ตอนที่แล้วตอนที่ 179: เดินทางถึงภูมิภาคดาวมฤตยู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 181: เขตแรงโน้มถ่วงสูง

ตอนที่ 180: วินด์ไชม์


ตอนที่ 180: วินด์ไชม์

บริเวณขอบนอกของเมืองถูกกั้นเอาไว้ด้วยกำแพงทราย 2 ชั้น แต่ถึงกระนั้นทั่วทั้งเมืองก็ยังถูกห้อมล้อมด้วยเม็ดทรายหนาที่สูงขึ้นมาจากถนนถึงครึ่งเมตร

ภายในเมืองเต็มไปด้วยอาคารสีเทาที่ดูเหมือนจะถูกสร้างเมื่อนานมาแล้ว โดยประตูหน้าต่างและกำแพงถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อป้องกันสภาพอากาศอันเลวร้าย

เซี่ยเฟยนำผ้ามาห่อหน้าห่อตัวพร้อมกับเดินไปตามถนนอันคับแคบ หากมองจากภายนอกเขาก็ดูไม่ต่างไปจากพวกชนเผ่าทะเลทราย แต่ชาวบ้านทุกคนก็ใช้ผ้าหนา ๆ ห่อตัวแบบนี้ด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้แม้กระทั่งการแยกเพศชายหญิงก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

บนถนนมีผู้คนอยู่ไม่มากนักและแต่ละคนก็ค่อนข้างรีบร้อนเคลื่อนที่เข้าไปในอาคารเพื่อหลีกเลี่ยงพายุทะเลทราย

หลังจากเดินมาตามคำแนะนำในที่สุดเซี่ยเฟยก็สามารถหาบาร์ของวินด์ไชม์ได้สำเร็จ โดยบาร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนที่ค่อนข้างกว้างขวาง ซึ่งทางด้านหน้าถูกปิดเอาไว้ด้วยประตูอัลลอยที่ค่อนข้างแน่นหนา แต่ป้ายของร้านถูกปกคลุมไปด้วยทรายหนา ๆ จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นตัวอักษรได้ว่าป้ายนี้เขียนว่าอะไร

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงวันแต่ภายในบาร์กลับมีผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังนั่งสังสรรค์พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนมีเสียงเล็ดลอดออกมาถึงหน้าบาร์อย่างชัดเจน

หลังจากเปิดประตูบานแรกเซี่ยเฟยก็ทำการสะบัดทรายออกจากตัวแล้วเอาผ้าออกมาแขวนไว้ที่ไม้แขวนตรงระเบียง และพยายามถุยน้ำลายลงบนพื้นเพื่อขจัดเศษทรายออกไป แต่ภายในปากของเขาก็ยังมีเศษทรายอยู่มากเกินไปจนทำให้แม้แต่น้ำลายก็ยังเป็นสีเหลือง

เมื่อชายหนุ่มจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาก็ทำการจุดบุหรี่ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในบาร์

ขวับ!

ทันทีที่เซี่ยเฟยเดินเข้ามาผู้คนภายในบาร์ก็หันมามองคนแปลกหน้าเป็นตาเดียว ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ได้พบว่าผู้คนภายในบาร์มีใบหน้าที่หยาบกร้านเหมือนกับหินในทะเลทราย ดวงตาของพวกเขาค่อนข้างที่จะขุ่นมัวและที่สำคัญคือพวกเขาสวมเสื้อผ้าแปลก ๆ โดยบางคนสวมเสื้อกล้าม ขณะที่บางคนสวมเสื้อหนังหนา ๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในฤดูเดียวกัน

เซี่ยเฟยเดินไปนั่งบนโต๊ะว่างที่มุมหนึ่งก่อนจะได้พบเศษอาหารที่เหลือจากลูกค้ารายอื่น โดยอาหารภายในจานประกอบไปด้วยขนมปังสีดำผสมกับถั่วเขียวและเนื้ออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อหมูที่ถูกเผาจนดำ

ลูกค้าภายในบาร์เริ่มหันศีรษะกลับไปสังสรรค์เช่นเดิม แต่พวกเขายังคงแอบมองคนแปลกหน้าเป็นระยะ ๆ และเสียงของพวกเขาก็เบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าพวกเขากำลังรู้สึกระแวงชายหนุ่มผู้มาใหม่

ในเวลาเดียวกันพนักงานชายผู้ที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนก็เดินเข้ามาหาเซี่ยเฟย ซึ่งชายหนุ่มได้คาดการณ์ว่าผ้ากันเปื้อนชิ้นนี้น่าจะเคยเป็นผ้ากันเปื้อนสีขาว แต่ปัจจุบันมันไม่หลงเหลือสีขาวให้เห็นอยู่เลยราวกับว่ามันเป็นผ้ากันเปื้อนที่ไม่ได้ถูกซักมาเป็นเวลานาน

“จะกินอะไร?” พนักงานหนุ่มถามด้วยเสียงอันแข็งกร้าวราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังให้บริการเซี่ยเฟยแต่กำลังทวงหนี้จากลูกค้าคนนี้อยู่

“มีอะไรให้กินบ้าง” เซี่ยเฟยถามกลับ

“มีแต่ซุปเนื้อ” พนักงานตอบกลับพร้อมกับขมวดคิ้ว

“งั้นเอาอันนั้นแหล่ะ” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับพยักหน้า

“เอาเหล้าไหม?”

“ผมไม่ดื่ม”

ทันทีที่ทุกคนได้ยินว่าเซี่ยเฟยไม่ดื่มมันก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาสนั่น ท้ายที่สุดผู้ชายในเขตดาวบริเวณนี้ก็ดื่มสังสรรค์กันเกือบทุกคน ส่วนคนที่ไม่ดื่มก็คือคนที่ไม่มีตังค์จ่าย

พนักงานหนุ่มเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและจานใส่อาหารสีแดง

ซุปเนื้อจานนี้แตกต่างจากจานก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะมันมีสีแดงชัดเจนกว่าและมีกลิ่นความเผ็ดลอยโชยมาแต่ไกล

พนักงานและลูกค้ารอบ ๆ ต่างก็จ้องมองมาที่เซี่ยเฟยอย่างมุ่งร้ายราวกับว่าพวกเขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง

“ผมมาตามหาคนชื่อวินด์ไชม์” เซี่ยเฟยกล่าว

“เอ็งเป็นใคร? ทำไมถึงต้องมาตามหาพี่วินด์ไชม์ด้วย” พนักงานหนุ่มอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กน้อย

เซี่ยเฟยใช้นิ้วสะบัดบุหรี่ภายในมือเบา ๆ ก่อนที่เขาจะตบบุหรี่เข้ากับกำแพงเพื่อดับไฟ

“แค่บอกว่าฉันเดินทางมาจากสถานที่อันห่างไกลก็พอ”

ต่อมาเซี่ยเฟยก็ตักซุปช้อนใหญ่เข้าไปในปาก ซึ่งหลังจากที่เขาเคี้ยวไป 2-3 ครั้งเขาก็เลิกคิ้วและพูดขึ้นมาว่า

“อร่อยดีนี่”

การกระทำของเซี่ยเฟยทำให้พนักงานรู้สึกตกตะลึง เพราะพริกมฤตยูที่ถูกใส่เข้าไปในอาหารจานนี้มันมากพอที่จะทำให้แม้แต่วัวก็ยังรู้สึกเผ็ดจนแสบท้อง แต่เซี่ยเฟยไม่เพียงจะกินซุปเข้าไปได้เต็มปากเต็มคำเท่านั้น แต่สีหน้าของเขายังนิ่งเฉยราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเผ็ดเลยแม้แต่น้อย

เหล่าลูกค้าที่อยู่ในร้านก็กำลังแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมาเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขากำลังรอให้เซี่ยเฟยสำลักซุปรสเผ็ดออกมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือชายหนุ่มกลับไม่เป็นอะไรเลย

เซี่ยเฟยตักอาหารเข้าปากด้วยความรวดเร็วและถึงแม้ว่าอาหารจานนี้จะไม่ได้ถูกปรุงขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แต่เขาก็ไม่เคยเรื่องมากเรื่องอาหารมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

“ช่วยบอกให้วินด์ไชม์มาหาฉันด้วย” เซี่ยเฟยเช็ดมือหลังจากทานอาหารพร้อมกับจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกครั้ง

คำพูดนี้ได้ดึงสติพนักงานกลับคืนมา เขาจึงรีบวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะแล้ววิ่งไปทางประตูหลังของบาร์

ส่วนลูกค้ารอบ ๆ ร้านก็เริ่มมีสีหน้าที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้ที่สามารถกินอาหารจากพริกมฤตยูเข้าไปได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นความเผ็ดหรือความหวานต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึก ผู้ที่มีพลังจิตทุกคนสามารถที่จะใช้พลังจิตยับยั้งประสาทสัมผัสเหล่านี้ได้ ดังนั้นตราบใดที่อาหารไม่เป็นอันตรายเซี่ยเฟยก็สามารถกินทุกอย่างได้ในจักรวาล

หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในผ้าคลุมสีดำก็เดินออกมาจากประตูหลังของบาร์

“พี่วินด์ไชม์!”

ลูกค้าภายในร้านเริ่มทักทายผู้หญิงคนนี้ทีละคนและไม่ว่าลูกค้าจะมีอายุสักเท่าไหร่ พวกเขาทุกคนต่างก็เรียกหญิงสาวคนนี้ว่าพี่วินด์ไชม์เหมือน ๆ กัน

เซี่ยเฟยมองไปทางหญิงสาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งภาพที่แสดงออกมาเธอก็น่าจะมีอายุประมาณ 30 ปีเท่านั้น โดยผิวพรรณของเธอเป็นสีคล้ำและมีปานแดงอยู่ที่ใบหน้าด้านซ้ายของเธอ ส่วนมุมปากทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมากกว่าคนปกติเล็กน้อย มันจึงทำให้เธอดูเหมือนยิ้มแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยิ้มขึ้นมาก็ตาม

รูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย แต่เซี่ยเฟยรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกจากภายนอก เพราะถ้าหากว่าเธอไม่ได้มีความสามารถอันยอดเยี่ยมเธอคงจะไม่ได้รับความเคารพจากลูกค้าทุกคนภายในร้าน

วินด์ไชม์ชำเลืองสายตามองเซี่ยเฟยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเธอก็มองออกไปนอกหน้าต่างและพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า

“ตอนนี้มืดแล้ว พวกเราปิดร้านกันเถอะ”

“ได้ครับ” พนักงานผู้สวมผ้ากันเปื้อนรีบยกแผ่นไม้จากมุมห้องไปปิดประตูหน้าต่างของบาร์

ส่วนลูกค้าก็จ่ายเงินและเดินจากไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเวลาเพิ่งจะเข้าช่วงบ่ายมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่วินด์ไชม์กลับบอกว่ามืดแล้ว

หลังลูกค้าทั้งหมดจากไปด้วยความไม่พอใจ พนักงานก็ทำการปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนา ก่อนที่เขาจะออกไปจากบาร์แห่งนี้เช่นเดียวกัน ทำให้ภายในบาร์หลงเหลืออยู่เพียงแค่เซี่ยเฟยกับวินด์ไชม์

วินด์ไชม์มองพนักงานเดินออกไปทางประตูหลัง ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงข้ามกับเซี่ยเฟย

“นายคือเซี่ยเฟยสินะ” วินด์ไชม์ถามด้วยความสงสัย

“ใช่ ผมเอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“ฉันไม่คิดว่านายจะอายุน้อยขนาดนี้” วินด์ไชม์กล่าวพร้อมกับดวงตาที่โค้งงอเป็นพระจันทร์เสี้ยว

“ผมก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเพื่อนของลุงพอตเตอร์จะเป็นผู้หญิง แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์รุนแรงด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้วินด์ไชม์ยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“นายพูดเก่งดีนี่! อย่างน้อยก็เก่งกว่าพอตเตอร์มาก”

‘เธอคนนี้เป็นแฟนของลุงพอตเตอร์งั้นหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดในใจด้วยความสงสัย

“พวกเรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับลุงพอตเตอร์กันแน่?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

ทันทีที่พูดถึงพอตเตอร์รอยยิ้มบนใบหน้าของวินด์ไชม์ก็หายไปถูกแทนที่ด้วยความเศร้าที่เผยให้เห็นจาง ๆ

“พอตเตอร์มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อประมาณปีที่แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกกลับมาที่นี่อีก” วินด์ไชม์กล่าว

“กลับมาหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานอย่างสงสัย

“อะไรกันอีตาพอตเตอร์ไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้นายฟังหรอ?”

“ผมรู้แค่ว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อนแค่นั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“ใช่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นหัวหน้ากองยานตรวจการของพันธมิตร ซึ่งจะเดินทางมาตรวจตราอาณาจักรดาวมรณะทุก ๆ ปี แต่น่าเสียดายที่พันธมิตรให้ความสนใจพวกเราน้อยลงเรื่อย ๆ จนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่มีกองยานตรวจการมาหาพวกเราเลย” วินด์ไชม์กล่าวพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวในอดีต

ตำแหน่งหัวหน้าในกองยานตรวจการของพันธมิตรไม่ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ต่ำต้อย เพราะมันเป็นตำแหน่งที่เป็นรองเพียงแค่กัปตันและเสนาธิการของกองยานเท่านั้น

ความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าสมัยก่อนพอตเตอร์เคยเดินทางมายังภูมิภาคดาวอันห่างไกลแห่งนี้และตำแหน่งภายในกองทหารของเขาก็ไม่ถือว่าธรรมดา

แล้วทำไมหลังจากออกจากกองทัพเขาจะต้องไปเปิดอู่ซ่อมยานในสถานที่ห่างไกลอย่างสุสานยานอวกาศด้วย?

เพื่อความอยู่รอดหรอ?

ด้วยตำแหน่งที่พอตเตอร์เคยดำรงอยู่เขาย่อมไม่ขาดแคลนเงินทองหลังจากปลดประจำการไปอย่างแน่นอน แสดงว่าพอตเตอร์จะต้องมีเหตุผลพิเศษอะไรบางอย่างถึงได้ตัดสินใจลงไปแบบนั้น

“ลุงพอตเตอร์เคยเป็นทหารตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซี่ยเฟยถาม

“น่าจะประมาณเมื่อ 50 กว่าปีก่อน” วินด์ไชม์ตอบหลังจากคิดถึงเรื่องในอดีต

คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนแรกเขาประเมินอายุของพอตเตอร์เอาไว้ที่ประมาณ 70 ปี แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นหัวหน้ากองยานตั้งแต่เมื่อ 50 กว่าปีก่อนแสดงว่าในตอนนี้เขาจะต้องมีอายุเกิน 100 ปีไปแล้วอย่างแน่นอน

ส่วนอายุของวินด์ไชม์นั้นเซี่ยเฟยก็ไม่กล้าแม้แต่จะคาดเดา เพราะถ้าหากว่าเธอเป็นเพื่อนของพอตเตอร์จริง ๆ แสดงว่าเขายังประเมินอายุของเธอคนนี้น้อยเกินไปเช่นกัน

“ลุงพอตเตอร์เล่าให้คุณฟังไหมว่าทำไมเขาถึงกลับมาที่นี่” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง

“เขาไม่เคยบอกฉัน แต่เขามักจะรีบไปรีบมาอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เขากลับมาฉันจะเห็นใบหน้าที่ผิดหวัง ก่อนที่เขาจะยื่นไอ้นี่ให้กับฉันแล้วหายตัวไป” วินด์ไชม์กล่าวพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ที่มีรูปร่างคล้ายกับแผ่นดิสก์สีทองออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งเซี่ยเฟยเดาว่ามันน่าจะเป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่เข้าคู่กันกับอุปกรณ์รับสัญญาณที่พอตเตอร์ให้เขามา

“ก่อนไปเขาบอกคุณว่ายังไง?” เซี่ยเฟยถามอย่างกังวล

“เขาบอกให้ฉันแจ้งข่าวหานายถ้าหากว่าเขาหายตัวไปนานเกินกว่า 1 เดือน”

“แจ้งให้ผมมาที่นี่หรอ?”

“ไม่ใช่! เขาฝากแจ้งนายว่าอย่ามา” วินด์ไชม์กล่าวพร้อมกับส่ายหัว

***************

แจ้งข่าวมาอย่ามาทำให้อยากรู้มากกว่าบอกว่ามาหานะอีก มีใครคิดเหมือนกันบ้างไหม?

จบแล้วสำหรับกลุ่ม VIP2 [91-180] สำหรับใครที่สนใจเข้ากลุ่มสามารถติดต่อได้ที่ เพจสนพ.เซียนอ่าน ได้เลยนะคะ โดยทางกลุ่ม VIP จะค่าปลดตอนถูกกว่าทางหน้าเว็บแต่อัปตอนพร้อมกันน๊า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด