บทที่ 43 – 5 ปีแห่งการเรียนรู้
ตลอดการเดินทางที่เหลืออยู่มีแต่ความเงียบ ไม่มีความตื่นเต้นใด ๆ เหลืออยู่ ในที่สุดผมก็กำจัดความหวาดวิตกกังวล และความเศร้าเสียใจจากการฆ่าครั้งแรกออกไปได้ แม้ว่าผมไม่อยากจะฆ่าใคร แต่มันก็เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของตัวผมเอง ผมคงยืนอยู่เฉย ๆ ให้คนอื่นมาฆ่าผมไม่ได้ ผมคิดหาทางออกสำหรับอนาคตเอาไว้ ผมต้องป้องกัน และหลบหนีให้มากที่สุด อาจารย์ตี้เคยบอกผมว่า ทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิต มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะมาพรากชีวิตของพวกเขา หรือพวกมันไปง่าย ๆ ตราบใดที่ชีวิตของตัวเองปลอดภัย นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ดังนั้น ผมเลือกการหลบหนี เป็นเส้นทางหลักในการรักษาชีวิตตัวเอง คำสอนของอาจารย์ตี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผม ตลอดทั้งชีวิตจริง ๆ
ท้ายที่สุด ผมก็กลับถึงบ้าน ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ความรู้สึกที่คุ้นเคยลอยขึ้นมาแม้แต่จากทางเดิน ผมกลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว!
ผมสูดกลิ่นไอดินของบ้านเกิดตัวเองเข้าไปอย่างเต็มปอด ความรู้สึกอบอุ่น ความสุขที่แสนอบอุ่น ปกคลุมไปทั่วตัวผม อาจารย์ซิวเดินเป็นเพื่อนผมไปจนถึงประตูหน้าบ้าน อีกครั้ง! ผมได้เห็นรั้ว ได้เห็นบ้านที่คุ้นเคย
“แม่ แม่ครับ! ผมกลับมาบ้านแล้ว!” ผมตะโกนลั่น
“เจ้าเด็กโง่ พวกเขาน่าจะอยู่ที่ทำงาน” อาจารย์ซิวเตือนผม อา! ใช่แล้ว ตอนนี้ยังเป็นช่วงเช้าอยู่ พวกเขาน่าจะอยู่ที่ทำงานตลอดวัน ผมใช้การเคลื่อนย้ายระยะใกล้ย้ายตัวเองเข้าไปในบ้าน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ห้องของผมยังคงสะอาดสะอ้าน แม่คงเข้ามาทำความสะอาดบ่อย ๆ ผมเชิญอาจารย์ซิวเข้ามานั่งพักภายในบ้าน
“ในที่สุด ผมก็กลับมาถึง” ผมอยากเจอพ่อกับแม่มากตอนนี้ “อาจารย์ครับ รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหาแม่กับพ่อก่อน” หลังจากพูดจบ ผมรีบวิ่งไปทางที่ทำการหมู่บ้าน ที่ทำงานของแม่
พอผมไปถึงประตูของที่ทำการหมู่บ้าน ผมก็เห็นร่างที่คุ้นเคย “แม่---!!” ผมโถมเข้ากอดเธอ
แม่ยังไม่ได้หันกลับมา ผมเลยกอดเธอได้ถนัด “จางกง ลูกกลับมาแล้ว!” แม่หันมากอดผมไว้แน่น “มา! รีบมาให้แม่ดูหน่อย” แม่ประคองใบหน้าของผมไว้ ในขณะที่สายตาทำหน้าที่มองไปทั้งตัวผมอย่างละเอียด “จางกงของแม่ ลูกโตขึ้นเยอะมาก” น้ำตาของเธอไหลออกมา
ผมแยกจากแม่ไปเป็นเวลาค่อนข้างนาน หลังจากที่กลับมาพบกันอีกครั้ง ความรู้สึกผูกพันเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิม ผมจับชายเสื้อของแม่แน่นระหว่างที่เดินทักทายชาวบ้านบางคน เหมือนกลัวว่าจะต้องจากแม่ไปอีกครั้ง
หัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้ามาทัก “นักเรียนพรสวรรค์! กลับมาเยี่ยมบ้านแล้ว! เรียนในเมืองหลวงเป็นยังไงบ้าง?”
“ลุงผู้ใหญ่บ้าน สวัสดีครับ! มันก็..ค่อนข้างดีเลยครับ อ้าวเต๋อเป็นยังไงบ้าง? เขาไปไหนแล้ว?”
“เจ้าเด็กไร้ประโยชน์นั่นเหรอ! โรงเรียนเขาก็ปิดภาคการศึกษาแล้วเหมือนกัน ตอนนี้น่าจะออกไปเล่นสนุกอยู่”
ชาวบ้านดูจะอยากรู้ไปหมดทุกอย่าง ถามคำถามผมไม่หยุด ปกติผมชอบที่จะเป็นจุดสนใจของคนอื่น แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะตอบอะไรเลย หัวหน้าหมู่บ้านเลยให้แม่ของผมเลิกงานเร็วอย่างใจดี ผมกับแม่รีบกลับบ้านมาพร้อมกัน
หลังจากกลับมาถึงบ้าน พวกเราพบว่าพ่อของผมนั่งอยู่ในบ้านแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีบางคนไปบอกเขาว่าผมกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังคุยอยู่กับอาจารย์ซิว อารมณ์ดีใจไหลมาท่วมตัวผมอีกครั้งหลังจากที่ได้เจอพ่อ
พ่อกับแม่ถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโรงเรียนของผมอย่างไม่จบสิ้น ผมนำเงินรางวัล 80 เหรียญเพชรจากการแข่งขันออกมา แล้วมอบให้พวกเขา (ผมเหลือไว้ให้ตัวเอง 20 เหรียญ ฮิฮิ!) พ่อกับแม่ตกใจมาก แต่พอรู้ว่าผมได้มาอย่างถูกต้อง ด้วยความสามารถของผมเอง พวกเขาก็ดีใจมาก ผมว่านะ ด้วยเงินจำนวนนี้ พวกเขาไม่ต้องทำงานหนักเพื่อส่งผมเรียนโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวงอีกแล้ว
พ่อกับแม่ดูมีอายุมากขึ้นเล็กน้อย เทียบกับตอนก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ ผมรู้ดีว่านี่เป็นเพราะผม พวกเขาต้องหาเงินส่งให้ผมจำนวนไม่น้อย ผมไม่อยากให้พวกเขาทำงานหนักเกินไป ด้วยความรู้สึกนี้ ผมบอกพวกเขาว่าตอนนี้พลังเวทย์ของผมไม่ด้อยกว่าระดับนักเวทย์สูงสุดแล้ว ต่อไปในอนาคต ผมไม่ต้องให้พวกเขาจ่ายค่าเล่าเรียนให้แล้ว ผมจะหาด้วยความพยายามของผมเอง
วันหยุดของผมเริ่มต้นง่าย ๆ แบบนี้ นอกจากการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ผมออกไปเที่ยวเล่นกับอ้าวเต๋อ แล้วก็เด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ วันหยุดหมดลงในที่สุด ผมต้องกลับไปเรียนต่อที่เมืองหลวงแล้ว ถึงผมจะไม่อยากจากทุกคนไป แต่เพื่อที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความแข็งแกร่งของผมนั้นจำเป็นอย่างมาก อย่างน้อยต้องแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องพวกเขาได้ ผมต้องพัฒนาตัวเองต่อไป
อาจารย์ซิวไม่ได้เดินทางไปส่งผมในครั้งนี้ ผมรู้ทาง และแข็งแกร่งพอที่จะเดินทางเองได้แล้ว ผมบอกลาครอบครัวด้วยน้ำตาที่นองใบหน้า เริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวง
เวลา 5 ปีในโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวง เป็น 5 ปีที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในชีวิตผม (ตอนแรกมันควรจะเป็น 4 ปี แต่อาจารย์ตี้ต้องการให้พื้นฐานของผมแข็งแกร่งมากขึ้น ผมเลยต้องเรียนปี 2 ซ้ำ) ในช่วงเวลา 5 ปีนี้ ผมวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเวทย์มนต์ของผม ถึงมันยังจะมีระยะห่างอยู่ แต่ตอนที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 5 พลังเวทย์ของผมเริ่มเข้าใกล้ระดับของอาจารย์ตี้แล้ว เขาบอกผมว่า ตอนนี้ผมเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แม้แต่ในกลุ่มของเมธีเวทย์ ดวงเวทย์สีทองของผมเกือบจะกลายเป็นสีทองใสแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น เวทย์มนต์ และทักษะเวทย์มนต์ใหม่ ๆ ที่ผมสร้าง มันดูน่าประทับใจ แม้แต่ในความรู้สึกของอาจารย์ตี้ ไม่มีนักเรียนชั้นปีที่ 5 คนไหนกล้าท้าทายตำแหน่งตัวแทนนักเรียนประจำชั้นปีของผม ช่องว่างระหว่างผมกับหม่าเคอก็ยิ่งกว้างมากขึ้น ตอนนี้ผมถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทย์มนต์อันดับต้น ๆ ของทั้งโรงเรียนแล้ว
เรื่องอื่น ๆ ที่น่ากล่าวถึง ก็จะเป็นการที่เสี่ยวจินเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ตอนนี้มันอยู่ในช่วงเจริญวัยระยะสุดท้าย มันเกือบโตเต็มที่แล้ว รูปร่างของมันตอนนี้ โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับมังกร ด้วยตัวที่ยาวมากกว่า 15 เมตร พละกำลังของมันเหนือกว่าสัตว์เวทย์อื่น ๆ ทุกชนิดที่อาจารย์ตี้รู้จัก การโจมตีทางกายภาพของมันยิ่งพิเศษ มันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ สามารถทำลายเวทย์ป้องกันระดับกลางได้อย่างง่าย ๆ ถ้าผมกับเสี่ยวจินต้องสู้กัน ผมก็อาจจะเอาชนะมันไม่ได้ ด้วยความที่ผมกับเสี่ยจินแบ่งชีวิตกัน เวทย์มนต์ทุกชนิดที่ผมใช้ได้ เสี่ยวจินก็สามารถใช้ได้ ในทางกลับกัน เวทย์มังกรของเสี่ยวจิน ผมก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเราเหมือนก้าวกระโดด อาจารย์ตี้บอกว่า ถ้าผมกับเสี่ยวจินลงมือพร้อมกัน พวกเราสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของ เมธีเวทย์ได้
ตอนนี้ผมอายุครบ 16 ปีแล้ว ผมจะกลับไปที่บ้านปีละครั้ง ตอนที่พ่อกับแม่เห็นผมเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาดูมีความสุขมาก ด้วยเงินรางวัลที่ผมได้จากการเป็นผู้ชนะในการประลองแต่ละปี พ่อกับแม่ของผมมีชีวิตที่สุขสบายมากยิ่งขึ้น
“จางกง เธอจะจบการศึกษาเร็ว ๆ นี้แล้ว! เธอมีแผนอะไรมั้ย?” อาจารย์ตี้เรียกผมเข้าไปถามในห้องทำงานวันนี้
“เฮ้อ! ผมจะมีแผนอะไรได้ล่ะครับ? นอกจากแผนที่จะเรียนต่อในสถาบันเวทย์มนต์ระดับสูง” ด้วยความที่ผมเป็นตัวแทนนักเรียนของชั้นปีที่ 5 ทำให้ผมไม่ต้องสอบเข้า แต่ได้รับการรับรองให้เข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์หลวงได้เลย
“อาจารย์ว่าไม่ดี! อาจารย์ไม่อยากให้เธอทำแบบนั้น” อาจารย์ตี้พูดเสียงเบา เหมือนพึมพำกับตัวเอง
“อะไรนะครับ? อาจารย์พูดว่าอะไร? อาจารย์จะไม่ให้ผมเข้าเรียนในสถาบันเวทย์มนต์?” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ถูกแล้ว! เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้น มันจะเป็นการเดินเส้นทางเดียวกันกับอาจารย์ เธอรู้มั้ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น? ถึงแม้ว่าเธอจะแข็งแกร่งมาก แต่เธอจะไม่สามารถเหนือกว่าอาจารย์ได้” คำพูดที่แฝงความหมายอันลึกซึ้งของอาจารย์ตี้ ทำให้ผมตกใจมาก