บทที่ 148: เด็กตระกูลหลงทั้ง 5
เมื่อหลงโม่เดินทางออกจากบ้านแล้ว หูเจียวเจียวก็ทำอาหารเช้าให้ลูก ๆ และยังคงมุ่งมั่นดูแลการก่อสร้างบ้านหินของภูตต่อไป
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย หลงเหยาก็ล้มตัวลงนอนที่บ้านไม้และผล็อยหลับไป
“เฮ้อ~”
เสี่ยวเหยาอยากนอนหลับตุนไว้ระหว่างที่ท่านพ่อไม่อยู่บ้าน!
แบบนี้พอพ่อมังกรกลับมา เขาจะไม่ง่วงอีกต่อไป!
เจ้ามังกรตัวเล็กผู้มีจิตใจเรียบง่ายนั้นไม่รู้เลยว่าถึงแม้เขาจะนอนเก็บแรงเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อมาที่แม่น้ำเพื่อทำความสะอาดมีดล้ำค่าของตน นี่คืองานประจำวันที่นางทำทุกวัน นางล้างมันด้วยน้ำสะอาด จากนั้นจึงลับกับหินอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาใบมีดให้คมอยู่เสมอ
การเคลื่อนไหวของเด็กสาวไม่ต่างจากการถือสมบัติที่หาได้ยาก
ระหว่างที่หลงหลิงเอ๋อกำลังก้มหน้าลงลับมีดบนหินก้อนใหญ่ ทันใดนั้นนางก็เห็นรองเท้าที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า
นี่คือรองเท้าที่แม่จิ้งจอกของนางทำ
พอเด็กสาวเงยหน้าขึ้นและพบว่าเจ้าของรองเท้าคือหลงจง นางก็เม้มริมฝีปากแล้วบ่นอุบอิบ
“พี่สาม ทำไมถึงเดินเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนจิงหลิง* ท่านมีอะไรหรือเปล่า?”
*จิงหลิง หรือเอลฟ์ คือสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ หรือใต้พื้นดิน
ตำนานเล่าว่าในป่าอันมืดมิดมีจิงหลิงกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งพวกมันมักจะเดินทางไปมาอย่างไร้ร่องรอย และพวกนี้มักจะสนุกกับการทำให้ภูตที่เดินผ่านไปผ่านมาตกใจกลัว
บางตนถึงกับทำให้ภูตสับสนแล้วจับพวกเขากลับไปเป็นอาหาร ดังนั้นในสายตาของภูต จิงหลิงก็ไม่ต่างจากผีของมนุษย์
ภูตผู้ใหญ่มักจะใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับจิงหลิงเพื่อทำให้เด็กหวาดกลัว โดยกำชับให้เด็ก ๆ เชื่อฟังอย่าวิ่งเผ่นพ่านไปในที่ที่ไม่รู้จัก มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกจิงหลิงผู้น่าสะพรึงกลัวจับตัวไป
เนื่องจากหลงจงไม่ค่อยยิ้ม บางครั้งเขาก็กลั่นแกล้งน้องสาวด้วยคำพูด ด้วยเหตุนี้หลงหลิงเอ๋อจึงมักจะเปรียบเทียบเขากับจิงหลิงอยู่เสมอ
คนเป็นพี่ชายยังคงนิ่งเงียบ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ และยื่นวัตถุสีดำให้อีกฝ่าย
“นี่คืออะไร?” สาวน้อยชะโงกหน้ามองดูของในมือเขาด้วยความสงสัย แต่นางไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบมันในทันที
“นี่สำหรับเจ้า” หลงจงกล่าวพร้อมทำหน้ามุ่ย เขาก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าวแล้วยัดของใส่มือเด็กสาว
หลงหลิงเอ๋อก้มลงมองของในมืออย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เป็นสีดำนั้นทำมาจากหนังสัตว์ โดยมีขนปุยสั้น ๆ อยู่ด้านนอก ผิวสัมผัสของมันอาจจะหยาบเล็กน้อย แถมฝีมือเย็บก็ไม่เรียบร้อย จะเห็นได้ว่ามันเป็นครั้งแรกที่เขาทำของสิ่งนี้ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม หากมองโดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้แย่
สาวน้อยมองหนังสัตว์สีดำในมือแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “มันมีไว้ทำอะไร?”
ทันทีที่นางพูดจบ นางก็ตระหนักว่าสิ่งนี้มีรูปร่างคล้ายกับมีดล้ำค่าของตัวเอง
หลงหลิงเอ๋อจึงพยายามสอดมีดเข้าไปข้างใน
“!!”
พอดีเลย!
“พี่สาม นี่คือปลอกมีดที่ท่านให้ข้าหรือ?”
ดวงตาของเด็กสาวเปล่งประกาย ในขณะที่นางหันไปมองผู้เป็นพี่ชายอย่างตื่นเต้น
เดิมทีนางไม่เคยคิดที่จะทำปลอกมีดมาก่อนเลย!
หลงจงเบือนหน้าหนีทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ แต่ควรห่อมีดเก็บไว้ให้ดี ๆ ข้ากลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นมีดเล่มนี้เข้า แล้วเจ้าจะสร้างปัญหาให้เราเสียเปล่า ๆ”
อันที่จริงเป็นเพราะเขากลัวว่าน้องสาวจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง
ถึงอย่างไรมันก็เป็นอาวุธที่แหลมคม อีกทั้งนางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
แต่หลงหลิงเอ๋อดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดเชิงตำหนิของพี่ชาย นางหรี่ตาลงและยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ขอบคุณพี่สามที่ทำปลอกมีดให้ข้า ข้าชอบมันมาก”
“เฮอะ”
หลังจากนั้นนางก็เก็บมีดอย่างทะนุถนอมและพูดต่ออีกประโยค
“ท่านคงตั้งใจทำเจ้าสิ่งนี้มากเลยใช่ไหม?”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำมันสักหน่อย” หลงจงพูดโต้แย้งพร้อมกับปั้นสีหน้าเย็นชา
หลงหลิงเอ๋อที่เห็นท่าทางของพี่ชายก็หัวเราะโดยไม่ตอบโต้อะไร แต่รอยยิ้มของนางกลับสดใสยิ่งขึ้น
ในขณะที่เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น
…
อีกด้านหนึ่ง
หลงอวี้กำหมัดแน่น ดวงตาของเขาเฉียบคม เขาชกต่อยต้นไม้สูงตระหง่านตรงหน้า นี่เป็นการฝึกฝนร่างกายและความแข็งแกร่งของเขา
ในยามที่เขายืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ร่างของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากต้นหญ้าเล็ก ๆ ทุกครั้งที่เขาออกหมัด ต้นไม้ตรงหน้าก็ไม่ขยับเลยสักนิด โดยมีเพียงเสียงเนื้อกระทบกับวัตถุแข็งดังขึ้น ทว่าเขาไม่ได้ท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
1 หมัด 2 หมัด... ร้อยหมัด พันหมัด
ผู้เป็นพี่ใหญ่พยายามอดทนปล่อยหมัดออกไปไม่ลดละ พร้อมกับที่ในใจหวังว่าตนจะสามารถโค่นต้นไม้ต้นนี้ลงได้ในสักวัน จากนั้นเขาจึงจะฆ่าวายร้ายทุกคนที่มารังแกครอบครัวของตัวเอง แล้วกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อคอยปกป้องพี่น้องและแม่ของตน
ตอนนี้หลงเซียวยืนอยู่ไม่ไกลจากพี่ชายคนโต เขาหลับตาฟังความเคลื่อนไหวในป่าเงียบ ๆ พลางถือหนังสติ๊กที่หูเจียวเจียวมอบให้เขาไว้
เสียงลมพัด… ใบไม้ร่วง… เสียงนกกระพือปีก...
ปัจจุบันเสียงทุกชนิดปะปนกันผ่านเข้ามาในโสตประสาทของเด็กหนุ่มผู้มองไม่เห็น ซึ่งเป็นการยากที่คนธรรมดาจะแยกแยะทิศทางของเสียงทั้งหมดได้
แต่บัดนี้ไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลบนใบหน้าที่เย็นชาและซีดเผือดของหลงเซียว หนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงหมัดของพี่ชายที่กระทบกับของแข็งเหมือนระฆังที่ดังก้องอยู่ในหู เขาใช้หัวใจเป็นไม้บรรทัดในการวัดระยะห่างจากเสียงอื่น ๆ
ไม่นานก็มีเสียงลมพัดผ่าน
ขณะเดียวกัน เหล่านกบนต้นไม้ทนไม่ได้กับการชกกำปั้นเข้าใส่ต้นไม้ของหลงอวี้ พวกมันจึงกระพือปีกพร้อมกับส่งเสียงร้องและบินออกไปจากกิ่งไม้ชั่วครู่หนึ่ง
ในตอนนั้นเอง ใบหูของหลงเซียวขยับ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นยิงหินก้อนเล็กที่ปลายนิ้วตรงไปที่นกอย่างแม่นยำ
ปั่ก!
มันเป็นเสียงก้อนหินชนอะไรบางอย่าง
ทางด้านหลงอวี้ลดกำปั้นลงตอนที่เห็นนกกระจอกสีเทาร่วงลงมาที่พื้น แล้วกระตุก 2-3 ครั้งก่อนจะแน่นิ่งไปในที่สุด
ถัดมา เขามองไปที่น้องชายด้วยความประหลาดใจ ไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่มักจะเคร่งขรึมอยู่เสมอ “น้องรอง เจ้ายิงเข้าเป้าแล้ว!”
หลงเซียวเองก็รู็สึกตกใจเช่นกัน เขาเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มเอาไว้โดยมีเพียงรอยยิ้มจาง ๆ ที่เผยให้เห็น
“เจ้าทำได้ดีมาก” คนเป็นพี่ใหญ่อุ้มนกกระจอกตัวน้อยแล้วก้าวไปตบไหล่ของน้องชายคนรอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลงเซียวยิ้ม
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดมา น้องชายของเขามีใบหน้าซีดเซียวอยู่เสมอ แล้วเขาก็มักจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดประหนึ่งว่าไม่อยากเห็นแสงสว่าง อีกทั้งเขาไม่เต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกภูตคนอื่น และไม่แม้แต่จะพูดคุยกับพี่น้องของตนเองด้วย
เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันได้เห็นหลงเซียวยิ้มตลอดชีวิตนี้เสียแล้ว!
ครู่ต่อมา หลงอวี้ยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย ก่อนจะวางนกกระจอกตัวน้อยไว้ในมือของเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มตาบอดวางหนังสติ๊กลงเพื่อใช้มือทั้ง 2 ข้างลูบนกกระจอกตัวเล็กเรื่อย ๆ ซึ่งอุณหภูมิบนตัวของมันยังไม่ลดลง ในขณะที่ปลายนิ้วสั่นเทาสัมผัสได้ถึงขนนุ่มและความอบอุ่นจากตัวนก
มันคือเหยื่อของเขา!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับเหยื่อได้ด้วยกำลังของตัวเอง!
ต่อให้มันเป็นเพียงนกตัวจ้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายในบรรดาพี่น้องที่สามารถยิงหนังสติ๊กโดนเป้าหมาย แต่ในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จ
ทว่าสำหรับเด็กหนุ่มผู้ที่อยู่ในโลกแห่งความมืดมิด มันเหมือนเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา
“พี่ใหญ่ ข้าทำได้ ข้าทำได้จริง ๆ”
หลังจากนั้นไม่นาน หลงเซียวก็เปิดปากที่จู่ ๆ มันก็หนักอึ้งเป็นตันและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
เขาไม่ใช่ขยะไร้ประโยชน์อีกต่อไปแล้วใช่ไหม?
ตอนนี้เขามีประโยชน์ขึ้นมาบ้างแล้ว!
อย่างน้อย...เด็กหนุ่มก็มีประโยชน์กว่าเดิมนิดหน่อย เขาจะได้เลิกเกลียดตัวเองให้น้อยลง
หลงอวี้เผยรอยยิ้มพึงพอใจ แม้ว่าน้องชายคนนี้จะมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังพยักหน้าอย่างแข็งขัน “อืม เจ้าเก่งมาก”
ทันใดนั้นร่างของหลงเซียวก็สั่นไหว ขาของเขาชาไปแล้วเพราะเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
ผู้เป็นพี่ใหญ่ที่เห็นอาการของอีกฝ่ายขมวดคิ้วฉับ แล้วรีบเข้าไปช่วยประคองน้องชายทันที
“น้องรอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ ในอนาคตยังมีเวลาอีกมาก”
เขาเป็นพี่ชายคนโต แม้ว่าหลงเซียวจะไม่มีความสามารถในการหาเลี้ยงตัวเอง แต่เขาก็จะดูแลน้อยชายคนนี้ไปตลอดชีวิต เขาแค่หวังว่าน้อง ๆ ของตนจะปลอดภัยและประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาสามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งเหล่านั้นไว้บนบ่าตัวเองได้
ครู่ต่อมา เด็กหนุ่มตาบอดเม้มริมฝีปากพลางยกมือขึ้นเพื่อกดหลังมือของหลงอวี้ที่มีหนังสัตว์หนาปกคลุมอยู่
“พี่ใหญ่ ถ้าท่านยังใช้มือนี้ชกต้นไม้ต่อไป มือท่านก็ไร้ประโยชน์เหมือนกัน”
ร่างกายของฝ่ายที่ได้ยินประโยคข้างต้นแข็งทื่อ ก่อนที่เขาจะกลับมาปั้นสีหน้าเคร่งขรึม
หลงอวี้นึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น จากนั้นเขาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองเล็กน้อย
“ข้าเป็นพี่ใหญ่หรือเจ้าเป็นพี่ใหญ่กันแน่?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: หลงจงนี่พี่ชายจอมซึนสุด ๆ เซียวเซียวเก่งมากเลย ประสาทสัมผัสการได้ยินดีมาก