บทที่ 32 - เจอกับหม่าเคออีกครั้ง
ผมกอดเสี่ยวจินเบา ๆ เอ๊ะ! นี่มันอะไร? อย่างคิดไม่ถึง ผมรู้สึกว่ามีแท่งอะไรบางอย่างยื่นออกมาจากลำตัวของมัน ผมทางเสี่ยวจิน (ทางโทรจิต) มันคืออะไร? เสี่ยวจินตอบกลับมาว่ามันก็ไม่รู้ อีกอย่างมันไม่ได้มีแค่อันเดียว
ผมรีบปล่อยเสี่ยวจิน ถอยออกมา แล้วสังเกตอย่างตั้งใจ
จริงด้วย ใต้ตัวของมันมีแท่งเล็ก ๆ อยู่ 5 แท่ง เหมือนว่ามันเป็นกระดูกที่ยื่นออกมา บนหลังของมันระหว่างแถบสีทอง 3 แถบ มีแผ่นบาง ๆ งอกออกมา 2 แผ่นแต่ยังเห็นไม่ค่อยชัดเจน อา! นี่มันคืออะไร? อย่าบอกผมนะว่าเสี่ยวจินเป็นงูบิน? ไม่! ผมควรจะต้องถามอาจารย์ตี้
ผมเล่นอยู่กับเสี่ยวจินอีกพักหนึ่ง เห็นท้องฟ้าเริ่มสว่าง ผมเรียกเสี่ยวจินกลับเข้าไปข้างใน
ความก้าวหน้าของเสี่ยวจินช่างน่าทึ่ง ผมรู้สึกได้ถึงพลังเวทย์อันแข็งแกร่งของมัน ไม่เพียงแค่นั้น แต่เสี่ยวจินยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ผมยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร อีกทั้งความสามารถของมันก็เพิ่มขึ้นและมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ซึ่งแม้แต่เสี่ยวจินก็ไม่รู้ว่าคืออะไร และตอนนี้มันยังสามารถฝึกฝนร่วมกับผมได้ ทำให้ผมรู้สึกผูกผันกับมันมากขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อฟ้าสว่าง อาจารย์ตี้ก็มาถึง
“พักผ่อนเพียงพอแล้วใช่มั้ย จางกง?” อาจารย์ตี้ถามอย่างอ่อนโยน วางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลง
“พอแล้วครับ” อร่อย เยี่ยมมาก ผมกินไม่หยุด ไม่สนใจอาจารย์ตี้เลย ผมโยนตัวเองเข้าไปในกองอาหาร
หลังจากอาหารหมด “อาจารย์ อาหารที่อาจารย์เอามาอร่อย ๆ ทั้งนั้นเลยครับ อ๊ะ! ทำไมอาจารย์ไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ?”
“หืม! เธอมันเจ้าเด็กตะกละ เห็นแก่กิน เรื่องกินนี่ที่ 1 เลยจริง ๆ” อาจารย์ตี้ออกอาการไม่พอใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้เวทย์มนต์เหรอครับ?” ผมเริ่มทำตัวเป็นเด็กนิสัยไม่ดี (ก็ผมยังเป็นเด็กนี่นา)
“ได้ ยกหางตัวเองเข้า! เธอจะมีพรสวรรค์หรือไม่มี ต้องดูกันวันนี้ เรามีเวลาไม่มาก แค่ 7 วัน อาจารย์หวังว่าเธอสามารถเรียนรู้เวทย์ที่มีประโยชน์ได้หลังจากครบ 7 วัน เธอต้องตั้งใจเรียนให้ดี”
เห็นเขาพูดเสียงแข็ง ผมไม่กล้าล้อเล่นแล้ว “ครับอาจารย์”
“เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว ไป! ออกไปข้างนอกแล้วไปเดินในสวน”
“ครับ”
สดชื่นจริง ๆ ผมไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์มานานพอสมควร ผมขยับแข้งขยับขาและสูดหายใจลึก แม้แสงอาทิตย์ข้างนอกจะค่อนข้างจ้า แต่ผมชอบความรู้สึกนี้ มันค่อนข้างสบายตัว อาจารย์ตี้ไม่ได้รบกวนผม ปล่อยให้มีทำตามใจชอบอยู่ครู่หนึ่ง จนผมเริ่มสงบลง
“ดีมาก! อาจารย์จะเริ่มสอนตอนนี้เลย ขั้นแรก อาจารย์จะบรรยายให้เธอฟังเกี่ยวกับทฤษฎีของเวทย์มนต์ระดับสูง เธอรู้มั้ยว่าอาจารย์ใช้เวทย์มนต์ยังไง ตอนที่อาจารย์อยู่ในระดับนี้?”
“ระดับมีผลต่อวิธีการใช้เวทย์มนต์ด้วยเหรอครับ? การใช้เวทย์มนต์! ที่ต้องทำก็แค่เพียงร่ายเวทย์ มันทำแบบอื่นได้ด้วยเหรอครับ?”
อาจารย์ตี้เหล่ตามาที่ผม “งั้นดูให้ดี นี่คือเวทย์มนต์ที่แท้จริง!” เขาขยับมือของเขาออกมาข้างหน้า ลำแสงสีขาวพุ่งออกจากฝ่ามือ เหมือนโดนฟันด้วยดาบอันคมกริบ หินก้อนใหญ่ตรงหน้าผมถูกตัดเป็น 2 ท่อน ท่อนบนไหลตกลงมาที่พื้น!
“อะไรกัน? นี่มันเวทย์มนต์จริง ๆ เหรอ? ไม่ต้องร่ายเวทย์ แค่ขยับมือก็ตัดหินได้แล้ว อาจารย์ครับ อาจารย์ทำได้ยังไง?”
“หึหึ! นี่คือพลังของเมธีเวทย์ ด้วยความระดับความเข้าใจของอาจารย์ เวทย์ทั่วไปจะทรงพลังขึ้นอย่างมาก เธอต้องรับรู้ถึงธาตุเวทย์มนต์อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นพิเศษ เพื่อที่จะทำความเข้าใจในธรรมชาติของมัน หลังจากที่เธอประสบความสำเร็จแล้ว เธอจะสามารถทำแบบนี้ได้ สิ่งที่อาจารย์เพิ่งใช้ไปนั้น มันคล้ายกับการฟันด้วย ‘จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้’ ของนักรบ อันที่จริง เวทย์มนต์กับลมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เมื่ออยู่ในระดับสูงนั้นมีบางอย่างคล้าย ๆ กัน ต่อไปเธอต้องศึกษาให้ดี ฝึกฝนวิธีใช้พลังเวทย์โดยตรงให้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเรียนจบ แต่วันนี้สิ่งที่เราจะเรียนกันไม่ใช่เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียนรู้ ต้องการการบ่มเพาะจิตใจเป็นเวลานานเธอถึงจะประสบความสำเร็จได้ ตอนนี้เธอมีเวทย์โจมตีน้อยมากเมื่อเทียบกับเวทย์ป้องกัน เราจะเริ่มจากจุดนั้น รอให้การประลองจบลงแล้ว อาจารย์จะสอนเธอถึงวิธีการควบคุมธาตุเวทย์มนต์
“อาจารย์ครับ อาจารย์แข็งแกร่งมากจริง ๆ! แล้วกลายเป็นว่าเวทย์มนต์สามารถใช้แบบนี้ได้ด้วย!” ผมมองไปที่เขาด้วยสายตาแห่งความชื่นชม
“แน่นอน อาจารย์เป็นเมธีเวทย์นะ! เลยพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ขั้นแรกเริ่มเรียนเวทย์นี้...”
7 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การดูแลของอาจารย์ตี้ ผมได้เรียนรู้ไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านการควบคุมเวทย์มนต์ ด้วยการสนับสนุนของพลังเวทย์อันแทบจะไม่จำกัด ผมการควบคุมเวทย์มนต์ของผมก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ดวงเวทย์สีทองในตัวผมก็เริ่มเสถียรแล้ว
ผมถามอาจารย์ตี้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวจิน หลังจากคิดเป็นเวลานาน เขาบอกผมว่าเขาก็ไม่เคยเห็นสัตว์เวทย์เป็นแบบนี้มาก่อน บางทีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจสืบเนื่องมาจากการที่ผมใช้เวทย์ ‘แบ่งชีวิต’ เราทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
ด้วยคำอธิบายนี้ ผมวางใจขึ้นมาเล็กน้อย แค่เสี่ยวจินยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่สนใจว่ามันจะกลายเป็นตัวอะไร
ในช่วง 7 วันนี้ ผมได้ยินข่าวดี อาจารย์ตี้บอกผมว่า เมื่อ 20 วันที่แล้ว หม่าเคอกลายเป็นศิษย์สายตรงของรองอาจารย์ใหญ่ ตอนนี้พวกเราทั้งคู่สามารถก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กันได้ คุณควรจะรู้ รองอาจารย์ใหญ่ก็เป็นเมธีเวทย์เหมือนกัน
พรุ่งนี้ ผมจะกลับไปเรียนตามปกติ ตอนที่อาจารย์ตี้กลับไปวันนี้ เขาเตือนผมอีกครั้งว่าไม่ให้บอกใครว่าเสี่ยวจินยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งเรื่องที่ผมเป็นลูกศิษย์เขา อาจารย์ตี้อาจดูเหมือนตาแก่อารมณ์ดี แต่วิธีการสอนของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย เขาแค่ให้คำอธิบายกันคุณอย่างละเอียด แล้วปล่อยให้คุณคิดต่อเอง หรือสอนวิธีการร่ายเวทย์ให้ แล้วให้คุณลองใช้เวทย์มนต์ด้วยตัวเอง เขาให้อิสระในการเรียนมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาแก่แล้ว เขาเลยเหมือนกับเป็นปู่ของผม แม้ว่าบางทีเขาอาจจะทำตัวเป็นเด็กน่ารำคาญบ้าง ผมพบว่าผมเริ่มชอบเขามากขึ้นแล้ว
หลังจากที่เดินเข้าไปในห้องเรียน ทุกคนในห้องมองมาที่ผมด้วยสายตาตกตะลึง ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เดินไปนั่งที่โต๊ะของผม
“พี่ใหญ่!” ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“หม่าเคอ” ผมหันไปตอบกลับเพื่อนรักที่ผมไม่ได้เจอมานาน
เรามองตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกอดกันแน่น
หม่าเคอกระซิบที่ข้างหูผม “พี่ใหญ่ ผมรู้เรื่องพี่แล้ว ทำให้เต็มที่ในการประลอง”
“ได้ นายก็เหมือนกัน”
เสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าการเรียนเริ่มขึ้น ทุกคนกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง วันนี้จะมีการประกาศกฎของการประลองจบภาคการศึกษา
พรุ่งนี้ รอบคัดเลือกจะเริ่มต้นขึ้น นึกถึงเป้าหมายที่อาจารย์ตี้ตั้งให้ผม ผมรู้สึกปวดหัว!