ตอนที่ 161: เริ่มสืบหาเบาะแส
ตอนที่ 161: เริ่มสืบหาเบาะแส
“นายกลับมาแล้ว” แอวริลรีบวิ่งออกไปจากศาลาคว้าแขนของเซี่ยเฟยเอาไว้อีกครั้งราวกับว่าเธอไม่ได้เห็นชายหนุ่มมานานนับปี
“นายคุยอะไรกับพ่อมาบ้าง?” แอวริลถามอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าญาติผู้ใหญ่ของเธอจะพูดไม่ดีกับเซี่ยเฟย
“ไม่มีอะไร พวกเราแค่ทักทายกันนิดหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรจริง ๆ เหรอ?”
“จริง ๆ”
แอวริลเอาหัวเข้าไปซบหน้าอกของเซี่ยเฟยทำให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญิงสาวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งประสาทสัมผัสของชายหนุ่ม
“ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อ เขาบังคับไม่ให้ฉันติดต่อกับนาย มันคงทำให้นายทรมานมากเลยสินะ” แอวริลพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็รู้ดีว่าแอวริลไม่ใช่คนที่ชอบยึดถือความแค้นเอาไว้ แม้ว่าในตอนแรกเธอจะหงุดหงิดและร้องไห้แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็จะคืนดีกับนิวแมนเช่นเดิม
“เธอจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าเขาไม่ได้ห้ามพวกเราติดต่อกันฉันก็อาจจะไม่ได้มาที่นครหลวงเพื่อตามหาเธอแต่มุ่งหน้าตรงไปยังภูมิภาคดาวมฤตยูโดยตรง และถ้าหากว่าฉันไม่ได้บังเอิญมาเห็นตอนเธอถูกลักพาตัว ไม่แน่เธอก็อาจจะถูกลักพาตัวไปจริง ๆ” เซี่ยเฟยพูดติดตลกโดยจงใจแกล้งแอวริล
“นายไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนพ่อหรอก... เดี๋ยวก่อนนะ! นายบอกว่านายกำลังจะไปภูมิภาคดาวมฤตยูงั้นหรอ?” แอวริลถามขึ้นมาอย่างประหม่า
“เอ่อ…” เซี่ยเฟยพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะและเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาพูดออกไป
ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาโดยตลอด แต่เมื่อเขาได้มาอยู่ต่อหน้าหญิงสาวเขากลับลดความระวังตัวลงมาโดยไม่รู้ตัว
“ใช่ อีกไม่กี่วันฉันจะออกเดินทางแล้ว เธอยังจำลุงพอตเตอร์ที่อยู่ในสุสานยานอวกาศได้ไหม? เขาได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา ฉันก็เลย…” เซี่ยเฟยพยายามเล่าเหตุการณ์เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องไปเขาจึงควรจะบอกเธอเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ให้ชัดเจน
หากวัดจากอารมณ์ของหญิงสาวในอดีตแล้วตอนนี้เธอควรจะตีหน้าอกของเซี่ยเฟยอย่างแรง จากนั้นเธอก็จะเริ่มอารมณ์เสียแล้วทำลายพวกตุ๊กตา
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือในตอนนี้แอวริลกลับดูสงบมาก
“ลุงพอตเตอร์เอ็นดูนายมาก ถ้าเขาขอความช่วยเหลือนายก็ควรจะต้องไปช่วยเขา” แอวริลพูดเบา ๆ พร้อมกับเอาหัวซบหน้าอกชายหนุ่มอีกครั้ง
คำพูดจากหญิงสาวทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เนื่องจากในตอนนี้แอวริลดูแตกต่างจากปีที่แล้วจริง ๆ เพราะย้อนกลับไปในตอนนั้นเธอยังคงเป็นคุณหนูที่เอาแต่ใจ แต่ในวันนี้เธอกลับเข้าอกเข้าใจเขามากขึ้น
แม้แต่ในตอนที่เซี่ยเฟยกำลังจะจากเธอไปแต่มันก็ไม่มีวี่แววของการร้องไห้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสนับสนุนให้เขาไปช่วยพอตเตอร์ซึ่งมันก็ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากจะเชื่อภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“เธอไม่ได้ป่วยใช่ไหม?” เซี่ยเฟยยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของหญิงสาวเบา ๆ
“ฉันสบายดีแล้วฉันจะป่วยได้ยังไง?” แอวริลถามกลับอย่างสับสน
“แล้วทำไมเธอถึงเริ่มพูดจาไม่เป็นตัวเองเลย” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่ที่นายหายตัวไปฉันก็คิดมาตลอดว่าฉันใจร้ายกับนายไปหรือเปล่า ฉันหวังมาตลอดว่าอยากให้นายอยู่กับฉัน แล้วในที่สุดฉันก็เข้าใจ…” แอวริลกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“เข้าใจอะไร?”
“ฉันเข้าใจว่านายไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่เฉย ๆ เชิญนายไปทำในสิ่งที่นายอยากทำเถอะ ขอแค่จำเอาไว้ว่าฉันยังรอนายอยู่เสมอ” แอวริลพูดออกมาเบา ๆ อย่างเขินอาย โดยเฉพาะในตอนที่เธอพูดว่า ‘รอนาย’ เสียงของเธอก็เบาลงไปมากจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ว่าไงพ่อหนุ่มมากเสน่ห์ มีสาวมาติดกับดักนายเข้าแล้วนะ!” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยเม้มริมฝีปากและพยายามไม่สนใจวิญญาณที่อยู่ข้าง ๆ ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่ก้อนหิน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประทับใจกับคำพูดของแอวริลอยู่ไม่น้อย
‘ดูเหมือนแอวริลจะโตขึ้นนะ’ เซี่ยเฟยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับคิดภายในใจ
—
ช่วงเวลากลางคืน
เซี่ยเฟยนอนพลิกตัวไปมาไม่ยอมหลับเนื่องมาจากว่าร่างกายของเขาใกล้จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่แล้ว มันจึงใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปในไม่ช้า แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแอวริลมันก็ทำให้เขายังรู้สึกไม่สบายใจ
โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้เห็นหญิงสาวเติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลในวันนี้ เขาก็ไม่สามารถจากไปอย่างสบายใจได้ เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนจิตใจของเขาก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่เสมอ
เซี่ยเฟยตัดสินใจลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าโดยต้องการจะไปเดินเล่นภายในสวน ซึ่งในขณะที่เขาเดินออกมาจากห้องเขาก็ได้เห็นผางชิงยืนอยู่ที่ทางเดิน และมีแถวบอดี้การ์ดยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นแนวยาว
ชายหนุ่มยิ้มพยักหน้าให้ผางชิงแทนคำทักทายและเมื่อเขาได้มองผ่านหน้าต่างของห้องถัดไป เขาก็ได้เห็นแอวริลกำลังนอนหลับสนิทโดยมีตุ๊กตาลูกแกะสีชมพูอยู่ในอ้อมแขน
ขณะที่เซี่ยเฟยกำลังจะเดินไปที่ลิฟต์จู่ ๆ เขาก็หยุดและหันไปพูดกับผางชิงว่า
“ไปคุยกันที่สวนหน่อยไหมครับ”
ถึงแม้ว่าผางชิงจะพยายามขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหัวหน้าบอดี้การ์ดคนนี้แต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดแอวริลก็เคยเล่าเรื่องพ่อลูกตระกูลผางให้เขาฟังแล้วหลายครั้ง เธอจึงมองพ่อลูกคู่นี้ไม่ต่างไปจากปู่และพ่อทูนหัวของเธอ
“ผมปล่อยคุณหนูไปไม่ได้” ผางชิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พวกเราแค่ลงไปคุยตรงชั้นล่างเอง ไม่ได้ไปไหนไกล” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
ผางชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะเดินตามชายหนุ่มลงไปยังสวนที่ชั้นล่าง
เซี่ยเฟยนั่งลงบนสนามหญ้าอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ขณะที่ภายในมือของเขายังคงคีบบุหรี่ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง
ผางชิงเลือกที่จะยืนอยู่ไม่ไกลและหามุมที่เหมาะสมเพื่อที่เขาจะได้มองเห็นห้องของแอวริลอยู่ในสายตา
“หากคุณคิดจะปกป้องเธอสิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องใช้ไม่ใช่ดวงตาแต่เป็นประสาทสัมผัสที่เฉียบคม คุณจะทำยังไงถ้าหากคนลงมือเป็นผู้ที่มีความเร็วเกินกว่าสายตาจะรับรู้ได้ เพราะกว่าที่คุณจะได้เห็นเขาคนนั้นมันก็คงจะสายเกินไปแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผางชิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พยักหน้ารับและพูดว่า
“พ่อเล่าให้ผมฟังว่าประสาทการรับรู้ของคุณเฉียบคมมาก ในวันนั้นมีแค่คุณกับพ่อเพียงแค่สองคนที่สัมผัสได้ถึงอันตราย แต่คุณสัมผัสถึงอันตรายได้ก่อนพ่อของผมเสียอีก นั่นแสดงว่าประสาทการรับรู้ของคุณช่างแข็งแกร่งจริง ๆ”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรกลับไป
ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมเกิดขึ้นมาจากการพยายามตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบและทำนายว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น ความสามารถนี้ไม่ใช่ความสามารถที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนตามปกติ ดังนั้นถึงแม้นักสู้จะมีระดับการฝึกฝนที่สูงมากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมตามไปด้วย
“ทำไมพ่อของคุณถึงไม่มาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“พ่อยังต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในคฤหาสน์ เขาบอกว่าเหตุการณ์นี้ต้องสอบสวนทุกคนในวันนั้นให้กระจ่างชัด ในเมื่อคุณคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูแล้วถึงแม้เขาจะมาสถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก” ผางชิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ความคิดพ่อของคุณสอดคล้องกับความคิดของผม คุณพอจะบอกผมได้ไหมครับว่าการสืบสวนคืบหน้าไปบ้างหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ถ้าผมรู้ว่าไอ้บ้านั้นเป็นใครผมไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน!” ผางชิงกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
เซี่ยเฟยดับบุหรี่มวนเดิมแล้วเริ่มจุดบุหรี่มวนใหม่
การเสพติดบุหรี่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะถ้าหากว่าผู้สูบไม่ได้สูบบุหรี่ในช่วง 2-3 วันอาการติดบุหรี่ของพวกเขาก็ดูคล้ายจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังเสพติดความช่วยเหลือจากสารนิโคตินในระหว่างที่เขาพยายามใช้ความคิดอีกด้วย
“คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าถ้าหากแอวริลตายใครจะได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่มีทาง! คุณหนูจะตายไม่ได้!!” ผางชิงตอบกลับไปด้วยความโกรธ
“ใจเย็น ๆ ครับ ไม่มีใครอยากให้แอวริลตายหรอก ผมแค่พยายามพูดเปรียบเปรยเพื่อจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
ผางชิงกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงก่อนที่เขาจะฝืนใจตอบกลับไปว่า
“นอกเหนือจากคุณหนูกับตระกูลผางมีเพียงแค่นายท่านใหญ่และนายท่านรอง เพราะผู้อาวุโสในส่วนที่เหลือเกษียณตัวเองปลีกวิเวกไปหมดแล้ว ถ้าหากคุณหนูหายตัวไปจริง ๆ ตระกูลเจี่ยนจะไม่มีผู้สืบทอดและมันก็จะไม่มีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้”
“คุณแบ็ตตี้ไม่มีลูกหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่มี นายท่านรองประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ยังเด็กทำให้แม้แต่เรื่องนั้น…” ผางชิงเริ่มลังเลที่จะพูด เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนรับใช้ของตระกูลเจี่ยนแล้วมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากเขาจะพูดนินทาเจ้านายออกไป
“แบบนี้นี่เอง” เซี่ยเฟยพึมพำออกมา
“ทำไมคุณถึงต้องถามเรื่องพวกนี้ด้วย” ผางชิงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่อยากรู้เฉย ๆ” เซี่ยเฟยตอบบ่ายเบี่ยงออกไปโดยไม่บอกว่าเขากำลังคิดอะไร เพราะเขาต้องระวังทุก ๆ คนจนกว่าเรื่องนี้จะได้ข้อสรุป
คำถามที่ดูไร้สาระของชายหนุ่มได้กระตุ้นความอยากรู้ของผางชิงมาก มันจึงทำให้เขาดูกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย
“คุณหนูเคยบอกว่าคุณเป็นคนที่ฉลาดมาก ถ้าคุณพบเงื่อนงำอะไรช่วยเล่าให้ผมฟังด้วย ผมสัญญาว่าผมจะไม่เอาไปบอกใครทั้งนั้น”
“ไม่ต้องห่วง มันไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ผมไม่เชื่อใจคุณหรอกครับ ถ้าผมสามารถยืนยันอะไรได้ผมจะรีบแจ้งให้คุณทราบทันที” เซี่ยเฟยกล่าว
ผางชิงถอนหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างห้องของแอวริล
“ถ้าผมเดาไม่ผิด ที่นายท่านเรียกคุณไปคุยนั่นก็เพราะว่าเขาต้องการให้คุณกลับไปได้แล้วคุณตอบนายท่านไปว่ายังไง?” ผางชิงถาม
“คุณคิดว่าผมควรจะตอบยังไงล่ะ?” เซี่ยเฟยถามกลับอย่างเจ้าเล่ห์
“เรื่องนี้มันพูดยาก การปล่อยคุณเอาไว้กับคุณหนูก็คงจะไม่ดีกับตระกูลเจี่ยนมากนัก แต่ถ้าคุณจากไปคุณหนูก็จะไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน ถ้าหากเป็นไปได้ผมก็อยากจะเห็นเธอมีความสุข” ผางชิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้ช่วยแอวริลเอาไว้เขาก็ไว้วางใจชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น
“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณนิวแมนแต่มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวแอวริลเอง”
“คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง” ผางชิงกล่าวด้วยอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิด
“ถ้าผมทิ้งแอวริลไปชีวิตเธอจะดีขึ้นไหม? แล้วถ้าผมอยู่กับเธอมันมีอะไรรับประกันว่าชีวิตเธอจะแย่ลงหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามกลับ
“ไม่มีใครบอกได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น” ผางชิงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถูกต้องครับ ถ้าหากเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเธอ แอวริลก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของตัวเอง เหตุผลที่ผมยังอยู่ไม่ใช่เพราะผมต้องการสมบัติของตระกูลเจี่ยน พูดตามตรงนะว่าผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นมาก่อนเลย”
“สำหรับผมแล้วเงินทองไม่ใช่ของหายาก แต่ถึงแม้ว่าผมจะมีเงินมากมายผมก็ไม่สามารถหาใครที่เหมือนแอวริลได้ สิ่งที่ผมสนใจจริง ๆ มีแค่แอวริล ดังนั้นผมจึงเคารพการตัดสินใจของเธอ”
คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้ผางชิงตาเบิกกว้างด้วยความประทับใจ ซึ่งหลังจากที่เขาเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า
“คุณพูดถูกและผมก็เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าคุณรักคุณหนูมากแค่ไหน”
“คุณอาจจะยังไม่รู้แต่อีกไม่นานผมก็จะไปจากนครหลวงแล้ว แต่ผมยังทำใจปล่อยแอวริลเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ถ้าคุณเชื่อใจผมช่วยทำอะไรให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึม
***************