ระบบยอดอาจารย์บ่มเพาะศิษย์ ตอนที่ 14 โรงอาหารในนิกาย
เซวียนห่าวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
หนึ่งคืนผ่านไป เขาเพียงแค่นั่งสมาธิอย่างเงียบ ๆ และบ่มเพาะ แม้ว่าระบบจะช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป
การบ่มเพาะส่วนใหญ่เกี่ยวกับการดูดซับและปรับแต่งพลังสวรรค์และโลก พลังเหล่านี้เรียกว่าฉี เมื่อเจ้าซึมดูดซับและปรับแต่งพลังปราณมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดของขอบเขตรวมปราณ
ในการก้าวข้ามและไปถึงขอบเขตก่อตั้งรากฐาน เจ้าจะต้องใช้พลังปราณที่เจ้ารวบรวมไว้ในจุดตันเถียนเพื่อสร้างเสาพลังปราณที่ควบแน่นภายในจุดตันเถียนของเจ้า จากที่นี่ เจ้ายังต้องควบแน่นเสานั่นต่อไปจนกระทั่งรวมเสาทั้งหมดเก้าในจุดตันเถียนของเจ้าได้ เมื่อถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อตั้งรากฐาน
ขั้นถัดไปก็คือขอบเขตควบแน่นแก่นแท้ เจ้าจะต้องสร้างแก่นแท้ทองคำภายในร่างกายของเจ้า ในการเข้าถึงขอบเขตนี้ ก่อนอื่นเจ้าจะต้องมีรากฐานที่มั่นคงเสียก่อนจึงจะสามารถสร้างแก่นแท้ทองคำในร่างกายของเจ้าได้
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถไปถึงขอบเขตวิญญาณก่อกำเนิดได้เลย การจะไปถึงขอบเขตนี้ได้ เจ้าจะต้องเสริมสร้างสัมผัสเทวะของเจ้าเอง ก่อนที่จะทำลายแก่นแท้ทองคำและสร้างวิญญาณก่อกำเนิด
สัมผัสเทวะของเซวียนห่าวเพิ่งขยายตัวเมื่อวานนี้และวิญญาณก่อกำเนิดของเขาก็แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน
สัมผัสเทวะนั้นไม่ได้เป็นเพียงความสามารถในการมองเห็นและได้ยินทุกสรรพสิ่งภายในรัศมีโดยกว่าง แต่ยังทำให้ผู้ฝึกตนสามารถควบคุมพลังสวรรค์และโลกได้
ว่ากันว่า ผู้ที่ไปถึงขอบเขตราชันสามารถควบคุมพลังสวรรค์และโลกได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาสามารถทำลายอาณาจักรอย่างอาณาจักรนภาสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
นั่นคือเหตุผลที่บางคนเรียกขอบเขตราชันว่าขอบเขตทำลายล่างแทนที่จะเป็นขอบเขตราชัน
สำหรับขอบเขตจักรพรรดิ เซวียนห่าวไม่มีความรู้อะไรที่เกี่ยวกับการก้าวไปสู่ขอบเขตนั้นในตอนนี้
“อาจารย์ เราจะเริ่มการฝึกกันเมื่อไหร่”
ขณะที่เซวียนห่าวกำลังจะเริ่มบ่มเพาะอีกครั้งเหมือนที่เขาเคยทำ เสียงก็ดังมาจากนอกห้องของเขา
“เราจะเริ่มกันหลังอาหารเช้า ไปพบข้าที่หน้าตำหนักหลังจากเจ้ากลับมาจากโรงอาหาร”
ชิงอี้เพิ่งลุกจากเตียงก่อนจะรีบไปที่หน้าห้องอาจารย์ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เริ่มการฝึก นางลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้นางหิวมากเพียงใด
“ค่ะ ท่านอาจารย์”
นางทำตามสิ่งที่อาจารย์ของนางพูด ชิงอี้รีบออกจากตำหนักของอาจารย์และมุ่งหน้าออกจากยอดเขาเข้าสู่เส้นทางหลักที่จะผ่านนิกาย
เส้นทางนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เพียงแค่สร้างจากหินธรรมดาที่สามารถพบได้ทุกที่
ชิงอี้คาดหวังอย่างแท้จริงว่านิกายกระบี่ล่องนภาจะดูยิ่งใหญ่กว่าที่เห็น ถนนหินเรียบ ๆ ตำหนักง่าย ๆ สำหรับศิษย์ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียวในนิกายคือตำหนักผู้อาวุโสและโถงรวม
เช่นโรงอาหารขนาดใหญ่ที่ปรากฏต่อหน้าชิงอี้ ขณะที่นางอ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัวต่ออาคารขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านาง
“เจ้ามาโรงอาหารครั้งแรกหรือ?”
“อึก !”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังชิงอี้ ทำให้นางประหลาดใจขณะที่นางร้องออกมาเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าประหลาดใจ ข้าชื่อซื่อฮั่น เจิ้งซื่อหาน เป็นศิษย์นิกายกระบี่ล่องนภาเช่นเดียวกับเจ้า ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังตกตะลึงอยู่หน้าโรงอาหาร ข้าจึงคิดว่าเจ้าก็คือหนึ่งในศิษย์ใหม่ พวกเขาส่วนใหญ่จบลงด้วยการตกตะลึงเมื่อพวกเขาเห็นโรงอาหารเป็นครั้งแรก”
เมื่อพูดเช่นนั้น หญิงสาวก็ชี้ไปที่ด้านข้างของชิงอี้ซึ่งมีศิษย์กลุ่มหนึ่งอ้าปากค้างและมองโรงอาหารขนาดใหญ่นี้ด้วยความเคารพ”
“ว่าแต่ เจ้ามีใครไปทานข้าวด้วยหรือยัง เจ้าอยากไปทานข้าวกับข้าไหม”
หญิงสาวเจิ้งซื่อฮั่นถามอย่างใจดีพร้อมกับยิ้มและรอให้ชิงอี้ตอบ
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้ายังไม่รู้จักใครที่นี่เลยสักคน…”
ชิงอี้ครุ่นคิดอยู่ว่าจะตกลงหรือไม่ ชิงอี้ตัดสินใจว่านางควรหาเพื่อนคุยบ้าง
เมื่ออยู่ที่บ้านของนาง นางมักจะเก็บตัวอยู่กับตัวเองและใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการฝึกตน เรื่องที่จะหาเพื่อนนั้นไม่มีอยู่ในสมองของนางเลยมันทำให้นางไม่มีเพื่อนเลยแม้จะอายุสิบห้าปี
เจิ้งซื่อฮั่นมีความสุขเช่นกันที่นางสามารถหาเพื่อนได้อย่างง่ายดาย นางค่อนข้างประหม่าอยู่ในใจเพราะนางพยายามคุยกับผู้หญิงคนอื่น ๆ จากนิกาย แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
ความสำเร็จมาในเวลาที่ไม่คาดฝันอย่างแท้จริง เจิ้งซื่อฮั่นเริ่มพูดคุยกับชิงอี้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนิกายและแสดงให้ชิงอี้เห็นถึงวิธีรับอาหารจากผู้อวุโสบ้า ๆ บอ ๆ ที่อยู่ในโรงอาหาร
แม้ผู้อาวุโสที่ดูแลโรงอาหารจะไม่พอใจ พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ศิษย์อยู่นอกการดูแลได้เนื่องจากบางคนอายุเพียงสิบสองปีหรือย้อยกว่านั้น
งานช่วยงานในโรงอาหารค่อย ๆ พัฒนาไปตามกาลเวลา จากผู้อาวุโสที่คอยดูแลสาวก ไปจนถึงการถูกบังคับให้ช่วยงานในครัว
เจิ้งซื่อฮั่นเล่าถึงผู้อาวุโสบางคนที่ในอดีตที่เคยพยายามสั่งอาหารไปที่ตำหนัก แต่สุดท้าย ผู้อาวุโสผู้นี้ก็ยังส่งอาหารที่ผิดมาที่ตำหนักของพวกเขา ตั้งแต่การเปลี่ยนจากเนื้อดี ๆ เป็นแครอทหนึ่งแท่งไปจนถึงการลืมรายการอาหารที่สั่งไปหรือทำหายระหว่างทางไปครัว
ชิงอี้หัวเราะอย่างชอบใจและได้เรียนรู้ว่ามีเพียงผู้อาวุโสหลักอย่างอาจารย์ของนางเท่านั้นที่สามารถรับคนรับใช้ในครัวส่วนตัวได้ ตำหนักผู้อาวุโสฝ่ายในและฝ่ายนอกเล็กเกินไปที่จะเลี้ยงคนรับใช้ในครัว, คนรับใช้ทำความสะอาด, ศิษย์และอื่น ๆ ผู้อาวุโสสามารถขยายตำหนักของพวกเขาได้ แต่นั่นก็แพงเกินไปสำหรับพวกเขาส่วนใหญ่
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และพวกนางสัญญาว่าจะพบกันอีกในอนาคต เจิ้งซื่อฮั่นและชิงเอ๋อก็เดินออกจากโรงอาหาร