บทที่ 44 - ไม่เรียนต่อ
“ทำไมครับ?” ผมถามเรื่องนี้กลับทันที เพราะผมรู้ว่าผมเป็นอาจารย์เวทย์ที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ทำไมผมถึงจะไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่าอาจารย์ตี้ได้? ที่ผ่านมาผมเชื่อมันอย่างเต็มที่ว่า ผมเป็นคนที่มีสุดยอดพรสวรรค์ มันเพียงพอที่จะทำให้ผมกลายเป็นมหาเมธีเวทย์ในตำนานเมื่ออดีตได้ คำพูดของ อาจารย์ตี้ สร้างความแตกตื่นให้กับผมมากพอ ผมเริ่มเสียความมั่นใจในตัวเอง
“ไม่ต้องกังวลมากไป ให้อาจารย์อธิบาย” อาจารย์ตี้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง “เธอรู้มั้ยว่าตอนนี้อาจารย์อายุเท่าไร?”
“ประมาณ 80 ปีครับ”
“ปีนี้อาจารย์อายุ 83 ปีแล้ว เธอรู้มั้ยรองอาจารย์ใหญ่อายุเท่าไรแล้ว?”
“ผมไม่ทราบครับ ผมว่าน่าจะน้อยกว่าอาจารย์!”
“ปีนี้เขาอายุ 62 แล้ว ก่อนที่เธอจะเข้ามา เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เป็นอาจารย์เวทย์ได้ ตอนเขาอายุ 20 ปี เขาเรียนจบจากสถาบันเวทย์มนต์หลวงแล้ว ตอนอายุ 30 ปี เขากลายเป็นเมธีเวทย์! เธอรู้มั้ยว่าทำไม เขาถึงไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่นิดเดียว จากเวลา 30 กว่าปีที่เหลือ?”
ผมได้แต่ส่ายหน้า
“ถึงแม้จะบอกว่าเมธีเวทย์มีอยู่จำนวนไม่มากตอนนี้ แต่เมื่อ 1,000 ปีก่อน มีเมธีเวทย์อยู่หลายร้อยคน ไม่มีแม้แต่คนเดียวขึ้นไปถึงระดับมหาเมธีเวทย์ได้ หลังจากบรรลุถึงระดับเมธีเวทย์แล้ว มันจะต้องเผชิญกับสภาวะคอขวด เราจะสามารถเพิ่มทักษะเวทย์มนต์ หรือทำให้พื้นฐานเวทย์มนต์แข็งแกร่งขึ้นอีกได้ แต่เราจะไม่สามาถเพิ่มระดับพลังเวทย์ของเราได้อีก ในปัจจุบัน เมธีเวทย์ทั้ง 10 คนในทวีป ไม่มีความแตกต่างกันในด้านปริมาณของพลังเวทย์ อันดับของพวกเราถูกจัดขึ้นตามชื่อเสียง แล้วก็ทักษะเวทย์เท่านั้น
“สภาพคอขวดนั่น มันทำลายยากมากเลยเหรอครับ? แล้วผมจะมีโอกาสทำลายมันได้ยังไง?” ผมพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีวิธีที่ทำได้เลย! นานมาแล้ว มีเมธีเวทย์หลายคนพยายามทดลองใช้หลายวิธีที่แตกต่างกัน แต่ผลที่ได้ออกมามีแค่ 3 อย่าง ยอมแพ้ เสียสติ และสุดท้ายคือการที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากพลังเวทย์ อาจถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี”
“อา! มันยากถึงขนาดนั้น?” ผมเริ่มคิดที่จะยอมแพ้แล้ว ยังไงก็ตาม ตอนนี้ผมมาได้ไกลมากแล้ว ผมเป็นเมธีเวทย์ได้อย่างแน่นอน แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว
“นี่คือเหตุผลที่อาจารย์ไม่อยากให้เธอเดินบนเส้นทางที่มีคนปูไว้ โดยการเข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์ระดับสูง อาจารย์รู้ว่า ถ้าเธอตั้งใจที่จะพัฒนาพลังเวทย์ของเธอที่นั่น สุดท้ายแล้ว เธอจะเลือกที่จะยอมแพ้ อาจารย์สอนเธออยู่หลายปี อาจารย์เข้าใจนิสัยของเธอดี”
ผมได้แต่เกาหัว ทำเป็นไอเพื่อแก้เขิน
“อาจารย์ไม่ได้หวังให้เธอต้องทุ่มเททุกอย่างในชีวิต เพื่อที่จะกลายเป็นมหาเมธีเวทย์ แต่อาจารย์หวังว่าเธอจะค้นพบวิธีใหม่ วิธีที่แตกต่าง วิธีที่จะทำให้เธอขึ้นไปสู่ระดับมหาเมธีเวทย์ได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับอันตรายใด ๆ”
“ใช่แล้ว! นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์หวัง เพราะท้ายที่สุด เหตุผลสำคัญที่ทำให้เมธีเวทย์ไม่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้ เป็นเพราะร่างกายของพวกเราไม่สามารถรองรับพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป รวมทั้งพวกเราไม่สามารถทำความเข้าใจในธรรมชาติของธาตุเวทย์มนต์ได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้! เธอมีข้อได้เปรียบอย่างมหาศาล เธอมีความสามารถในการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับธาตุแสง เธอสามารถสร้างเวทย์มนต์ใหม่ ๆ ได้มากมายจากข้อได้เปรียบนี้” อาจารย์ตี้ร่ายคำพูดออกมายาวเหยียด
“ถ้าอย่างนั้น! ผมต้องทำอย่างไรครับ? ผมจะทำอย่างที่อาจารย์แนะนำ”
หลังจากอ้อมไปอ้อมมา ชักแม่น้ำมาหลายสาย ข้อสรุปสุดท้ายก็ถูกกล่าวถึง
“ไม่ต้องทำอะไรมาก เธอจะยังเข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์หลวง เพียงแค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ อาจารย์หวังว่าเธอจะเข้าเรียนในภายหลัง หลังจากที่เธอเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับตัวเองสัก 2-3 ปี ค่อยกลับมาเรียนต่อ”
“เดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์?” ง่าย ๆ อย่างนี้เลย! ผมนึกว่าจะต้องทำอะไรที่ยากกว่านี้ แค่ต้องออกไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์สนุก ๆ “ได้ครับ ผมก็อยากเดินทางอยู่เหมือนกัน”
“อย่าคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น! อาจารย์อยากให้เธอเรียนรู้จากการเดินทางของเธอ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด และอาจารย์จะมอบหมายให้เธอทำบางอย่างด้วย ระหว่างที่เดินทาง เธอต้องยกระดับพลังเวทย์ของเธอให้ถึงระดับเมธีเวทย์ นั่นไม่ใช่ขั้นตอนที่ง่าย อย่าคิดว่าเธอจะสามารถทำตัวเหลวไหล ทำตัวสนุกไปเรื่อย ๆ ได้ อย่างที่ 2 เธอต้องขัดเกลาเพื่อเพิ่มความสามารถทางร่างกายของเธอให้มากขึ้น เรื่องนี้ เธออาจจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้”
ผมขัดจังหวะของอาจารย์ตี้ “จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนักรบ? มันจะเป็นไปได้เหรอครับ? เราจะใช้ทั้งพลังเวทย์ และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พร้อมกันได้ยังไง?”
“ในทางทฤษฎี มันเป็นไปได้ แต่ถ้าเธอเรียนรู้ทั้ง 2 อย่าง เธอจะไม่ประสบความสำเร็จด้านไหนเลย อาจารย์ไม่ได้จะให้เธอเรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างจริงจัง แค่ให้สามารถใช้มันเพิ่มพละกำลัง และความแข็งแกร่งของร่างกายได้ก็พอแล้ว เธอยังต้องฝึกฝนเวทย์มนต์เป็นหลัก”
“อ๋อครับ! อย่างนี้นี่เอง”
“มันมีประโยชน์มากมายจากที่ได้จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง อย่างเช่นการเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ เพิ่มความเข้าใจต่อเวทย์มนต์ของเธอผ่านการต่อสู้จริง ๆ มันให้ผลที่แตกต่างจากการประลองชี้แนะ อย่างไรก็ตาม การออกไปหาประสบการณ์นั้นค่อนข้างจะอันตราย เธอต้องพยายามพาตัวออกห่างจากอันตรายให้ได้มากที่สุด ในระหว่างที่เดินทาง อาจารย์อาจจะมอบหมายภารกิจที่ค่อนข้างยากให้เธอด้วย อย่างเช่นการค้นหาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน อาวุธที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้โดยพระเจ้าผู้สร้าง ‘ดาบศักดิ์สิทธิ์’”
“ดาบศักดิ์สิทธิ์? มันมีอยู่จริงเหรอครับ?”
“ใช่ แล้วก็อาจารย์พอจะรู้สถานที่ที่มันอยู่คร่าว ๆ ด้วย แต่ว่าเธอจะได้ครอบครองมันมาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับโชคของเธอด้วย เธอต้องหวังพึ่งมันมากเลยทีเดียวล่ะ ภายในดาบศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแห่งการสร้างหลงเหลืออยู่ มันจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากว่าเธอจะกลายเป็นมหาเมธีเวทย์ได้หรือไม่ เธอต้องทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ตอนที่มองหามัน”
มีของดีขนาดนั้นอยู่ด้วย? ไม่เลว ผมต้องพยายามตามหามัน “ไม่ต้องกังวลครับ ผมทำได้แน่”
“ตอนนี้ เหลือเวลาไม่นานแล้วก่อนที่เธอจะเรียนจบ ช่วงเวลาที่เหลือเธอต้องฝึกฝนให้เต็มที่ พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก มันจะทำให้เธอปลอดภัยในการเดินทางมากขึ้น หลังจากผ่านเดือนนี้ไป อาจารย์จะกลับไปเยี่ยมบ้านของเธอพร้อมกัน แล้วจะอธิบายให้พ่อกับแม่ของเธอฟังเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ หลังจากนั้นเธอจะเริ่มออกเดินทางได้เลย แผนการเบื้องต้นคือให้เวลาเธอ 2 ปีในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หลังจากนั้น ไม่ว่าเธอจะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ ต้องรีบกลับมา”
ผมพยักหน้า ดูเหมือนว่าผมจะสนุกมากไม่ได้ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้นสำคัญมาก ผมไม่ควรทำให้อาจารย์ตี้ผิดหวัง ผมต้องพยายามให้เต็มที่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ต้องการเป็นคนที่มีชื่อเสียง แต่ผมต้องการเป็นคนที่แข็งแกร่ง
ออกจากห้องทำงานของอาจารย์ตี้ ผมรีบกลับไปที่ตึกพักนักเรียนเพื่อตามหาหม่าเคอ ตอนนี้เขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม (เพราะเราทั้งคู่เลือกที่จะเรียนปี 2 ซ้ำ นอกจากเจ้าหัวเขียว ไม่มีใครที่ไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์ชั้นสูงได้ หลังจากที่ผมเป็นผู้ชนะเลิศในการประลองจบภาคการศึกษาตอนปี 2 เขาได้แรงบันดาลใจจากผม ไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญเหมือนเก่าอีก พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันได้ แต่แน่นอน พวกเราไม่ได้เลิกเรียกเขาว่าเจ้าหัวเขียว อ้อ! ผมน่าจะต้องเล่าให้ฟังอีกว่า พวกเรากลายเป็นเพื่อนกับไห่รื่อ 3 พี่น้องด้วย แล้วปีที่แล้วไหสุ่ยก็เป็นคนสุดท้ายใน 3 พี่น้องที่สอบเข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์หลวงได้)
ตอนนี้ หม่าเคอใกล้จะบรรลุระดับอาจารย์เวทย์แล้ว เหตุผลที่ผมตามหาเขา เป็นเพราะผมอยากจะชวนให้เขาออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปด้วยกัน ถ้ามีเขาอยู่ด้วย การทำภารกิจน่าจะง่ายขึ้นมาก เขาเรียกผมว่า ‘พี่ใหญ่’ มาตั้งหลายปี ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธผมแน่ ผมเดินไปที่ห้องของเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ