973 - หลอมรวมคัมภีร์
973 - หลอมรวมคัมภีร์
ในเงามืดเย่ฟ่านนั่งตัวเหี่ยวๆ ลอยอยู่เพียงลำพังในจักรวาลอันหนาวเหน็บ
ด้านหน้าของเขามีจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่ มันไม่ขยับเขยื้อน รักษาระยะห่างจากตัวเขาอย่างคงที่มาหลายเดือนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความแวววาวแบบนี้มืดมนและเย็นชาอย่างมากทุกอย่างสามารถถูกแช่แข็งและแตกร้าวได้ สมบัติโบราณหลายชิ้นในของสะสมของเย่ฟ่านได้กลายเป็นฝุ่นผงทันทีที่สัมผัสกับรัศมีของมัน
ในอ้อมแขนของเขามีน้ำเต้าสีดำที่ปลดปล่อยเปลวไฟออกมาเล็กน้อย ลูกไฟกำลังเต้นรำล้อมรอบร่างกายของเขาด้วยหมอกเก้าสีราวกับชั้นควันบางๆ
เขากำลังใช้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าสีเพื่อต่อสู้กับพลังศักดิ์สิทธิ์ไท่หยิน มิฉะนั้นเขาอาจถูกเปลี่ยนเป็นมนุษย์น้ำแข็งทันที
เพลิงเก้าสีนี้เป็นพลังที่มาจากหงส์เพลิง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุหยางที่ร้อนแรงที่สุดในจักรวาล เมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมาจะไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานได้
จากระยะไกล เย่ฟ่านเป็นเหมือนตะเกียงวิเศษที่ลอยอยู่ในจักรวาลอันมืดมิด พลังความเย็นจากจี้ไท่หยินยังคงพยายามกัดกินร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
เย่ฟ่านแอบดีใจเล็กน้อยที่ภายในของน้ำเต้าสีดำนั้นเหมือนกับจักรวาลโบราณที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าสีเขาเก็บมามีไม่สิ้นสุดและดูเหมือนจะสามารถปกป้องร่างกายของเขาไปได้อีกหลายปี
ไท่หยินยึดมั่นในพลังหยินสูงสุด มันมีเจตนาฆ่าไม่สิ้นสุด ควบคุมไม่ได้ และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรับแต่ง นับประสาอะไรกับการผสมผสานเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง
ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ฝึกฝนคัมภีร์โบราณไท่หยินจนสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว
ภายในจี้ อักขระโบราณหนึ่งตัวสั่นไหว จากนั้นกลายเป็นเครื่องหมายที่สั่นสะเทือนเหมือนเสียงคำรามของระฆังสีเหลือง ที่ทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่านี่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เซียนก็ไม่มีทางรอดชีวิตหากไม่ได้รับการปกป้องจากพลังหยางอันร้อนแรง
คลื่นพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นหนาวเย็นเป็นอย่างมาก มันสามารถแช่แข็งได้หลายแสนลี้และไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายได้ ไม่ว่าที่ใด มันจะกลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้งและทุกชีวิตจะถูกกำจัดออกไป
เย่ฟ่านพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง โดยใช้สายเพลิงเก้าสีเพื่อต่อต้านพลังของดวงจันทร์ที่หนาวเย็นนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสังเกตตัวอักษรที่ถูกปลดปล่อยออกมาทีละน้อย
นี่คือคัมภีร์โบราณไท่หยินอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำภีร์แตกหักที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อเขาฝึกฝนร่วมกันกับคัมภีร์สุริยันที่ได้รับมาจากรังของสัตว์อสูร รับรองได้ว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกขั้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้ไท่หยินและไท่หยางกำลังรวมตัวกันในร่างกายของเขาซึ่งเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ในระดับเซียนเทียม ด้วยพลังทั้งสองประเภทนี้ต่อให้ในอนาคตเขาไม่สามารถเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้ แต่เขาย่อมสามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตอมตะระดับเริ่มต้นได้อย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความหวังเท่านั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ ใครกันที่สามารถทำให้คัมภีร์โบราณสองเล่มที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันรวมเป็นหนึ่งเดียวได้? แม้แต่เซียนโบราณมากมายนับไม่ถ้วนก็ยังกลายเป็นบ้าไปแล้ว
“หยินอ่อนโยนหยางแข็งแกร่ง หากทำให้หยินและหยางเกื้อกูลกันได้สำเร็จ เมื่อนั้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง”
คำพูดโบราณนี้เหมือนคำสาปที่ยังคงก้องอยู่ในหูของเย่ฟ่านเสมอ เสียงสาปแช่งดังมาจากจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวและทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่สมัยโบราณมีสิ่งมีชีวิตอมตะมากมายต้องการพิสูจน์เต๋าเพื่อกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่กลับมีไม่กี่คนเท่านั้น
ทุกคนต่างคิดว่าเส้นทางนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ต้องการจะลอง
อย่างไรก็ตามไท่หยินและไท่หยางนั้นมีความพิเศษเฉพาะตัว มีตำนานโบราณกล่าวว่า หากสามารถรวมหยินหยางเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ มันจะสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่อย่างที่ทุกคนไม่อาจจินตนาการถึง
สำหรับคัมภีร์โบราณอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับความรู้แจ้งมันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้
อย่างมากสุดพวกเขาก็กลายเป็นเพียงครึ่งก้าวจักรพรรดิเท่านั้น
“เมื่อหยินและไท่หยางคอยเกื้อกูลกันอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือวิธีการที่จะสร้างจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริงๆ เพราะคงมีแค่จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกมันหลอมรวมอย่างกลมกลืนได้”
เย่ฟ่านล่องลอยอยู่ในจักรวาลอันมืดมิดเป็นเวลายาวนานหลายปี เขาเป็นเหมือนซากศพที่แห้งเหี่ยวและเต็มไปด้วยฝุ่นผงในจักรวาลโอบล้อมรอบตัว
ไม่ไกลจากเขาชายชราในชุดสีเขียวกำลังถือโลงศพราวกับรูปปั้นหิน มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาอยู่ในสภาพนี้มานานเท่าใดแล้ว หากเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาร่างของพวกเขาจะต้องแหลกสลายอย่างแน่นอน
สำหรับโลงศพมันถูกปิดอย่างแน่นหนาและไม่มีพลังงานประเภทใดรั่วไหลออกมาอีก มิฉะนั้นเย่ฟ่านไม่มีทางทำสมาธิได้อย่างแน่นอน
ในจักรวาลที่มืดมิดนี้เย่ฟ่านแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในตอนแรกเขายังนับเวลาอยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านไปถึงครึ่งปีสุดท้ายเขาก็เลิกล้มความพยายามนั้นโดยสมบูรณ์
พระสูตรโบราณไท่หยินมีหลักการที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เย่ฟ่านใช้เต๋าบริสุทธิ์ในการกลั่นกรองเพื่อให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของเนื้อหา ซึ่งแน่นอนว่าบางครั้งเขาก็จมอยู่ในสมาธิอย่างยาวนาน เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งวันเวลาที่เขาเคยนับไว้ก็หายไปเช่นนี้
“อั่ก!”
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนเย่ฟ่านลืมตาตื่นขึ้นและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ คัมภีร์สุริยันจันทราที่เขาพยายามหลอมรวมเข้าด้วยกันประสบความล้มเหลว
โชคดีที่ร่างกายของเขาไม่ถูกพลังทั้งสองประเภทฉีกกระชากออกจากกันเป็นชิ้นๆ
“สุริยันจันทรา เราจะไปด้วยกันได้อย่างไร!”
เย่ฟ่านครุ่นคิดและใช้ทุกวิถีทาง เขาไม่ได้หยิ่งยโสว่าตัวเองเป็นตัวเอกของเรื่องราวที่สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรอคอยโชควาสนาให้วิ่งเข้าหาตัวเองได้
อย่างไรก็ตามเขาก็บอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก พลังทั้งสองประเภทแทบจะฉีกร่างกายของเขาออกเป็นชิ้นๆ ในทุกช่วงเวลาที่ทำการฝึกฝน
เย่ฟ่านอดทน ไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เขานั่งอยู่ในจักรวาลอันมืดมิดพร้อมกับหยิบเมล็ดโพธิ์ออกมาเพื่อทำการศึกษาคัมภีร์ทั้งสองเล่มอย่างจริงจัง
“เต๋าสวรรค์คือการสร้างสรรพสิ่งด้วยพลังของหยินและหยาง หลักการของชีวิตคือการใช้พลังทั้งสองประเภทในการเลี้ยงดูทั้งร่างกายและวิญญาณ ดังนั้นข้าควรจะเริ่มต้นจากตรงนี้ นั่นคือการทำให้วิญญาณของข้ามีพลังของทั้งสองประเภทหมุนเวียนอย่างกลมกลืน”
เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง จากนั้นเขาก็เรียกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากหน้าผากเพื่อให้มันเดินพลังแทนร่างกาย
เต๋าเป็นแก่นแท้ ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งที่ไม่ใช่ร่างกายฝึกฝนทักษะนี้
“ข้าคือไท่ ข้าคือเต๋า ข้าแบ่งหยินและหยาง แปลงร่างเป็นสองส่วน และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ”
เย่ฟ่านไม่มีเวลาคิดและอนุมานทีละขั้น เขารวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้อย่างูๆปลาๆ และเริ่มทดลองอีกครั้ง
เขาถือว่าตัวเองเป็นเต่า แบ่งหยินและหยาง จากนั้นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็เริ่มเดินพลังโดยใช้ร่างกายของเขาเป็นตัวเชื่อมต่อกับคัมภีร์ทั้งสองเล่ม
ด้วยวิธีนี้ กว่าครึ่งปีผ่านไปเย่ฟ่านมีความรู้สึกว่าในที่สุดเขาก็มีความก้าวหน้าครั้งสำคัญ
แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าเขาได้รวมคัมภีร์สุริยันจันทราเข้าด้วยกันจริงๆ แต่เขาสามารถฝึกฝนคัมภีร์ทั้งสองในจุดเริ่มต้นได้
และขอเพียงเขาไม่เอามาพลังของพวกมันรวมกัน แม้แต่พลังการต่อสู้ของเขาก็ดูเหมือนจะทะยานเข้าสู่ขอบเขตใหม่อย่างที่ตัวเขาก็คาดไม่ถึง
ความสำเร็จของก้าวเล็กๆ ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงพรสวรรค์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาได้ซึมซับแก่นแท้ของจีนโบราณที่ถูกสะสมโดยนักโบราณคดีมาเป็นเวลาหลายพันปี
นั่นทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจในด้านหยินหยางมากกว่าผู้คนในโลกอำพรางสวรรค์หลายเท่า
ในปีที่ผ่านมาเย่ฟ่านไม่เคยขยับตัวแม้แต่ครั้งเดียว เขาอยู่ในลักษณะเช่นเดียวกันกับรูปปั้นในวัดโบราณ รูปลักษณ์ของเขาเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่น่านับถือ
เมื่อเวลาผ่านไปในที่สุดเปลวไฟเก้าสีของเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มหมดลง ในช่วงเวลานั้นพลังหยินอันหนาวเหน็บได้ส่งผลกระทบต่อร่างของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนในเรื่องนี้ หลังจากฝึกฝนมาหลายปีดูเหมือนว่าเขาจะมีความสามารถในการป้องพลังความหนาวเย็นนี้ได้มากขึ้น
ในเวลาเดียวกันเย่ฟ่านสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตบางอย่างซึ่งปรากฏขึ้นที่ชายขอบจักรวาล เขารู้สึกถึงพลังอันกล้าแข็งที่พยายามดึงเขาเข้าสู่อุโมงค์มิติโดยไม่คาดคิด
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่ฟ่านพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก
“บูม”
เขากระตุ้นพลังอันแข็งแกร่งและฉีกประตูมิติที่กำลังดึงเขาเข้าสู่ข้างในอย่างกล้าแข็ง
ในดินแดนรกร้างทางตะวันออก แท่นบูชาแห่งหนึ่งสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังปราณสีดำได้กวาดออกไปรอบทิศทางและฉีกร่างของปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่กำลังทำพิธีออกจากกันเป็นชิ้นๆ
“พลังไท่หยิน!!”
“ผู้ใดทำสิ่งนี้!”
สิ่งมีชีวิตโบราณกลุ่มหนึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขากระตุ้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตบางอย่างปรากฏตัวขึ้นในแท่นบูชาของพวกเขา
“การอัญเชิญเทพล้มเหลวอีกแล้ว พวกเรายังจะทำแบบนี้ต่อไปอีกหรือ?”