ตอนที่ 14 พายุกำลังมา
เช้าวันต่อมา นอกถ้ำ
ก่อนรุ่งสาง เจียงหมิงได้ฝึกหมัดปราบพยัคฆ์ไปแล้วเจ็ดหรือแปดครั้ง
ทุกครั้งที่เขาฝึก เขารู้สึกได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกายของเขาที่กระโดดด้วยความดีใจ ราวกับว่ามันสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“ถ้าฝึกฝนเพียงวันละสามครั้ง ข้าย่อมไม่รู้สึกถึงพลังปราณเช่นนี้!”
เจียงหมิงพึมพำกับตัวเอง “ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์โจวบอกว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปี การฝึกวรยุทธ เกี่ยวข้องกับความอุตสาหะและความพากเพียร แต่หมัดปราบพยัคฆ์ยากจะฝึกและอันตราย มันมีข้อบกพร่องมากเกินไป อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะเหตุนี้หมัดปราบพยัคฆ์จึงตกทอดมาถึงมือของคนทั่วไปเช่นอาจารย์โจว”
เจียงหมิง หยุดชั่วขณะหยิบแกงสมุนไพรที่เคี่ยวมาทั้งคืนแล้วกระดกมันลงไปทั้งหมด
หากสมุนไพรในนี้นี้ถูกขาย มันจะมีราคาหกหรือเจ็ดตำลึงเงิน
“ตราบใดที่ข้าสัมผัสได้ถึงปราณเลือดทุกอย่างก็คุ้มค่า”
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังยาที่ปั่นป่วนกำลังแพ่กระจายไปทั่วร่างกาย ราวกับว่ามีกระแสความร้อนไหลเวียนอยู่ในแขนขาและกระดูกของเขา ดวงตาขอ เจียงหมิงลุกเป็นไฟ และเขายังคงฝึกฝนวิชาหมัดต่อไป
สิบครั้ง! ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้ง!....
พระอาทิตย์ขึ้นและตก ป่าเงียบสนิท มีเพียงร่างหนึ่งที่อดทนกำลังฝึกฝนอย่างไม่ลดละ
ยามรัตติกาล เดือนข้างแรมลอยเด่นบนฟ้า
เจียงหมิง ทีกำลังฝึกฝน จู่ๆก็หน้าแดงขึ้น
เหงื่อผุดขึ้นตามผิวหนังของเขา ก่อตัวเป็นหมอกสีขาว
เลือดในเส้นเลือดของเขาพลุ่งพล่านราวกับสายลมพัดผ่านทุ่งหญ้า ดั่งอัสนีบาตแหวกรัตติกาล!
รัศมีปราณระเบิดออกมา!
“ในที่สุด ปราณเลือด!”
“มันไม่ใช่ปราณ ไม่ใช่เลือด มันเป็นพลังบางชนิดที่อยู่ในเลือดและกระดูก ราวกับเป็นพลังที่ไม่มีอยู่จริง แค่วาปราณเลือดนี้เป็นเหมือนน้ำและควันในร่างกายของข้า ข้าไม่สามารถควบคุมมันได้”
เจียงหมิง สัมผัสมันอย่างระมัดระวังและพยายามขว้างก้อนหินขนาดเท่าหัวมนุษย์ออกไปให้ไกลที่สุด ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
“ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้วิชาลมปราณกับอาจจารย์โจว มีเพียงวิชาลมปราณเท่านั้นที่สามารถควบคุมปราณเลือดและหลอมรวมให้มันกลายเป็นพลังของข้าได้”
* * *
เมืองผิงอัน
หลังฤดูใบไม้ร่วง มันค่อนข้างเงียบสงบขึ้นมาก
ภูเขาหนาวเย็น โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ทุกปี คนชราและคนอ่อนแอจำนวนมากจะจากไป
อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังคงเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ ที่ที่ห่างไกลจากตัวเมือง แม้ชีวิตจะลำบากแต่กลับมั่นคง
ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยสองสามใบหน้าซุกอยู่ที่มุมโรงเตี๊ยมเล็กๆ พวกเขานั่งอยู่กับคนเก็บสมุนไพรสองสามคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร
“สวัสดี พี่หมิง!” อาเฟยทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ในช่วง2-3เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปและความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มก็หายไปมาก
คนเก็บสมุนไพรคนอื่น ๆ ก็ทักทาย เจียงหมิง ทีละคน ชื่อเสียงของการเป็นวายร้ายไม่ได้ลดลงจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเดือนที่แล้ว นักเลงสองสามคนรู้ว่าเจียงหมิงเอาเปรียบกัวเฮยจือและต้องการแก้แค้น
อนิจจา สุดท้ายพวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับกัวเฮยจือ
เจียงหมิง พยักหน้าและเดินไปที่โต๊ะรับแขก “เฒ่าเจียง ขอสองแก้ว!”
“โอ้ แขกหายาก!” เฒ่าเจียงพูดหยอกล้อในขณะกำลังดื่มเหล้า
"เกิดอะไรขึ้น?" เจียงหมิง เลิกคิ้วขึ้น “สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
ผู้เฒ่าเจียงมองไปรอบ ๆ และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าในเมืองช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม กองกำลังจำนวนมากได้ส่งคนมายังเมืองผิงอันเพื่อรวบรวมคนเก็บสมุนไพร โดยเฉพาะตระกูลหวัง พวกเขายังส่งคุณหนูหวังมาที่นี่เป็นการส่วนตัว พวกเขาทำความดี แจกทาน เฮอๆ.....ข้าได้โจ๊กจากคุณหนูหวังมากินด้วย มีบางคนออกไปแล้ว พวกเขากำลังทำงานให้กับกองกำลังที่มีอิทธิพลในจังหวัด ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะไปที่ภูเขาหยุนหมิงเพื่อสำรวจและเก็บสมุนไพร”
เจียงหมิง ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็มองไปที่ เฒ่าเจียงพวกเขาทั้งสองเห็นร่องรอยของความไม่สบายใจในดวงตาของกันและกัน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเมืองผิงอัน
“ข้าได้ยินมาว่าสวัสดีการของพวกเขาไม่เลว ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น” เฒ่าเจียงพึมพำ ไม่ชัดเจนว่าเขากำลังปลอบใจตัวเองหรือเจียงหมิง
เจียงหมิงส่ายหัว เมื่อเขากำลังจะออกไปพร้อมกับอาหารและเหล้า แต่เฒ่าเจียงก็พูดขึ้นมาว่า "ยังไงก็ตาม เจ้าก็ต้องระวังด้วย เจ้าได้เก็บสมุนไพรจำนวนมากในช่วงเวลานี้และมีชื่อเสียงในเมือง พวกเขาอาจอยากพบเจ้า”
เจียงหมิง หยุดเดินและหันกลับไปยืนข้างโต๊ะรับแขก เขาหยิบเต้าหู้รมควันด้วยตะเกียบแล้วใส่ปาก จากนั้น เขาก็ดื่มเหล้าหมดแก้วในอึกเดียว เช็ดปาก หันหลังกลับ และจากไป
“ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำที่บ้าน เพราะฉะนั้นข้าจะหยุดมาดื่มสักพัก”
ผู้เฒ่าเจียงตกตะลึง จากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”
จากนั้นดวงตาของเขาก็สั่นไหวราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
* * *
“อาจารย์โจว สอนวิชาลมปราณให้ข้าที” เจียงหมิงเข้าตรงประเด็น
อาจารย์โจวรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เจ้าจะเรียนไปทำไม? มันยังไม่มีประโยชน์”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า เจียงหมิง สัมผัสได้ถึงปราณเลือดของเขาแล้ว เพราะแม้ว่าเขาจะกินสมุนไพรบำรุงและยาลับทุกวัน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้
เจียงหมิงถอนหายใจ “อาจารย์โจว ท่านไม่เห็นหรือว่าเมืองผิงอันไม่สงบอีกต่อไปแล้ว? อย่างแรก คนเก็บสมุนไพรยังคงหายตัวไปและถูกฆ่าตาย ตอนนี้จิ้งจอกชั้นสูงเหล่านั้นได้เปลี่ยนกลยุทธ์และกลับมารับสมัครอีกครั้ง ข้ากลัวว่าถ้าข้าถูกจับได้ข้าอาจจะกลับมาไม่ได้อีก ถ้าเช่นั้นก็ควรเรียนรู้สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ก่อน”
เจียงหมิง ไม่ได้บอกว่าเขาสามารถฝึกวิชาลมปราณได้แล้ว แต่เขาไม่ได้โกหก เขากังวลจริงๆ
“อีกอย่าง ท่านจะไม่แก่เลยขึ้นเหรอ?” เจียงหมิง ถามอย่างซุกซนในตอนท้าย
“เหอะ!” อาจารย์โจวโกรธจนแทบจะกระโดด จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “มันไม่สงบจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนเจ้าเอง”
จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องของเขาและหยิบหนังสือสีเหลืองเล่มบางออกมา “นี่คือเค้าโครงของวิชาลมปราณ เจ้ายังไม่รู้สึกถึงปราณเลือด แม้ว่าข้าจะแสดงให้เจ้าดู แต่ก็ยากที่เจ้าจะเข้าใจแก่นหลักของมัน ในอนาคต เมื่อเจ้าฝึกลมปราณ เจ้าสามารถอ้างอิงจากหนังสือเล่มนี้ได้”
“ขอบคุณ อาจารย์โจว!”
หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์โจวก็เริ่มแสดงวิชาลมปราณ
ในตอนดึก เจียงหมิง ออกจากบ้านของอาจารย์โจวและกลับไปที่บ้านของเขาเอง
"หืม?" เจียงหมิง จ้องมองที่ประตูไม้ที่พังและล้มลงกับพื้น
ภายใต้แสงจันทร์ เจียงหมิง เห็นรอยเท้าบนประตูไม้
“ดูเหมือนจะมีคนมาที่นี่”
เจียงหมิงเตะประตูไม้ไปด้านข้าง เขาไม่สนว่าใครจะเป็นคนทำ เขากลับบ้าน หยิบอุปกรณ์รวบรวมสมุนไพร และวิ่งเข้าไปในภูเขาหยุนหมิง
"ไม่ว่าจะเป็นคำเชิญหรือคำชักชวนแบบไหน ข้าจะหนีไปให้ไกลและไม่เล่นกับพวกเจ้า”
เจียงหมิง รู้ดีเกี่ยวกับชนชั้นสูงและทรงพลังเหล่านั้น พวกเขาอาจจะใจดีในตอนแรก แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถรวบรวมผู้คนได้มากพอ ในที่สุดพวกเขาก็จะไม่ใจดีอีกต่อไป คนเก็บสมุนไพรจะถูกลักพาตัวโดยตรง
“จับเฉพาะคนเก็บสมุนไพรเท่านั้น หมายความว่าพวกเขาต้องการสมุนไพรจำนวนมาก!” เจียงหมิง อยู่ในถ้ำ ถือชามแกงเห็ดร้อนๆ และกินอย่างช้าๆ ขณะที่คิดว่า "ถ้าไม่ใช่โรคระบาดใหญ่ ก็แสดงว่าเป็นสงคราม โรคระบาดยังปกติ แต่สงครามเป็นเรื่องลำบาก”