ตอนที่ 7 ขอยืมเงิน
*วิชาการฝึกหายใจ แก้เป็น วิชาฝึกลมปราณ
[1] 1 จั้ง เท่ากับ 3.333 เมตร
เมื่อเวลาผ่านไป การหายไปของคนเก็บสมุนไพรก็เหมือนกับหินก้อนเล็กๆ ที่ตกลงไปในทะเลสาบ ทำให้เกิดระลอกคลื่นก่อนที่จะกลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล่าวถึงมันอีกต่อไป
ภูเขาเงียบสงบเช่นเคย
เสียงของบางสิ่งแหวกอากาศดังขึ้น ลูกธนูอันแหลมคมพุ่งออกไปโดนต้นไม้ใหญ่อย่างแม่นยำ
“ไม่ใช่เรื่องยาก!”
ห่างออกไปกว่าสิบกว่าจั้ง[1] เจียงหมิงกำลังถือธนูล่าสัตว์ด้วยสายตาที่สงบ
นับตั้งแต่ที่เขาตกลงที่จะเรียนวรยุทธกับอาจารย์โจวเมื่อวันก่อน อีกฝ่ายก็ไม่ได้กั๊กวิชาใดๆไว้เลย เมื่อพวกเขาดื่มด้วยกัน เขามักจะสอนการเตรียมตัวขั้นพื้นฐานบางอย่างที่เขาต้องทำก่อนที่จะเรียนรู้วรยุทธ
การเรียนรู้วรยุทธไม่ใช่การละเล่น หากพื้นฐานไม่ดีพอ ก็มีโอกาสพิการได้
อย่างแรกคือสมรรถภาพทางกายของเขา ร่างกายของเจียงหมิงอยู่ไกลเกินกว่าคนธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหา
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือวิชาการฝึกปราณ
หากวิธีฝึกฝนภายนอกเป็นเหมือนการยิงธนูด้วยพลังเพียงอย่างเดียว การฝึกลมปราณก็เหมือนกับการยิงธนูที่ควบคุมทิศทางลูกศรให้เข้าเป้า หากวิชาลมปราณไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ยากที่จะก้าวไปสู่เส้นทางแห่งวรยุทธ มันยังอาจทำร้ายร่างกาย
หากต้องการเรียนรู้วิธีการฝึกกำลังภายในของวิชาลมปราณ อันดับแรกคือการควบคุมการหายใจของตนเอง
การยิงธนูเป็นทักษะที่ต้องใช้การควบคุมลมหายใจในระดับสูง
เพื่อฝึกฝนการควบคุมลมหายใจของตัวเอง เจียงหมิงใช้เงิน 30 เหรียญทองแดงเพื่อซื้อธนูล่าสัตว์ เขาฝึกยิงธนูบนภูเขาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และความก้าวหน้าของเขาค่อนข้างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาสามารถยิงโดนต้นไม้ที่มีความหนาพอๆ กับมนุษย์ในระยะ10จั้งได้อย่างแม่นยำ เขายังห่างไกลจากการเป็นนักล่าที่มีประสบการณ์ แต่เขาก็เหนือกว่าคนทั่วไปไปแล้ว
“อาจเป็นเพราะข้าเป็นอมตะ ข้าเลยไม่รีบเร่ง เพราะข้าใจเย็น ข้าจึงก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว”
วิธีการฝึกฝนกำลังภายในนั้นสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสภาพจิตใจ การฝึกฝนวรยุทธเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอุตสาหะ และยิ่งคนใจร้อนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งล้มเหลวง่ายขึ้นเท่านั้น
ในตอนเย็น เจียงหมิงเขย่าไหล่ที่เจ็บของเขา หยิบธนูล่าสัตว์ขึ้นมา และกลับไปที่ถ้ำที่เขาอยู่
ในถ้ำสมุนไพรหายไปกว่าครึ่ง พวกมันเกือบทั้งหมดถูกขนลงมาจากภูเขาเป็นชุดๆ นอกเหนือจากการขายบางส่วนด้วยตัวเองแล้ว เขายังแบ่งบางส่วนให้อาจารย์โจวอย่างลับๆ
ท้ายที่สุดเขาต้องการเรียนวรยุทธจากอาจารย์โจว ดังนั้นเขาจึงต้องให้สิ่งตอบแทนแก่เขาบ้าง
เช้าวันต่อมา เมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวอย่างช้าๆและมีฝนตกโปรยปราย
ตามปกติ เจียงหมิงฝึกวิชาหมัดเสร็จก็ตั้งเตาขนาดเล็กที่ทางเข้าถ้ำ หม้อดินเผากำลังถูกตั้งอยู่บนกองไฟ และชาข้างในก็เดือดปุดๆ
เขานั่งลงบนพื้นอย่างไม่ตั้งใจเทชาให้ตัวเองและจิบอย่างช้าๆในขณะที่กินแป้งแห้งไปด้วย
ชีวิตนั้นยืนยาวและเราต้องรู้วิธีที่จะสนุกกับชีวิต
กระต่ายสีเทาตัวอ้วนกระโดดออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และวนรอบๆ เจียงหมิง
“ท่านฮุ่ย เจ้าพบสมุนไพรอีกแล้วหรือ? มันคืออะไร” เจียงหมิงดูมีความสุขและถามอย่างรวดเร็ว
กระต่ายสีเทาวิ่งเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็วและดึงรากสีเหลืองขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาจากกองสมุนไพร มันนำมันกลับมาหาเจียงหมิงด้วยอุ้งเท้าหน้าทั้งสองของมัน
"จริงเหรอ!? รีบพาข้าไปที่นั่นเร็วเข้า!” ดวงตาของ เจียงหมิงสว่างขึ้นและเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที
เพื่อฝึกท่านฮุ่ยให้ค้นหาสมุนไพร เจียงหมิงไม่ลังเลเลยที่จะใช้เงินหลายร้อยเหรียญทองแดงเพื่อซื้อสมุนไพรล้ำค่าทุกชนิด
รากสีเหลืองนี้เป็นหนึ่งในสมุนไพรชั้นนำ ถ้าเขาหาพบจะต้องได้รับเงินมหาศาล
ในไม่ช้ามนุษย์และกระต่ายก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของป่า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในป่าทึบที่ไม่มีแสงแดดลอดผ่านตลอดทั้งปี เจียงหมิงถือรากสีทองที่ดูคล้ายกับหนอนและโสมผสมกันด้วยสีหน้ามีความสุข
“โสมหนอนทองคำ ต้น 1 ขายได้ 500 เหรียญทองแดง!”
นอกจากนี้ ตราบเท่าที่พบโสมทองคำหนึ่งอัน จะต้องมีมันเยอะกว่านี้อยู่ใกล้ๆ
“ท่านฮุ่ยเจาเก่งมาก คราวหน้าถ้าข้ามีของกิน ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหิวอย่างแน่นอน!”
ท่านฮุยกระโดดขึ้นและลง จากนั้นมันก็วิ่งลึกเข้าไปในป่าทึบ
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน” ก่อนที่เสียงของ เจียงหมิงจะจบลง เสียงคำรามก็ดังมาจากป่าทึบ
“โฮ๊กกกกก!”
หลังจากนั้นก็มีเสียงตระหนกและวุ่นวายดังขึ้น!
“เวรเอ้ย!”
เมื่อ เจียงหมิงมาถึงที่เกิดเหตุ เขาเห็นเพียงแมวป่าที่มีขนพันยุ่งกำลังกัดคอของ ท่านฮุ่ย
เจียงหมิงรีบพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับขวานและแทงฆาตกรที่ทำร้ายท่านฮุ่ย แต่น่าเสียดายที่เขาทำได้เพียงช่วยร่างของท่านฮุ่ยที่มีสภาพร่อแร่ไว้เท่านั้น
“ท่านฮุ่ย ข้าประมาทเกินไป” เจียงหมิงถอนหายใจและขุดหลุมเพื่อฝังมัน
เจียงหมิงได้เตรียมพร้อมสำหรับการเสียสละของท่านฮุ่ยไว้แล้ว ท้ายที่สุด ป่าก็อันตรายและคาดเดาไม่ได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้
“ท่านฮุ่ย หากไม่มีเจ้า ข้าไม่ต้องการเก็บสมุนไพรอีกต่อไป” เจียงหมิงถอนหายใจและตัดสินใจหยุดอยู่บ้านสักสองสามวันเพื่อแสดงความเคารพ
แน่นอนว่ามีเหตุผลอื่น เจียงหมิงต้องซื้อสมุนไพรเพื่อกลั่นของเหลวสีแดงที่คุ้นเคยอีกครั้ง หลังจากเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ได้รับบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เขาก็ไม่สามารถกลับไปใช้วิธีรวบรวมสมุนไพรตามปกติได้
เมืองผิงอันยังคงเป็นเหมือนเดิม คนเก็บสมุนไพรไม่กี่คนที่หายไปดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญ แม้แต่หัวข้อที่คุยกันก็ไม่ได้พูดถึงพวกเขาอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เจียงหมิงพบว่ามีสายตาที่ครุมเครือกำลังจ้องมองมาที่เขาเสมอ
ในโรงเตี๊ยม เจียงหมิงและอาจารย์โจวนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ครั้งนี้พวกเขาสั่งเหล้าโสมเก่าที่มีราคาแพงกว่าและอาหารอีกสองจาน
ด้วยจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นในกระเป๋าของเขา มาตรฐานการครองชีพของเจียงหมิงก็ดีขึ้นมากเช่นกัน แม้แต่เครื่องมือเช่น ขวานกับพลั่ว ก็ถูกแทนที่ด้วยของใหม่
“เสี่ยวหมิง เจ้ายังจำเฒ่าหลู่ได้ไหม” อาจารย์โจวถามขณะเคี้ยวถั่วลิสง
เจียงหมิงพูดอย่างใจเย็น“ทำไม เขาตายแล้วหรือ?”
อาจารย์โจวตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้นมอง เจียงหมิงราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคนเก็บสมุนไพรอายุน้อยคนนี้
เขาหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัว “ไม่ เขายังไม่ตาย มีคนดึงลิ้นเขาไป และเงินทั้งหมดก็ถูกขโมย ตอนนี้เขาร้องไห้ทุกวันเหมือนคนบ้า เจ้าได้ขายสมุนไพรจำนวนมากในช่วงนี้ และหลายคนได้เห็นมันแล้ว!” อาจารย์โจวสั่งอาหารสองสามอย่างมาที่โต๊ะและพูดอย่างมีความหมาย
เจียงหมิงยิ้มและไม่ได้จริงจังกับมัน “ข้าไม่ได้ขายมากขนาดนั้น คนเหล่านั้นจะไม่ทำผิดกฎสำหรับเงินเพียงเล็กน้อยเช่นนี้”
อาจารย์โจวขมวดคิ้ว “แน่นอน ลุงปาและเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่สนใจ แต่ก็ยังมีพวกนักเลงอีกมากมายในเมืองนี้”
“อาจารย์โจว!” เจียงหมิงกระดกเหล้าของเขาทั้งหมดในอึกเดียวและสูดหายใจเข้ายาว ๆ “ชีวิตไม่ได้มีแค่ทางเดียว ข้ามีวิธีของข้าเอง หากข้าเก็บเงินได้มากพอ ข้าจะขอเรียนวรยุทธกับท่าน”
อาจารย์โจวตกตะลึง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก เขาแค่คิดว่า เจียงหมิงยังเด็กและไม่สำคัญ บางทีเขาอาจจะต้องทุกข์ทรมานขึ้นอีกเล็กน้อยและขอบกับมุมของเขาจะถูกเจียร
เจียงหมิงยังไม่ได้พูดอะไรมาก มันไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเพียงผลลัพธ์เท่านั้นที่จะทำให้คนเชื่อได้
ดื่มในตอนเช้า เดินเล่นรอบ ๆ ในตอนบ่าย ซื้อใบชา ข้าว และบะหมี่ แล้วกลับบ้าน ชีวิตที่ของมนุษย์ธรรมดาช่างสงบและน่าสนใจ
“เหอะ รีบร้อนจริงเชียว” ก้าวของเจียงหมิงช้าลงอย่างกะทันหัน
นี่เป็นถนนลูกรังแคบๆ ในทุ่ง ปกติแทบไม่มีคนเดินเลย แต่วันนี้กลับมีชายสองคนมาขวางทาง
เขาหันศีรษะไปและเห็นชายหนุ่มอีกสองสามคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอยู่ข้างหลังเขา พวกเขาหลีกเลี่ยงการสบตา แต่พวกเขาก็เข้าใกล้เขาทีละก้าว
“อาหมิง ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าโชคดี!”
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่ง เขากำลังโบกขวานขณะที่เขาเดินเข้าหาเจียงหมิงอย่างช้าๆ
“ช่วงนี้พี่น้องค่อนข้างขาดแคลน เรามาที่นี่พื่อขอยืมเงินของเจ้า”