บทที่ 47 - ห่างไกลจากบ้าน
แสงอาทิตย์สว่างจ้า ปลุกผมขึ้นจากการนอน เตือนผมให้นึกถึงแสงแดดอันน่ารังเกียจในวัยเด็ก ผมไม่รู้สึกว่าผมโตขึ้นเลยจริง ๆ หลังจากล้างหน้า ผมออกมานอกระเบียง แล้วหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อธาตุแสงในตัวผมรู้สึกถึงอากาศบริสุทธิ์ พวกมันแสดงความตื่นตัว ทำให้ผมรู้สึกมีแรงขึ้น วันนี้เป็นวันที่ผมจะออกเดินทาง ผมจะจากสถานที่ที่คุ้นเคยมากที่สุดในชีวิตไป
“จางกง มากินข้าวเช้า” เสียงแม่เรียกออกมาจากในครัว
“มาแล้วครับ” ตอนนี้ ผมต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกเล็กน้อยกับครอบครัว ก่อนที่จะเดินทาง ผมรีบลงมาที่ชั้นล่าง ทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“อา! กินอีกหน่อยสิจางกง เดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าวฝีมือแม่อีกนาน” แม่ตักกับข้าวใส่ถ้วยของผมเพิ่มแล้ว เพิ่มอีกอย่างใจดี
“แม่ก็กินด้วยสิครับ ไม่ต้องห่วงไปหรอก ผมจะกลับมากินข้าวฝีมือแม่อีก แบบไม่มีรอยขีดข่วนเลย”
“เห็นพวกคุณ 2 คนเป็นอย่างนี้ ผมไม่แน่ใจแล้วว่าการให้จางกงออกเดินทาง เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า” อาจารย์ตี้พูดหยอกล้อ เมื่อเห็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ในที่สุด เวลาของการแยกจากก็มาถึง
“เดินทางระมัดระวังนะลูก ดูเรื่องความปลอดภัยเยอะ ๆ” แม่พูดตาแดง ๆ
“อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ” ส่วนพ่อมือสั่นระหว่างที่สั่งผม
“อย่าลืมว่ามีม้วนเวทย์หลบหนีอยู่ล่ะ ที่อาจารย์ให้ไว้น่ะ” อาจารย์ตี้บอก
ถึงแม้ผมจะลังเลที่จะไป แต่ผมก็บอกลาพวกเขา แล้วก้าวเท้าออกไปบนการเดินทางแห่งการเรียนรู้
ระหว่างที่ผมเดินห่างออกมาจากหมู่บ้าน ผมหันหลังกลับไปมองครั้งแล้วครั้งเล่า ผมออกจากบ้านมาแล้วเรียบร้อย แต่ความหดหู่ที่ผมรู้สึกเหมือนว่ามันจะไม่มีทางแก้ได้ง่ายอย่างนั้น
ตามแผนที่อาจารย์ตี้วางไว้ ผมจะต้องเดินทางไปที่อาณาจักรซิวต้าก่อน เพื่อที่จะหาเพื่อนรักของเขา อาจารย์เหวินหลี่เคอ ผู้อำนวยการของสถาบันอัศวินซิวต้า ผมจะฝึกอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางไปทำภารกิจต่อ
ผมเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ ไม่มีความรู้สึกวิตกกังวลใด ๆ ในการเดินทางเลย ผมค่อย ๆ เดินไป ชมทัศนียภาพที่งดงามรอบ ๆ ตัวไป อาณาจักรนี้ช่างสวยงามมาก ข้างหน้าผมมีลำธารเล็ก ๆ ทอดตัวอยู่ น้ำใสไหลเอื่อยสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ผมหยิบเอาแผนที่ที่อาจารย์ตี้ให้ไว้ ออกมาเปิดดูอีกครั้ง ความเร็วในการเดินทางของผมไม่ถือว่าช้ามาก ตอนนี้ผมมาถึง ‘ทะเลสาบเหมือนฝัน’ แล้ว หลังจากนี้ แค่เดินทางผ่านอีกเขตการปกครองไป ผมจะไปถึงชายแดนของอาณาจักรซิวต้าแล้ว ในอดีต ผมเคยได้ฟังอาจารย์ตี้เล่าว่า พื้นที่ในบริเวณทะเลสาบมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะสวยสมคำร่ำลือหรือไม่ ผมเร่งฝีเท้าเพิ่มความเร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบเหมือนฝัน
อา!! ทะเลสาบมันใหญ่จริง ๆ จากฝั่งที่ผมยืนอยู่นี้ มองออกไปไม่เห็นอีกฝาก น้ำในทะเลสาบใส ส่องประกายสีน้ำเงินดูลึกลับ ผมสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในทะเลสาบได้ สวยงามเกินคำบรรยาย ผมทรุดตัวลงนั่งที่ริมฝั่ง กวักน้ำใสสะอาดจากในทะเลสาบขึ้นมาล้างหน้า น้ำเย็นสดชื่นมาก สบายตัวจริง ๆ ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูร้อน น้ำจากทะเลสาบเย็น ๆ เหมือนน้ำแข็งทำให้รู้สึกสบายตัวอย่างที่สุด
ผมถอดรองเท้าออก แล้วเดินลงไปในน้ำ เพลิดเพลินอยู่กับทิวทัศน์ของทะเลสาบ และภูเขาที่ทอดตัวเป็นฉากหลังอยู่ แต่ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมหันหลังกลับไปมอง เห็นกลุ่มคนในชุดดำ 7-8 คนกำลังวิ่งมาทางที่ผมอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะแข็งแรงกระฉับกระเฉงกันมาก น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ฝึกวิชาการต่อสู้ แต่ดูจากรูปร่างที่ผอมเพรียวแล้ว ผมสามารถรู้ได้ทันทีว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงทั้งหมด
ระหว่างที่พวกเธอกำลังใกล้เข้ามา ผมเริ่มนับจำนวนว่ามีอยู่ทั้งหมดกี่คน พวกเธอมีกันอยู่ 9 คน น่าแปลกใจ วันนี้อากาศก็ออกจะร้อน ทำไมพวกเธอต้องสวมผ้าคลุมไปหมดทั้งตัวอย่างนั้นด้วย? มีอยู่คนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงที่สุด คนนี้น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม? คนอื่น ๆ วิ่งล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวเธอเหมือนกับดวงดาวรายล้อมอยู่รอบดวงจันทร์ ผมไม่รู้ว่าหน้าตาของพวกเธอเป็นยังไง ทำไมพวกเธอต้องสวมผ้าคลุมด้วย? แถมคลุมมิดไปหมดทั้งตัว? ผมคิดไป จ้องมองพวกเธอไป
อาจเป็นเพราะวิธีที่ผมจ้องไปที่พวกเธอมันชัดเจนเกินไปหน่อย หนึ่งในนั้นสังเกตเห็นและตะโกนออกมา “เจ้าคนสารเลวตรงนั้น แกมองอะไร! ให้เร็วเลย รีบไสหัวออกไป! พวกเราจะใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อน ถ้ายังไม่หยุดจ้อง ฉันจะควักลูกตาของแกออกมา”
อ้าว!!! ทำไมรุนแรงอย่างนั้นล่ะ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจจริง ๆ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับสุภาพบุรุษ (?) อย่างผม ถ้ามีสุภาพสตรีต้องการพักผ่อน ผมก็ต้องหลีกทางให้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินคำพูดของเธอ ผมไม่ไปแล้ว! ผมทำเป็นไม่สนใจพวกเธอ ผมเงยหน้ามองฟ้า เริ่มครวญเพลงจากบ้านเกิดของผมออกมา “บางครั้งผมรีบใส่ถุงเท้า ใส่ถุงเท้า แต่พบว่าใส่กลับข้าง บางครั้งผมอยากล้างจาน อยากล้างจาน แต่อยากล้างพรุ่งนี้ เพราะว่าผมเป็นเด็กดี เป็นเด็กดี ที่ออกจะขี้เกียจ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องสนใจ ปล่อยเด็กเสียคนอย่างผมไป…” มันเป็นเพลงที่พ่อของผมชอบร้องให้ฟัง มันมีชื่อเพลงว่า ‘ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่’ บางทีเขาอาจจะร้องเพราะกลัวแม่ของผม หลังจากได้ฟังมาเป็นเวลานาน แน่นอนผมร้องช่วงต้นเพลงได้บ้าง
พอเห็นผมไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ผู้หญิงคนที่เพิ่งตะโกนเข้าใส่ผม เริ่มเดินมาทางผมด้วยท่าทางโมโหโกรธา เหมือนเธอต้องการจะใช้กำลังกับผม หืม!! มาเลย! ที่นี่ไม่มีใครกลัวใครอยู่แล้ว
หัวหน้ากลุ่มของสาว ๆ กลุ่มนี้เริ่มออกปากพูด “หลิงจือ อย่างก่อเรื่อง เจ้าลืมแล้วเหรอว่าท่านพ่อของข้าบอกอะไรไว้ ก่อนพวกเราจะออกมา?” ช่างเป็นเสียงที่หวานมากจริง ๆ ไพเราะจนแทบจะทำให้ทั้งโลกหยุดหมุนเพื่อฟังเสียงของเธอ ถ้าเทียบกับเสียงของตัวของผมเอง เอ่อ!.. ไม่เทียบดีกว่า ถ้าเธอใช้เสียงนี้ร้องเพลง มันจะเป็นยังไงนะ ผมเริ่มปล่อยให้จินตนาการของผมล่องลอยไป
หญิงสาวที่ชื่อหลิงจือ คำรามอย่างดุร้ายก่อนพูดว่า “ฉันจะยกโทษให้แกไปก่อนคราวนี้ รีบ ๆ ไสหัวไปให้พ้น!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดที่หยาบคาย ไร้เหตุผลของเธอ หรือเป็นเพราะว่า ผมอยากฟังเสียงของหัวหน้ากลุ่มคนนั้นอีกครั้ง ผมพยายามเก็บซ่อนความรังเกียจไว้ภายใต้ท่าทีอันหยิ่งยโส แล้วเริ่มยั่วโมโหเธอ “น่าแปลกใจจริง ๆ ฉันไม่รู้เลยนะว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของพวกเธอ? แต่ว่านะ ฝันไปเถอะ! ต่อให้เอาอะไรมาลาก สุภาพบุรุษตัวน้อยอย่างฉันบอกได้เลยว่า ไม่ไป!”
แน่นอนอย่างที่สุด ความต้องการของผมได้รับการเติมเต็ม หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “หลิงจือ ไปสอนบทเรียนให้เขาหน่อย ไม่ต้องมากนะ อย่าให้ถึงตาย!”
น่าฟังมาก เสียงช่างน่าฟังจริง ๆ ทำไมเธอไม่พูดให้ยาวกว่านี้อีกสักหน่อย? ตอนที่ผมกำลังหลงไหลได้ปลื้มอยู่กับเสียงของเธอ เรื่องยุ่งยากก็มาแล้ว ท่าทางว่าผู้หญิงที่ชื่อหลิงจือนั่นคิดอยู่แล้ว ว่าผมสมควรโดนสั่งสอน พอได้ยินเจ้านายของเธอสั่ง เธอลอยพุ่งเข้ามาหาผมทันที ดาบที่ประดับด้วยอัญมณีหลุดออกมาจากฝักที่เอวของเธอ ตวัดพลาดจากหัวของผมไปนิดเดียว
ลมเย็นพัดวูบปะทะตัวผม ผมขยับตัวหลบ ตัวสั่นเล็กน้อย ผมรีบพูด “ไอ้หยา!! ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!” ด้วยการเคลื่อยย้ายเพียงครั้งเดียว ผมส่งตัวเองออกมาไกล 10 เมตร อันตราย อันตรายมากจริง ๆ เหมือนว่าปอยผมของผมจะโดนตัดออกไป เป็นดาบที่ไวมาก “เธอกล้าทำร้ายฉันจริง ๆ!”
“อ้อ! แกเป็นนักเวทย์! ว่าแล้วทำไมถึงได้ทำตัวหน้าไม่อาย” ตอนนี้ผมสวมชุดเหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้เธอเพิ่งรับรู้ว่าผมเป็นนักเวทย์ ตอนที่ผมใช้เวทย์มนต์นี่เอง
หา! นักเวทย์เป็นพวกหน้าไม่อาย? ผมพูดกับตัวเองเสียงมืดมน มันไม่เป็นอะไรถ้าจะดูถูกผม แต่นี่มันดูถูกอาจารย์ผม เพื่อน ๆ และครอบครัวของผมด้วย พวกเขาทุกคนเป็นนักเวทย์ เพื่อพวกเขา ผมจะต้องสอนบทเรียนให้เธอบ้างแล้ว “โอ้! ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อนของข้า หลอมรวมเป็นลูกธนูแหลมคม ทำลายศัตรูตรงหน้า!” ธนูแสงที่เสริมพลังแล้ว ถูกยิงออกจากมือของผม
ดูเหมือนว่าเธอจะแสดงออกการโกรธเกลียดออกมาอย่างชัดเจน เมื่อเห็นผมปล่อยธนูแสงออกมาจากมือ ดาบในมือของเธอเริ่มเปล่งแสงสีเงินออกมา เธอใช้ดาบตัดธนูแสงของผม แล้วพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว มันเป็นเรื่องปกติ เวลาที่นักรบปะทะกับนักเวทย์ นักรบจะพยายามรุกเข้าหานักเวทย์เพื่อทำการต่อสู้ระยะใกล้
หวา!!!! นี่มันจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้! ผมได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันจริง ๆ ดูเหมือนว่าผมจะต้องแสดงความสามารถออกมาบ้างแล้ว “โอ้! ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อนของข้า เปลี่ยนเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์!” ลำแสงสีขาวพุ่งออกมาจากร่างกายของผม ล้อมรอบตัวผมไว้เป็นระยะกว้าง สร้างเป็นขั้นของการป้องกันขึ้นมา นี่เป็นเป็นเวทย์แสงป้องกันระดับสูง ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ ตอนที่เธอพุ่งเข้าปะทะกับแสงศักดิ์สิทธิ์ของผม ดูเหมือนว่าเธอจะแสดงอาการเจ็บปวด แล้วรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วกว่าตอนพุ่งเข้ามา ตัวสั่นไปทั้งตัว
“แก! แกเป็นนักเวทย์แสง”