บทที่ 35 – เข้ารอบโดยไม่สะดุด
การประลองเริ่มต้นขึ้น มันมีสนามประลองทั้งหมด 20 เวที แต่ละเวทีมีอาจารย์ผู้ตัดสินเวทีละ 2 คนคอยดูแล คนแรกจะรับผิดชอบเวทย์กำแพงป้องกัน (แต่ละสนามประลองจะมีค่ายกลเวทย์อยู่ตรงกลาง อาจารย์จะเพียงมีหน้าที่ทำให้มันเริ่มทำงาน และรักษามันไว้ตลอดการประลองเท่านั้น) ส่วนอีกคนจะมีหน้าที่ตัดสินแพ้ชนะ
การประลองเวทย์มนต์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คุณต้องการเพียงแค่โชว์ความสามารถที่เหนือกว่า แล้วผลลัพธ์ก็จะสามารถตัดสินได้ทันที
ในที่สุดก็ถึงเวลาของผม เทียนฟงและผมเดินขึ้นไปที่กลางของเวที ทักทายกัน
“มา ให้ฉันดูความแข็งแกร่งของนายหน่อย” ผมพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“ได้เลย ฉันไม่ออมมือแน่ ๆ” เทียนฟงร่ายเวทย์วายุล่องให้กับตัวเอง แล้วเริ่มวนไปรอบ ๆ ตัวผม จากนั้นพุ่งมาด้านข้างของผม ก่อนเริ่มร่ายคาถาโจมตี
ผมหัวเราะอยู่ในใจ เขาคิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าผมเก่งเรื่องความเร็ว ผมตามเขาทันได้อย่างง่าย ๆ ผมร่ายเวทย์โล่ผลึกแสงคลุมตัวเองไว้รอบด้าน และให้ความสนใจเต็มที่กับเวทย์โจมตีที่เขาจะใช้กับผม
“สายลมอันเป็นอิสระ ฟังคำข้า เปลี่ยนเป็นพายุหมุนอันรุนแรง!” หึ! ปรากฏว่ามันเป็นเวทย์ลมโจมตีระดับกลาง “พายุหมุน” ดูเหมือนจะเป็นการลองเชิง
หลังจากร่ายเวทย์แล้ว เขาถอยกลับไปที่กลางเวที ปล่อยให้พายุหมุนพุ่งเข้ามาหาผม
ผมหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเวทย์โจมตีระดับกลางคือทั้งหมดที่นายทำได้ นายแพ้แล้ว”
ผมโบกคทาเวทย์ของผมเบา ๆ “ฉีกอากาศตรงหน้าให้เปิดออก กลืนกินทุกอย่างที่แปลกแยก” นี่คือเวทย์มิติ “เฉือนมิติ” ตอนนี้ผมควบคุมมันได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว
รอยแยกสีดำปรากฏขึ้นระหว่างผมกับพายุหมุน เพียงพริบตาพายุหมุนถูกดูดกลืนไปทั้งหมด เหตุการณที่เกิดขึ้นทำให้เทียนฟงหายใจสะดุด ความเร็วของเขาเริ่มตกลงอย่างมาก
นักเรียนที่ดูอยู่รอบ ๆ ส่งเสียงอย่างแปลกใจ “เวทย์มิติโจมตี!”
ผมเรียก ‘เฉือนมิติ’ กลับ “นายยังอยากสู้ต่อมั้ย?”
เทียนฟงหยุดเคลื่อนไหว จ้องมาที่ผม “ไม่ต้องแล้ว ฉันยอมแพ้!”
เวทย์เฉือนมิติมีพลังเทียบเท่ากับเวทย์ระดับสูง แต่มันยากที่จะควบคุม พอเห็นผมใช้เวทย์นี้ได้อย่างง่าย ๆ เขารู้ทันทีถึงความแตกต่างของพลังระหว่างพวกเรา แทนที่จะโดนอัดจนน่วม การยอมแพ้เป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่ามาก
“นายมีความแข็งแกร่ง แค่โชคร้ายที่มาเจอฉัน พยายามต่อไปให้ดีที่สุด”
“แล้วฉันจะกลับมาท้าทายนายอีกในอนาคต”
“ฉันพร้อมทุกเมื่อ” ตัวผมในตอนนี้ไม่กลัวการถูกท้าทายแล้ว ไม่ว่าจะจากใคร ตอนนี้ผมมีความมั่นใจพลังของตัวเองอย่างเต็มที่
ตามกฎของรอบจัดกลุ่ม ทุกคนจะต้องทำการประลองวันละ 2 รอบ นั่นทำให้ผมเจอกับหม่าเคอตอนผมกำลังเดินกลับไปที่ห้องพัก
“การประลองของนายเป็นยังไงบ้าง หม่าเคอ?” มองไปที่ชุดคลุมเวทย์ใหม่เอี่ยมของเขา ผมถามยิ้ม ๆ
“มีอะไรให้พูดถึง? ก็แค่ร่ายเวทย์ ‘เพลิงคลั่งแห่งสวรรค์’ แล้วทุกอย่างก็จบ” หม่าเคอก็มีพรสวรรค์สูงในการเรียนรู้เวทย์มนต์ ด้วยความรู้ของอาจารย์เขา รวมถึงความพยายามของเขาเอง คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขานั้นหาได้ยากมากในหมู่นักเรียนชั้นปี 2
“ไปเถอะ! ไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วค่อยกลับมาพักผ่อน เรายังเหลือการประลองอีกรอบตอนบ่าย”
การประลองรอบบ่ายที่ผมกังวลถึงนั้น ยังปรากฏว่าเป็นการชนะอย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่แตกต่างจากเทียนฟงมากนัก หลังจากปะทะกันเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ยอมแพ้
มาถึงการประลองรอบจัดกลุ่มครั้งสุดท้ายของผม ผมพบกับนักเวทย์ไฟที่ดูมีความแข็งแกร่งมาก
“นายมาจากห้อง A” ผมคุ้น ๆ หน้าเขา
“ถูกต้อง! ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย แต่ฉันยังต้องการที่จะประลองกับนายสักหน่อย” เขายังไม่เคยแพ้เลยจากการประลองที่ผ่านมา
“เริ่มเลยเถอะ!”
ไม่เหมือนเทียนฟง เขาไม่ลองเชิงใด ๆ ทั้งสิ้น เริ่มด้วยเวทย์ป้องกัน แล้วตามติดมาด้วยเวทย์โจมตีระดับสูงทันที
“ไฟอันร้อนแรง ฟังคำข้า และปรากฏตัวออกมาเป็นเพลิงคลั่งที่ไร้สิ้นสุด เผาไหม้ทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้า”
‘เพลิงคลั่งแห่งสวรรค์’ เวทย์นี้อีกแล้ว น่าเบื่อจริง ๆ ให้ตายเถอะ!
ผมยกมือขึ้น และเงยหน้า “ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อนของผม ใช้แสงอันอ่อนโยนของท่าน ชำระล้างทุกอย่างตรงหน้า” เวทย์ที่ผมใช้คือ ‘แสงชำระล้าง’ แสงชำระล้างนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เป็นสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมา เดิมทีมันเป็นเวทย์การป้องกันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีเป้าหมายเพื่อการล้างผลของทุกอย่างที่ไม่ดีเป็นวงกว้าง เมื่อผมปรับปรุงมันขึ้นใหม่ ผมได้เพิ่มการสร้างกำแพงป้องกันหนาขึ้นมาด้วย มันกลายเป็นเวทย์ป้องกันระดับสูงไปเรียบร้อยแล้ว
เขาใช้พลังทั้งหมดของเขากระตุ้นให้เพลิงคลั่งพุ่งเข้ามาใส่แสงชำระล้างอย่างต่อเนื่อง แต่! ผมยืนมองเขาอยู่อย่างสบาย ๆ ภายในกำแพงป้องกัน ผมคิดอยู่เสมอว่าการทำให้คนอื่นตกลงจากเวที เป็นการทำให้เขาอับอาย พวกเขาควรจะรู้ว่าเมื่อไรควรจะยอมแพ้ ผมรอให้พลังเวทย์ของเขาหมด แล้วเขาก็จะยอมแพ้ไปเอง
แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ศรีษะที่เต็มไปด้วยผมสีแดงยกขึ้นและร่าย “ไฟแห่งชีวิตของข้า จงเผาไหม้!”
เหล่าอาจารย์ที่อยู่ในหมู่ผู้ชมจ้องเข้ามาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า “ทำไมนักเรียนคนนั้นต้องเผาไฟชีวิตของเขาด้วย?” นี่มันจะลดอายุไขของเขา เป็นเด็กที่อยากเอาชนะจริง ๆ” ไฟชีวิตคือไฟที่นักเวทย์ไฟใช้พลังชีวิตเป็นเชื้อเพลิง เพื่อที่ระดับของเวทย์มนต์จะได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก พูดอีกอย่างคือ เพลิงคลั่งของเขาจากเวทย์ระดับ 6 หลังจากเผาไฟชีวิต มันจะสามารถยกระดับขึ้นในทันที ไปเป็นเวทย์ระดับ 7
เปลวเพลิงที่อยู่ด้านนอกของกำแพงป้องกัน จากสีแดงเพลิงเริ่มเปลี่ยนไป มันเริ่มมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันเปลี่ยนไปจนกลายเป็นเพลิงสีฟ้าเข้มอันแสนมืดมัว แรงกดดันที่พุ่งเข้ามาสู่ผมเพิ่มมากขึ้นในทันที
“ช่างคาดไม่ถึง! นายยังมีทักษะแบบนี้อยู่ ดูนี่ นี่คือความสามารถที่แท้จริงของฉัน อย่างเพิ่งยอมแพ้ล่ะ” ที่ผมสัมผัสได้ตอนนี้คือเขาไม่ด้อยกว่าไห่รื่อเลย
“ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดอนุญาตให้ผมขอยืมความแข็งแกร่งอันไร้ที่เปรียบของท่าน ทำให้แสงอันไร้สิ้นสุดบนโลกนี้ส่องแสงขึ้น!” เวทย์แสงโจมตี ‘อาณาจักรพิสุทธิ์’ เวทย์แสงระดับ 7 นี่เป็นเวทย์แสงที่ทรงพลังที่สุดที่ผมใช้ได้ในตอนนี้แล้ว
หลังจากผมร่ายเวทย์จบ ร่างของผมลอยขึ้นจากพื้น แสงสีขาวที่สว่างจนทำให้มองไม่เห็นอะไรปกคลุมไปทั่วตัวผมจากหัวจรดเท้า เสื้อคลุมเวทย์เริ่มสะบัดไปด้านหลัง หินเวทย์มนต์สีทองบนหน้าอกปล่อยแสงสีทองออกมา แสงสีขาวที่ผมปล่อยออกมาเริ่มพุ่งไปทำให้เวทีสว่างจ้า ผมยกศรีษะขึ้น จากภายในจุดสะสมพลังของผม ดวงเวทย์สีทองปล่อยพลัง 1 ใน 3 ของผมออกมาปกคลุมร่างกาย แสงที่อยู่รอบ ๆ ตัวผมหดตัวกลับชั่ววินาทีก่อนที่จะระเบิดพลังพุ่งออกไป เพลิงสีฟ้าถูกกลืนกินในทันทีด้วยลำแสงสีขาวของผม กำแพงป้องกันของเวทีสั่นสะเทือน หลังจากต้านทานได้สักพัก มันเริ่มมีรอยแยก
“นักเรียนปี 2 คู่นี้มีพลังเวทย์สูงมากจริง ๆ พวกเขาใช้เวทย์มนต์ระดับ 7 หรือว่าพวกเขาถึงระดับอาจารย์เวทย์แล้ว?” อาจารย์ผู้ตัดสินทั้งสองรีบเพิ่มพลังลงไปเพื่อรักษากำแพงเวทย์มนต์ไว้
หลังจากกำแพงเวทย์มนต์เริ่มคงตัว คู่ต่อสู้ของผมล้มลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีสัญญาณว่าจะลุกขึ้นมาได้ ส่วนคนอื่นรอบ ๆ ตอนนี้มองอะไรไม่เห็นเพราะแสงสีขาวที่ผมปล่อยออกมา
ในความเป็นจริง ผมแสดงพลังของเวทย์นี้ออกมาได้แค่ 1 ใน 3 เท่านั้น นั่นเป็นเพราะผมสามารถปล่อยพลังเวทย์ได้แค่นั้น แต่ยังไงมันก็ยังอยู่ในระดับของเวทย์ระดับ 7 คู่ต่อสู้ของผมยกระดับเวทย์มนต์ของเขาอย่างยากลำบาก แต่ผมสามารถร่ายได้โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วย และยังสามารถสร้างพลังโจมตีได้พอ ๆ กับเวทย์โจมตีตามปกติ ถ้าจะให้พูดตั้งแต่พื้นฐาน มีแต่ธาตุมืด และธาตุมิติเท่านั้นที่มีพลังโจมตีสูงกว่าธาตุเวทย์อื่นเล็กน้อย แต่มันต้องมีความแข็งแกร่งถึงจะใช้ได้
“ธาตุแสงผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อเพื่อนของท่าน ผมร้องขอให้ท่านรักษาสิ่งมีชีวิตตรงหน้า!” ผมรีบร่ายเวทย์ฟื้นฟูวิญญาณให้กับเขา เวทย์ฟื้นฟูวิญญาณของผมตอนนี้มีพลังอยู่ในขั้นของเวทย์ระดับสูงอย่างสมบูรณ์แบบ
ตอนที่ทุกคนกับมามองเห็นได้อีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผมเป็นผู้ชนะ