บทที่ 3 - อาจารย์ของผม
รู้สึกเหมือนทำภารกิจสำเร็จ ตอนที่ผมกลับถึงบ้าน แม่กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่
“ลูกกลับถึงบ้านแล้ว! วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ดีมาก ๆ เลยครับ! จริงสิครับแม่! วันนี้ผมเลือกธาตุสายหลัก และธาตุสายรองที่ผมอยากเรียนแล้วนะ”
“อา.... คุณ ๆ รีบมาเร็ว ๆ เข้า ลูกชายเราเลือกธาตุหลัก ธาตุรองแล้ว!!”
“จริงเหรอ!!! ลูกเลือกเวทย์ลมใช่มั้ย? ไอ้ลูกชาย”
ได้ยินเสียงเรียก พ่อของผมรีบวิ่งเข้ามาถาม
“ไม่มีทาง ลูกเราต้องเลือกเรียนเวทย์น้ำแน่นอน ใช่มั้ยลูก?”
แม่มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
แม่ของผมเป็นนักเวทย์น้ำขั้นกลาง ในขณะที่พ่อเป็นนักเวทย์ลมขั้นกลาง ตั้งแต่ตอนที่ผมเกิด ทั้งคู่เถียงกันบ่อยมากถึงเรื่องที่ว่าผมควรเลือกธาตุไหนเป็นธาตุหลักในการเรียนเวทย์มนต์
มองดูสายตาของทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง อา...ผมทำอะไรลงไป? ผมลืมนึกถึงพวกเขาเลย สมองน้อย ๆ ของผมคิดอย่างรวดเร็วว่าควรจะตอบพวกเขาอย่างไร
“ไม่ ไม่ใช่ทั้งคู่ ธาตุเวทย์มนต์สายหลักที่ผมเลือกไม่ใช่ทั้งธาตุลม หรือธาตุน้ำ”
“อะไรนะ?” ทั้ง 2 คนมองมาที่ผมด้วยสายตาแห่งความประหลาดใจ
“แล้วลูกเลือกอะไรไป? ลูกเลือกธาตุดิน หรือธาตุไฟ? 2 ธาตุนี้มันไม่เหมาะกับลูกเลยนะ ทำไมลูกไม่ปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนเลือกล่ะ เดือนนี้ลูกอดค่าขนมทั้งเดือน!!!”
“ลูกคันก้น อยากโดนตีใช่มั้ย!!!” พ่อพูดด้วยสายตาและท่าทีข่มขู่
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น แม่! พ่อ! อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ผมไม่ได้เลือกธาตุดิน หรือธาตุไฟ ผมเลือกธาตุแสง ผมเลือกมันเพราะพ่อกับแม่เลยนะ!”
“อะไรนะ! เลือกเพราะพวกเรา”
“ใช่ครับ เลือกเพราะพ่อกับแม่เลย แล้วก็เพื่อความสงบสุขของครอบครัวเราด้วย มันเป็นอย่างนี้ ลองคิดดูสิครับ ถ้าผมเลือกธาตุน้ำ พ่อก็ไม่พอใจ ถ้าผมเลือกธาตุลม แม่ต้องฆ่าผมแน่ ๆ ผมเลยไม่เลือกทั้งคู่เลย เวทย์ไฟ กับเวทย์น้ำของแม่ไม่ถูกกัน ดังนั้นแล้วเพื่อแม่ที่ทั้งสวย ทั้งอ่อนโยน และใจดีของผม ผมจะเลือกธาตุไฟได้ยังไง เวทย์ดิน กับเวทย์ลมของพ่อก็ไม่ถูกกัน ดังนั้นเพื่อพ่อที่หล่อ มีเสน่ห์ และทรงพลังของผม ผมก็เลือกไม่ได้เช่นกัน ผมเลยเลือกธาตุแสงซึ่งไม่ตรงข้ามกับใครเลยในครอบครัว เพราะผมคิดถึงความสุขในครอบครัว ผมเลยเลือกอย่างนี้”
ในขณะที่พูด ผมมองไปที่พ่อกับแม่ ตาเริ่มแดง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
เห็นผมน้ำตาเริ่มคลอเบ้า แม่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเข้ามากอดและปลอบผม
“จางกงของเรา ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ ทำเพื่อพ่อแม่”
พ่อก็เข้ามากอดเราทั้งคู่ไว้ด้วยกัน ผมชอบบรรยากาศของความรักและความอบอุ่นแบบนี้มาก แต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าผมสามารถหลอกทั้งคู่ได้ด้วยเรื่องไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ ฮ่า ฮ่า
“จางกง ต่อไปลูกต้องตั้งใจเรียนให้ดีนะ อย่างน้อยลูกต้องเป็นนักเวทย์ชั้นสูงให้ได้”
“ครับพ่อ! ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง”
ดูเหมือนว่าแม่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จางกง เวทย์แสงระดับพื้นฐาน กับระดับกลาง ไม่มีเวทย์โจมตีใช่มั้ย คนเลยไม่ค่อยเรียนเวทย์แสงกัน”
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ทั้งสองคนวางใจได้เลย ผมต้องเป็นนักเวทย์ชั้นสูงได้อย่างแน่นอน”
ผมวางแผนได้อย่างฉลาด ถ้าผมอยากเรียนหนัก ผมคงไม่เลือกเวทย์แสง ฮ่า ฮ่า ตอนนี้ผมต้องขายผ้าเอาหน้ารอด หลอกพ่อกับแม่ไปก่อน ค่อยมาคิดแก้ปัญหาทีหลัง
“อย่างนั้นก็ดี มา มาฉลองให้กับทางเลือกของจางกงกัน”
คืนวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ
วันต่อมา หลังจากตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกของทั้งแม่และดวงตะวัน ตอนผมกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็พบว่าอ้าวเต๋อรออยู่หน้าบ้านแล้ว
“จางกง ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว วันนี้เป็นวันจัดชั้นเรียนใหม่”
“มาแล้ว ๆ ไปกันเถอะ”
เหมือนเมื่อวาน พวกเราเดินเข้าห้องเรียน
ยายแม่มดเดินเข้ามา
“พอ ๆ เงียบแล้วก็นั่งลง เราจะเริ่มจัดชั้นเรียนใหม่ ตอนนี้มีอยู่ 5 ห้องที่เลือกธาตุหลัก และธาตุรองในการเรียนเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 5 ห้องจะถูกแบ่งใหม่ตามธาตุที่เลือกไว้ ธาตุไฟจะมี 3 ห้อง ธาตุน้ำ 2 ห้อง ธาตุลม 2 ห้อง ธาตุดิน 1 ห้อง ตอนนี้อาจารย์จะประกาศห้องเรียนที่แต่ละคนจะอยู่ หลังจากประกาศเสร็จ ก็ให้ไปตามห้องที่จัดไว้”
ไม่ต้องสงสัยในพลังโจมตีของเวทย์มนต์ธาตุไฟเลย
แต่..เป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่มีชั้นเรียนของเวทย์มนต์ธาตุแสง? เครื่องหมายคำถามตัวมหึมาปรากฏขึ้นในใจผม
“ถังตี้ ธาตุไฟห้อง 1 หลี่ฉา ธาตุไฟห้อง 1 ........ อ้าวเต๋อ ธาตุน้ำห้อง 2.....”
ยกเว้นผม เพื่อนร่วมชั้นทุกคนได้รับการจัดห้อง ทีละคน ทีละคน พวกเขาออกจากห้องเพื่อไปชั้นเรียนใหม่ จนนักเรียนคนสุดท้ายออกไป
“จางกง ตามอาจารย์ไปหาอาจารย์ของเธอ เนื่องจากมันมีนักเวทย์แสงแค่ 10 คนในโลก ทางโรงเรียนได้จัดเตรียมอาจารย์เพื่อจัดการเรียนการสอนให้เธอเป็นพิเศษ”
ไม่นะ!!! การเรียนการสอนแบบพิเศษ มันต้องเป็นอาจารย์ที่เจ้าอารมณ์เป็นพิเศษแน่นอน ผมตายแน่ ๆ (ฉันไม่สามารถรองรับอารมณ์ของนักเวทย์แก่ ๆ ได้) ขณะที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับอาจารย์
มาถึงห้องพักครูบนชั้น 3 นี่ไม่ใช่ห้องอาจารย์ใหญ่เหรอ? “มา จางกง เข้าไปพร้อมอาจารย์” พอเห็นว่าผมออกอาการลังเล ยายแม่มดดึงผมเข้าไป
“อ้อ! ครับ อาจารย์”
เข้ามาในห้องอาจารย์ใหญ่ ผมเห็นอาจารย์ใหญ่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ส่งยิ้มมาให้ผม
“อาจารย์หลิน นี่คือจางกงที่เลือกเรียนเวทย์แสงจากชั้นเรียนของคุณใช่มั้ย? ให้อาจารย์แนะนำตัวเองนะ อาจารย์คือนักเวทย์สูงสุด ธาตุหลักของอาจารย์คือธาตุมิติ และธาตุรองของอาจารย์คือธาตุแสง อาจารย์ชื่อ ซิวซีหยู เรียกอาจารย์ว่า ‘อาจารย์ซิว’ ก็ได้”
ตาของผมมองตามมือของอาจารย์ใหญ่ อา.. นี่คืออาจารย์ของฉัน ชายแก่อายุ 50 ปี? มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาสวมผ้าคลุมสีม่วงไม่มีลวดลาย พริ้วไหวด้วยพลังงาน บนหน้าอกติดตรานักเวทย์ที่มี 4 ดาว (ระดับของนักเวทย์สามารถสังเกตุได้จากจำนวนดาวบนตราของพวกเขา การเลื่อนระดับแต่ละระดับจะเพิ่มดาวระดับละ 1 ดวง ในขณะที่นักเรียนเวทย์จะไม่มีดาว) สีหน้าจริงจัง ดูแล้วเขาน่าจะเป็นลางร้ายสำหรับผม
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ซิว ช่วยกรุณาดูแลจางกงด้วยค่ะ”
“อาจารย์หลิน ไม่ต้องเกรงใจเกินไป”
“เธอคือจางกง เฮ้.. เธอควรตั้งใจเรียนเวทย์มนต์ตามที่อาจารย์สอน ขอบอกเธอเลยว่าอาจารย์เป็นคนเข้มงวดมาก อาจารย์หวังว่าเธอจะตั้งใจเรียน อาจารย์ก็จะถ่ายทอดวิชาของอาจารย์ให้เธอให้ดีที่สุด”
ผมจะพูดอะไรได้? ตาของผมหมดสิ้นแล้วซึ่งประกายแห่งความหวัง ผมมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไร? ผมกำลังจะกลายเป็นทหารเลว ที่ถูกสั่งให้ไปตาย น่าอนาถจริง ๆ โอ! พระเจ้าผู้สร้าง!! ทำไมถึงทำแบบนี้กับผม ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ขอบคุณอาจารย์มากครับ ผมจะพยายามให้เต็มที่”
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ผมคงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ขณะที่เดินทางกลับบ้าน อ้าวเต๋อถามผมว่าใครเป็นอาจารย์สอนเวทย์มนต์ให้ผม เพื่อไม่ให้เสียหน้า ผมอวดว่าอาจารย์ของผมเป็นอาจารย์ที่ใจดี มีความเมตตากรุณา อ้าวเต๋อรู้สึกอิจฉาตอนที่บอกผมกลับว่าอาจารย์ประจำชั้นของเขาดุ และโหดร้ายมาก เฮ้อ..เขาจะโหดร้ายกว่าอาจารย์ซิวได้อย่างไร ผมได้แต่หวังว่าอาจารย์ซิวจะหัวใจวายคืนนี้ จะได้ไม่สามารถมาเป็นอาจารย์สอนผมได้
ตอนที่อาจารย์ซิวกำลังกินข้าวเย็นอยู่ เขาจามออกมาแล้วคิดในใจ ‘ใครแช่งฉันกันเนี่ย?’
ในภายหลัง บันทึกประวัติศาสตร์ของซิวซีหยู (อาจารย์ซิว) แสดงไว้ว่า : ถ้าไม่ใช่เพราะนักเวทย์สูงสุดซิวซีหยูช่วยสร้างพื้นฐานให้แก่บุตรแห่งแสงตอนที่เขายังเด็ก มันก็จะไม่มีบุตรแห่งแสงที่เรารู้จักกันตอนนี้
การวางรากฐานที่แข็งแรงนี้ประสิทธิภาพมากจนแม้แต่มหาเมธีเวทย์ที่เรารู้จักกันในนามบุตรแห่งแสงยังตัวสั่นเมื่อได้ยินชื่อแม้เวลาจะผ่านไป 30 ปีแล้ว