเองมาถึงประตูของสถาบัน แต่ก่อนที่ผมจะเดินผ่านประตูเข้าใป คนเฝ้าประตูเดินมาหยุดผมไว้
เขาเอ่ยถามด้วยความสุภาพ “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าท่านมาพบกับผู้ใด?”
ผมตอบกลับ “สวัสดีครับ ผมเป็นนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวงของอาณาจักรอ้ายเซี่ย มาที่นี่ในนามของอาจารย์ใหญ่ตี้เหล่าหลุน เพื่อขอพบกับท่านผู้อำนวยการเหวินหลี่เคอ”
“ที่แท้ท่านเดินทางมาจากอาณาจักรอ้ายเซี่ย เดี๋ยวผมนำท่านไปหาผู้อำนวยการเอง” เขาพูดออกมาอย่างตรงประเด็น
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอขอบคุณมากแล้ว” เขาหันกลับไปอธิบายเรื่องราวกับเจ้าหน้าที่อีกคน ก่อนที่จะเดินนำผมเข้าไปในสถาบันอัศวิน สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากเดินผ่านประตูเข้ามาก็คือ อนุสาวรีย์ที่ประกอบด้วยม้าที่มีลักษณะปราดเปรียว สง่างาม มันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอัศวิน คนเฝ้าประตูพาผมเดินเลี้ยว 7 ครั้ง ผ่านอาคารขนาดใหญ่ 8 หลัง และสนามฝึกซ้อมอีกหลายแห่ง มาถึงที่มุมหนึ่งของสถาบัน สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมาก เหมือนกับเป็นป่าขนาดย่อม ๆ มีต้นไม้จำนวนมากเติบโตอยู่ทั่วไปหมด ที่ตรงกลางสวนป่านั้น มีสวนขนาดเล็กตั้งอยู่ และที่ตรงกลางของสวนนั้น มีกระท่อมเล็ก ๆ ตั้งอยู่ ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ผมได้ยินเสียงคนพูดดังออกมา
เป็นเสียงที่ดัง และเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ “ทำไมเจ้าโง่อย่างนี้? อย่าโจมตีให้มันทื่อเกินไปนัก ใช้ความคิดสร้างสรรค์หน่อย ถ้ายังขืนฝึกฝนแบบทื่อ ๆ อย่างนี้ เจ้าไม่มีทางได้เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์แน่ เจ้าเด็กโง่!”
เสียงที่ดูกังวาน เต็มไปด้วยความเคารพ ตอบกลับ “ครับ อาจารย์”
“เหมือนฉันกำลังสอนคนปัญญาอ่อน! มา เข้ามาอีกที”
ผมถามคนที่นำทางมา “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
คนเฝ้าประตูตอบแบบยิ้ม ๆ “ท่านผู้อำนวยการกำลังสอนศิษย์ของท่าน พวกเราเข้าไปเถอะ”
ในใจผม เกิดความกังวลขึ้นมา “เข้าไปอย่างนี้ จะไม่เป็นการรบกวนพวกเขาหรือ?”
แค่พอผมพูดจบ เสียงเหี้ยมเกรียมนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นใคร? ฉันไม่ได้บอกไว้แล้วหรือว่า ห้ามใครรบกวน!”
คนเฝ้าประตูตอบกลับด้วยความเคารพ “ท่านผู้อำนวยการ ท่านตี้เหล่าหลุนของอาณาจักรอ้ายเซี่ยส่งคนมาขอพบท่านครับ”
“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นรีบพาคนเข้ามา”
ผมเดินตามเขาเข้าไปในสวน มีคนอยู่ในสวนนั้น 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สูงกว่า 2 เมตร ใบหน้าประดับด้วยเครามังกร ใส่ชุดเกราะนักรบพอดีตัว ในมือถือดาบไม้ ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม มีส่วนสูงที่มากกว่าผมเล็กน้อย ร่างกายท่อนบนของเขา เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง ส่งประกายสีแดงออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังฝึกซ้อมกันอยู่ด้วยดาบไม้
ผมรีบเดินเข้าไปข้างหน้าชายชรา แสดงความเคารพอย่างเต็มที่ ค้อมศรีษะลงก่อนกล่าว “ท่านอาจารย์เหวินหลี่เคอ สวัสดีครับ ผมชื่อเว่ยจางกง เป็นนักเรียนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวง ของอาณาจักรอ้ายเซี่ย ผมได้รับมอบหมายจากอาจารย์ตี้ ให้มาพบกับท่าน”
อาจารย์เหวินมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าหลุน เจ้าเกลอเก่านั่น! ฉันนึกว่าเจ้านั่นลืมเรื่องฉันไปหมดแล้วเสียอีก เธอเป็นลูกศิษย์ของเจ้านั่น? ตอนนี้ยังมีคนอยากเรียนเวทย์มนต์แห่งแสงของเจ้าหมอนั่นอยู่อีกเหรอ? ดูแล้วความสามารถของเธอน่าจะไม่เลว แต่เรียนเวทย์แสงน่ะนะ สู้ว่ามาเรียนวิชายุทธ์ของฉันดีกว่า ฮ่าฮ่า!!”
ช่างเป็นคนที่ปากตรงกับใจ พูดตรงไปตรงมาดีจริง ๆ แต่คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเสียหน้า ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งยโสเกินไป ผมตอบกลับไปว่า “เวทย์แสงของอาจารย์ตี้ยังทรงพลังอยู่เหมือนเดิม เหมือนกันกับวิชายุทธของท่าน ต่างก็มีข้อดีของมัน ผมต้องขออภัย แต่คงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ให้มากความ นี่ครับ! จดหมายของอาจารย์ตี้ โปรดรับไว้ด้วย”
อาจารย์เหวินรับจดหมายไปเปิด แล้วบอกผม “ไม่ต้องพูดให้มันเป็นทางการนัก มันกระดากหูฉัน ขออ่านจดหมายเจ้านั่นก่อน” หลังจากอ่านจบอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมซ้ำอีกครั้ง จากหัวจรดเท้า มองเส้นผมตรงยาวของผม จ้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดในที่สุด “เหล่าตี้เขียนมาว่าเขามีความมั่นใจในตัวเธอมาก บอกว่าเธอเป็นอัจฉริยะด้านเวทย์มนต์ ทำเอาฉันอยากรู้เลยว่า ไอ้ที่ว่าอัจฉริยะน่ะมันจะขนาดไหนกัน”
ผมจะไปกล้าพูดอะไร เดี๋ยวพูดผิดไปได้ตายแน่ ๆ ดูท่าแล้ว อาจารย์เหวินคนนี้อารมณ์น่าจะรุนแรงเหมือนไฟ อย่าไปพูดให้ผิดหูดีกว่า เป็นลูกศิษย์ของเขาที่พาผมออกจากความอึดอัดนี้ “อาจารย์! แขกเดินทางมาจากแดนไกล ทำไมอาจารย์ไม่เชิญเข้าไปนั่งพักในห้อง? อาจารย์กำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูก”
“ฮี่ฮี่! ถูกต้องแล้ว! อา! พวกเธอเด็กรุ่นหลังยังต้องเกี่ยวข้องกันไปอีกนาน ไป! เข้าไปในห้อง ส่วนนาย กลับไปทำหน้าที่ได้แล้ว” เขาหันกลับไปบอกคนเฝ้าประตู
พวกเราเข้าไปในกระท่อมไม้เล็ก ๆ นั่น อาจารย์เหวินสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ของอาจารย์ตี้จากผม จากคำถามของเขา ผมรู้สึกได้ว่าความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ไม่ธรรมดาเลย
อาจารย์เหวินพูด “โอ้! ใช่แล้ว ฉันยังไม่แนะนำพวกเธอเลย นี่เป็นลูกศิษย์ของฉันชื่อหั่วตงรื่อ เขาเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ เขาเป็นเด็กดี เป็นคนเดียวที่ทนอารมณ์ของอาจารย์ได้ ฮ่าฮ่า!”
ตงรื่อรู้สึกอายกับคำพูดของอาจารย์เหวินเล็กน้อย ผมพยักหน้าให้เขา “สวัสดีครับ ในอนาคตช่วยดูแลผมด้วยนะครับ” เขายิ้มกลับมาอย่างอบอุ่น