บทที่ 38 – โลกต้องห้าม
“บอกฉันเร็ว! ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“มันเป็นอย่างนี้ วันนี้ พวกเราทั้งหมดต่างคิดว่าหว่อเค้อต้องชนะแน่ ๆ แต่ว่า ตอนที่พวกเขาทั้งคู่อยู่บนเวที เด็กผู้หญิงจากห้อง D นั่นใช้เวทย์น้ำที่พวกเราไม่รู้จักออกมา มันน่าจะเป็นเวทย์ผนึก เป็นวงกลมสีน้ำเงินจับหว่อเค้อเอาไว้ข้างใน ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถออกมาได้ หลังจากนั้นเด็กนั่นใช้กระสุนน้ำส่งเขาลงจากเวทีแบบง่าย ๆ ตามที่ฉันสังเกตดู วงแหวนสีน้ำเงินนั่นน่าจะห้ามไม่ให้หว่อเค้อใช้พลังเวทย์ได้ มันดูไม่ยุติธรรมเลยที่เขาแพ้”
“อือ! ไม่ยุติธรรม” ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมจะเอาชนะได้
“จางกง พรุ่งนี้นายจะแพ้ไม่ได้ ห้อง A ของพวกเราปล่อยให้ห้อง D เป็นผู้ชนะเลิศไม่ได้”
“พวกนายวางใจ ฉันชนะได้แน่”
ถึงแม้ผมจะพูดไปอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจว่าผมจะทำได้ ไม่! ผมต้องรีบไปปรึกษาอาจารย์ตี้
ผมหาข้ออ้างก่อนที่จะหลบออกมาก่อนที่จะตรงไปยังบ้านพักของอาจารย์ตี้ เขานั่งอ่านหนังสือเวทย์มนต์อยู่ พอเห็นผมมาหา เขาเผยยิ้มบาง ๆ “อาจารย์รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องมาหาอาจารย์ หลังจากที่ได้ยินว่าหว่อเค้อแพ้”
“ถ้าอย่างนั้นรีบบอกผมเลยครับว่า หว่อเค้อแพ้ได้ยังไง? แล้วผมจะใช้วิธีไหน ผมจะหลบไม่ให้ถูกจับได้ยังไง?”
อาจารย์ตี้ถอนหายใจ “พรุ่งนี้ เธอควรจะยอมรับความพ่ายแพ้!” คำพูดของเขาเหมือนโยนระเบิดใส่ผม (โลกนี้มันมีระเบิดอยู่มั้ย?) ทำให้ผมตะลึง
“เด็กคนนั้น แข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเธอ แต่เป็นความแข็งแกร่งของตระกูลของเธอ อาจารย์ก็เพิ่งรู้วันนี้เอง เด็กคนนี้ก็เป็นน้องสาวของไห่รื่อด้วย ชื่อว่าซิงไหสุ่ย เธออาจจะไม่รู้ แต่ตระกูลรื่อ ตระกูลเย่ว และตระกูลซิง เป็น 3 ตระกูลโบราณในอาณาจักรอ้าวเซี่ยของเรา แต่ละตระกูลจะมีเวทย์สืบทอด ที่สืบทอดโดยตรงจากบรรพบุรุษของพวกเขา เวทย์ที่ไหสุ่ยใช้วันนี้ เป็นเวทย์ที่ลึกลับที่สุดของตระกูลซิง มันเรียกว่า ‘โลกต้องห้าม’ เป็นเวทย์ผนึกที่แปลกประหลาด แต่ละรุ่นของตระกูลจะมีเพียงสมาชิกของตระกูลคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดมันได้ ไม่ว่าพลังเวทย์ของเธอจะมากสักแค่ไหน เวทย์นี้จะใช้พลังเวทย์ออกไป 1 ใน 3 ของพลังเวทย์ทั้งหมด พูดอีกอย่าง เวทย์นี้สามารถใช้ได้วันล่ะ 3 ครั้ง แต่มันก็พอแล้วสำหรับการแข่งขัน”
โอ้! แสดงว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันซับซ้อนมากสินะ “อย่าบอกผมนะครับว่า แม้แต่อาจารย์ก็ทำลายเวทย์ผนึกนี้ไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าอาจารย์จะทำลายไม่ได้ แต่อาจารย์ต้องทุ่มพลังโจมตีโดยใช้เวทย์ระดับ 8 หรือพยายามหนีออกมาโดยใช้เวทย์ป้องกัน เธอใช้เวทย์ระดับ 8 ได้หรือยังไง? ตอนที่ผนึกคู่ต่อสู้แล้ว ก็แค่ใช้เวทย์จู่โจมอะไรก็ได้ คนที่โดนผนึกต้องทนรับการโจมตีไป พรุ่งนี้เธอจะไม่ชนะ ยกเว้นว่าเธอสามารถทนการโจมตีได้นานพอที่จะทำให้พลังเวทย์ของคู่ต่อสู้หมด อย่างไงก็ดี มันค่อนข้างเป็นไปได้ยากมาก เพราะว่าเวทย์ป้องกันจะใช้พลังเวทย์สูงมาก ตอนที่อยู่ในโลกต้องห้าม คนที่ถูกผนึกโดยโลกต้องห้ามจะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ทั้งวัน ตอนนี้อาจารย์ลดเป้าหมายของเธอลงให้ เธอไม่ต้องคิดที่จะเอาชนะ ไม่เฉพาะแต่เธอหรอก ไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียวในโรงเรียนนี้ ที่จะสามารถทำลายเวทย์โลกต้องห้ามได้”
กลับออกมาจากบ้านพักของอาจารย์ตี้ ในหัวของผมมีแต่ความคิดเกี่ยวกับเวทย์โลกต้องห้าม ใครจะสน! พรุ่งนี้ผมจะลองดูถึงแม้ดูเหมือนว่าผมถูกกำหนดว่าต้องแพ้ แต่คุณไม่รู้หรอก ปาฏิหาริย์อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
ภายในห้องพักของผม ผมใช้เวลาครึ่งคืนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยังหาวิธีที่ดีที่จะจัดการกับโลกต้องห้ามไม่ได้ ท้ายที่สุด ผมหลับลงไปแบบตาค้าง... ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า อีกอย่าง.. เจ้าหัวเขียวกำลังเขย่าตัวเพื่อปลุกผมอยู่
“จางกง ตื่นได้แล้ว จะได้เวลาประลองแล้ว!”
ผมพยายามที่จะลืมตาขึ้น “นายทำอะไร? ฉันจะนอนอีกหน่อย”
“การประลองของนายกำลังจะเริ่มแล้ว นายจะไปสายถ้านายไม่รีบตื่น” เจ้าหัวเขียวตะโกนใส่หูผม
นั่นทำให้ผมตื่นด้วยความตกใจ “อา! ใช่แล้ว วันนี้ฉันต้องลงประลอง” ผมกระโดดลงจากเตียง แต่งตัว แล้วรีบวิ่งออกไป ผมพูดขณะกำลังวิ่งอยู่ “ขอบคุณนายมาก ฉันรีบไปก่อนแล้ว”
เจ้าหัวเขียวไม่ได้สนใจที่จะมองผมที่กำลังวิ่งออกไป แต่เริ่มพึมพำอยู่กับตัวเอง “เขาถึงกับขอบคุณฉันจริง ๆ ตั้งแต่โตมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาบอกขอบคุณฉัน ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือคนอื่นนี่มันเป็นเรื่องดีจริง ๆ” เมื่อพึมพำจบ เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมไม่ได้รับรู้เลยว่าประโยคที่ผมพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก จะสามารถเปลี่ยนชีวิตคน ๆ หนึ่งไปทั้งชีวิต
ผมวิ่งด้วยความเร็วปานสายฟ้า เข้าไปที่กลางสนามประลอง 2 คนแรกที่ผมเจอคือ อันหลงเต๋อ กับหมิงสุ่ยหยาง ทั้งคู่ดูเหมือนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่ได้เห็นผม พวกเขารีบเข้ามาทักทายผม “จางกง ทำไมนายถึงเพิ่งมา”
ผมกระซิบ “ฉันตื่นสาย ต้องขอบใจเจ้าหัวเขียวที่ปลุกฉัน”
“ตกลง ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว รีบขึ้นไปบนเวทีได้แล้ว การประลองจะเริ่มแล้ว”
ผมมองขึ้นไปบนเวที อาจารย์ผู้ตัดสินและคู่ต่อสู้ยืนอยู่ตามตำแหน่งของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ผมเคลื่อนย้ายตัวเองขึ้นไปบนเวที ทักทายอาจารย์ผู้ตัดสิน ก่อนที่จะเริ่มมองไปที่คู่ต่อสู้
เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง น่าจะเป็นซิงไหสุ่ยคนนั้น รูปร่างหน้าตาของเธอค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันกับไห่เย่ว แต่เหมือนว่าเธอจะดูน่ารักกว่า และไม่ค่อยเย็นชาเหมือนพี่สาว เธอมองกลับมาที่ผมอย่างสนใจ ตอนที่รับรู้ได้ว่าผมดูเธออยู่
นักเรียนเกือบทั้งหมดของชั้นปีที่ 2 มารวมกันอยู่ที่นี่ แม้แต่อาจารย์ตี้ก็นั่งอยู่บนส่วนของที่นั่งหลัก ถึงเขาจะไม่ได้หวังว่าผมจะชนะ แต่เขาก็ยังมาดู
“เอาล่ะ ในเมื่อผู้เข้าร่วมการประลองทั้งคู่มาพร้อมแล้ว อาจารย์ขอประกาศเริ่มการประลอง” หลังจากประกาศเสร็จอาจารย์ผู้ตัดสินรีบลงจากเวทีไป เพราะพวกเขารู้ว่าคู่ชิงชนะเลิศนี้ทรงพลังอย่างมาก วันนี้กำแพงป้องกันเวทย์มนต์ ใช้อาจารย์ถึง 5 คนเป็นผู้ดูแล เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เริ่มด้วยการที่ผม และไหสุ่ยโค้งคำนับอาจารย์ผู้ตัดสิน และผู้ชมรอบ ๆ “สวัสดี เธอคือไหสุ่ยใช่มั้ย ฉันชื่อเว่ยจางกง”
“สวัสดี” เธอยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าเธอเริ่มแดง ดูจากความผันผวนของพลังเวทย์ของเธอ และระยะห่างระหว่างเรา ผมน่าจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มเข้าโจมตีก่อน
“ฉันรู้ว่าเธอมีเวทย์ที่พิเศษมาก! ขอให้วันนี้เป็นการประลองที่ดี” เห็นเธอพยักหน้า ผมเริ่มร่ายเวทย์โจมตี
ผมรู้ดีว่าเวทย์โลกต้องห้ามของเธอ ไม่ต้องการระยะเวลาร่ายเวทย์นานนัก ผมเลยไม่กล้าใช้เวทย์โจมตีระดับสูงที่ต้องใช้เวลาร่าย ผมเคลื่อนย้ายไปข้างหลังเธอก่อนที่จะซัดธนูแสงเข้าใส่ (ธนูแสงของผม เพิ่มพลังมาแล้ว ตอนนี้พลังโจมตีของมันไม่ด้อยกว่าเวทย์ระดับกลาง)
เหมือนว่าเธอจะตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ยังไวพอที่จะร่ายเวทย์โล่น้ำขึ้นมาป้องกันการโจมตีของผม ตอนนี้ผมไม่สามารถเปิดโอกาสให้เธอร่ายเวทย์ได้ ไม่อย่างนั้นผมจบแน่ ผมเริ่มโจมตีอย่างรวดเร็ว ใช้เพียงแค่เวทย์โจมตีระดับต่ำอย่างธนูแสง เนื่องจากมันเป็นเวทย์เดียวที่ชนะโลกต้องห้ามในด้านความเร็วของการร่ายเวทย์ ผมไม่ยอมให้เธอรวบรวมพลังเวทย์ได้มากพอจนสามารถผนึกผมได้หรอก
ผู้ชมรอบ ๆ เวทีเพียงแค่เห็นเคลื่อนที่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว บางครั้งอยู่ข้างหน้า บางครั้งอยู่ข้างหลัง เดี๋ยวไปซ้าย แล้วมาโผล่ที่ด้านขวาของเธอ ทุกครั้งที่ผมปรากฏตัวออกมา ผมจะส่งธนูเวทย์เข้าโจมตีไหสุ่ย ในช่วงเริ่มต้นนี้ผมทำให้เธอจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างยากลำบาก บนส่วนที่นั่งหลัก อาจารย์ตี้นั่งมองผมอยู่ด้วยสายตาชื่นชม น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เห็นมัน