บทที่ 37 - เอาชนะหม่าเคอ
ดูเหมือนว่าคทาเวทย์ของเขาจะสามารถเพิ่มพลังของเวทย์มนต์ได้สูงมาก ผมสามารถบอกได้เพราะผมรู้ระดับของเขาตอนนี้ เขาไม่มีทางที่จะปล่อยลูกบอลพลังบริสุทธิ์ได้ มันต้องใช้พลังเวทย์สูงมาก แม้แต่ผมก็ทำไม่ได้
หลังจากลูกบอลเวทย์ของหม่าเคอปรากฎขึ้น มังกรไฟของเขาก็เริ่มหม่นลง เหมือนกับว่าการจะคงสภาพมันไว้ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ผมใช้ประโยชน์จากแรงกดดันที่ลดลง รีบร่ายคาถา ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘อาณาจักรพิสุทธิ์’ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะสามารถหยุดลูกบอลเวทย์ได้หรือไม่ ที่จริง ผมก็อยากใช้ลูกบอลเวทย์เหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าการควบคุมเวทย์มนต์ของผมสู้หม่าเคอไม่ได้ เขาน่าจะยิงโดนผมแน่ ๆ แต่ผมไม่แน่ว่าจะโจมตีถูกเขา ดังนั้นเวทย์วงกว้างเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดอนุญาตให้ผมขอยืมความแข็งแกร่งอันไร้ที่เปรียบของท่าน ทำให้แสงอันไร้สิ้นสุดบนโลกนี้ส่องแสงขึ้น!”
ในขณะที่ถูกปกคลุมไปทั้งตัวด้วยแสงสว่างสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นเวที เสื้อคลุมเวทย์ของผมสะบัดไปด้านหลัง หินเวทย์สีทองบนหน้าอกของผมเปล่งแสงสีทอง ช่วยเสริมให้แสงสีขาวยิ่งดูสว่างสุกใสมากขึ้นไปอีก ผมเงยหน้าขึ้น จุดสะสมพลังของผมปล่อยพลัง 1 ใน 3 ส่วนออกมาปกคลุมทั่วร่างกายผม แต่ที่ต่างไปจากครั้งก่อนก็คือ ผมใช้พลังอีก 1 ใน 3 ส่วนเพื่อควบคุมเวทย์นี้ เพราะผมรู้ว่าลูกบอลเวทย์ของหม่าเคอไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรพิสุทธิ์เลยไม่ว่าจะในจุดไหน ผมใช้พลังที่เหลือเกือบทั้งหมดเพื่อทำให้เวทย์อาณาจักรพิสุทธิ์ของผมรวมตัวกันตรงกลาง สร้างเป็นเสาขนาดใหญ่เพื่อที่จะโจมตีหม่าเคอ
“อา!! พี่ใหญ่ ถือว่าพี่โหด! ผมคงต้องทุ่มสุดตัวแล้ว” หม่าเคอวาดมือ ลูกบอลพลังงานจากปลายคทาเวทย์ลอยเข้าหาเสาที่สร้างมาจากแสงของผม
ไม่เป็นไปตามที่ผมคาดหวังไว้ เพราะพลังของเวทย์อาณาจักรพิสุทธิ์กระจายตัวมากเกินไป มันไม่สามารถหยุดบอลพลังงานได้ แค่ทำให้มันช้าลง
ผมขยับไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ตามด้วยการใช้พลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างกายสร้างโล่ผลึกเวทย์ขึ้นมา ลูกบอลพลังงานไฟถึงตัวผมแล้วทำให้โล่ของผมแตกกระจาย นี่เป็นครั้งแรกที่โล่ของผมพังตั้งแต่ผมสร้างโล่ผลึกแสงขึ้นมา
ผมรู้สึกเหมือนถูกเผาไปตลอดทั้งตัว ผมรู้ตัวว่าผมจบแล้ว ผมโดนโจมตีด้วยลูกบอลพลังงาน ในชั่วขณะที่เหมือนด้ายที่แขวนด้วยลูกตุ้มขนาด 1 ตันกำลังจะขาด การเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชุดคลุมเวทย์ของผม พูดให้ถูก หินเวทย์มนต์บนเสื้อคลุมเวทย์ของผม มันระเบิดแสงสีทองสุกสว่างออกมา มันสร้างชั้นบางใสออกมาคลุมไปทั่วร่างกายของผม ปกป้องผมจากบอลพลังงานนั่น
ผมรีบส่งพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างกายผมเข้าไปที่หินเวทย์มนต์บนหน้าอกทันที
การปะทะกันของบอลพลังงานกับชั้นการป้องกันของผมทำให้เกิดการสะเทือนอย่างรุนแรง มันมีคลื่น และคลื่นของแรงกดดันส่งผมถอยไปข้างหลัง ทีละก้าว ทีละก้าว จนผมถึงขอบของเวที
ผมถอยต่อไม่ได้แล้ว
ผมแพ้ไม่ได้ ผมไม่ยอมแพ้ ผมถือคทาเวทย์ขวางหน้าอกของตัวเองไว้ ร้องตะโกนออกมาก “ย๊าก!!!!”
เวลาเดียวกันนั้น พลังอันอบอุ่นไหลออกมาจากร่างกายผม ไหลผ่านแขนของผมเข้าไปสู่คทาเวทย์ ผมรู้สึกตัวเบาขึ้น ไม่มีแรงกดดันส่งเข้ามาอีก บอลพลังงานหายไปแล้ว
ผมทรุดลงนั่งกับพื้น ไล่คว้าอากาศเข้าปาก สูดลมหายใจจนเต็มปอด ที่มุมปากของผมมีเลือดซึมออกมาเป็นสาย ตอนนี้เอง พลังงานที่อบอุ่นบางส่วนเริ่มไหลไปทั่วร่าง และเริ่มฟื้นฟูเส้นชีพจรของผม อา! เสี่ยวจิน เป็นมันที่ช่วยผมไว้ในช่วงเวลาสำคัญ
แล้วหม่าเคอเป็นยังไงบ้าง? หม่าเคอหายไปไหนแล้ว? เพิ่งรู้ตัว ผมมองหาหม่าเคอไปรอบ ๆ
“นักเรียนจางกง ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นภายใน 5 วินาที อาจารย์จะต้องประกาศให้พวกเธอเสมอกัน”
อา! ดูเหมือนว่าหม่าเคอก็ไม่ได้ดีไปกว่าผม ฮ่าฮ่า! ผมรีบยืนขึ้นทันที
กลายเป็นว่าตอนที่บอลพลังงานของหม่าเคอปะทะกับผม เขาก็โดนอาณาจักรพิสุทธิ์ของผมกระแทกเข้าใส่เหมือนกัน เขาไม่เหลือพลังงานอีกเลยหลังจากพยายามต้านทานเวทย์ของผม ตอนนี้อาจารย์ตี้กำลังรักษาเขาอยู่ (เวทย์มนต์ของผมก็ไม่เบาเหมือนกันแหละน่า)
ผมไม่คิดจริง ๆ ว่าจะเอาชนะได้ยากขนาดนี้ สุดท้ายก็เป็นพลังของเสี่ยวจินที่ช่วยให้ผมเอาชนะมาได้ในวินาทีสุดท้าย (ฮิฮิ! เหมือนว่าผมจะทำผิดกฎการประลอง แต่ไม่มีใครรู้หรอก เพราะปกติแล้วตอนอยู่ในร่างกายของเจ้านาย สัตว์เวทย์ทำอะไรไม่ได้เลย มันจะเริ่มมีบทก็ต่อเมื่อถูกอัญเชิญออกมา)
ด้วยร่างกายที่ไม่เหลือแรงอยู่เลย ผมโดนเพื่อนร่วมห้อง 2 คนหิ้วปีกกลับห้องพักไป ตอนที่ผมกำลังจะหลับ ได้ยินเสียงของอาจารย์ตี้ดังขึ้น
“เด็กน้อย เป็นยังไง? การจะเอาชนะหม่าเคอที่มีระดับต่ำกว่าเธอ 1 ระดับเต็ม ๆ ต้องทุ่มมากขนาดนี้เลยเหรอ เธอนี่มันโง่เง่าเต่าตุ่นจริง ๆ”
เพราะผมไม่เข้าใจความหมายที่อาจารย์ตี้พูด ผมเลยไม่ได้ตอบ (แต่ว่านะ ต่อให้ผมเข้าใจ ด้วยสภาพของผมตอนนี้....) แต่เหมือนว่าอาจารย์ตี้จะรู้ว่า ผมไม่สามารถตอบโต้ได้ เขาเริ่มโจมตีผมด้วยการสั่งสอนต่อไป
แนวคิดพื้นฐานที่เขาพูดคือ ทำไมผมถึงปล่อยให้เขาโจมตีผมได้ ถ้าผมเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ชัยชนะก็จะไม่กลายเป็นเหมือนภัยพิบัติอย่างนี้ เขายังบ่นที่ผมสะเพร่า และเวทย์มนต์ของผมยังมีจุดอ่อน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผมทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ผมใช้พลังเวทย์ที่เพิ่งฟื้นฟูได้เล็กน้อยผนึกห้วงความคิดของตัวเอง เรียบร้อย! ผมไปดินแดนแห่งความฝันได้แล้ว
ด้วยสภาพร่างกายที่ใช้พลังเวทย์เกินขีดจำกัด ผมไม่ได้ไปดูการประลองระหว่างหว่อเค้อกับเด็กสาวจากห้อง D ในวันถัดมา ใครจะไปสน หว่อเค้อชนะแน่ แม้ว่าหว่อเค้อจะทรงพลัง เขาไม่น่าจะมีเวทย์เหมือนบอลพลังของหม่าเคอ พรุ่งนี้ผมเอาชนะเขาได้แน่
หลังจากกินข้าวกลางวัน ผมไปที่ห้องพักของหม่าเคอเพื่อดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเด็กนี่ก็อยุ่ในสภาพอ่อนแอมาก เทียบกันแล้ว สภาพผมนี่ถือว่าดีมาก เขายังลุกขึ้นจากเตียงเองไม่ได้เลย ฮ่าฮ่า
“พี่ใหญ่ พี่โหดร้ายมาก ผมเกือบถูกพี่ตีจนตายแล้ว!”
“นายยังมีหน้ามาบอกว่าฉันโหด ยังกับนายดีนักนี่ ฉันก็โดนนายอัดมาเหมือนกัน นายก้าวหน้าขึ้นมาก ก่อนการประลองฉันไม่ได้คิดว่าช่องว่างระหว่างเราจะแคบขนาดนี้ ดูเหมือนฉันต้องพยายามหนักขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นนายแซงฉันได้แน่ ๆ แล้วฉันคงต้องเรียกนายว่าพี่ใหญ่แทน”
พวกเรามองหน้ากันและเริ่มหัวเราะ หลังจากนั้นเราคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะกลับเข้าห้องตัวเอง ผมต้องใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ตั้งใจฟื้นฟูพลังเวทย์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ก็เป็นตอนเย็นแล้ว เจ้าหัวเขียว กับเพื่อนร่วมห้องอีก 2 คนกลับเข้าห้องมาแล้ว
“จางกง นายนี่เป็นแบบอย่างของฉันจริง ๆ! ความชื่นชมของฉันที่มีต่อนาย เหมือนสายน้ำที่ไหลมาอย่างไม่มีวันจบสิ้น”
“อย่ามาบ้า! นายเห็นฉันเก่ง แล้วอยากให้ฉันช่วยหนุนหลังนาย? หลบไป อย่ามากวนฉัน”
“จางกง ฉันมีข่าวน่าตกใจมาด้วย อยากฟังมั้ย?”
“นายนี่นะ! ข่าวประเภทไหนที่นายมี?” ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย
“มันเป็นประโยชน์ต่อนายแน่ นายรู้มั้ย? วันนี้ตัวแทนชั้นปี หว่อเค้อ แพ้ไปอย่างคาดไม่ถึง”
“อะไร! นายพูดว่าอะไรนะ? หว่อเค่อแพ้อย่างคาดไม่ถึง?” เป็นไปไม่ได้ นี่ทำให้ผมประหลาดใจ หว่อเค้อแพ้ให้กับเด็กสาวจากห้อง D ต่อให้ผมไม่เคยสู้กับเขา แต่ความแข็งแกร่งของหว่อเค้อนั้นค่อนข้างชัดเจน แน่นอนผมรู้ดีว่าการจะเป็นตัวแทนชั้นปีไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ
“นายโกหกฉันเหรอ? ถ้านายโกหกฉัน นายตายแน่” ผมเริ่มรวมพลังเวทย์ไว้ที่มือ ขู่เจ้าหัวเขียว
“พี่ใหญ่จางกง ได้โปรด! ผมพูดความจริง! ถ้าไม่เชื่อถามพวกเขาก็ได้”
ผมหันไปมองเพื่อนร่วมห้องอีก 2 คนด้วยสีหน้าสงสัย
อันหลงเต๋อพูด “จางกง เจ้าหัวเขียวไม่ได้โกหก หว่อเค้อน่าอนาถมากวันนี้ ฉันคิดว่านอกจากตัวเขาเองแล้ว ไม่มีใครบอกได้จริง ๆ ว่าเขาแพ้ได้ยังไง”