ตอนที่ 159: เหตุและผล
ตอนที่ 159: เหตุและผล
เซี่ยเฟยเคยพูดจริง ๆ ว่าแอวริลเป็นผู้หญิงของเขา แต่ในตอนนั้นเขากำลังโกรธมากคำพูดบางคำจึงหลุดออกมาโดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ความเป็นจริงเซี่ยเฟยกับแอวริลยังไม่ได้แต่งงานกัน ดังนั้นการบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
“ฉันพูดแบบนั้นจริง ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกผู้ชายเขาจึงจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง
หลังจากพูดจบเซี่ยเฟยก็สังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวอย่างเงียบ ๆ และเขาก็ได้เห็นว่าใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเข้มราวกับว่ามันกำลังจะมอดไหม้
หญิงสาวเอามือทั้งสองข้างมาปิดแก้มเอาไว้พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยความเขินอายโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ขณะเดียวกันหลังจากหมอได้รู้ว่าเซี่ยเฟยฟื้นคืนสติแล้วพวกเขาก็เดินเข้ามาภายในห้องเพื่อที่จะตรวจอาการ แต่หลังจากที่เขาพูดคุยกับชายหนุ่มเพียงแค่ 2-3 คำ พวกหมอพยาบาลก็รีบออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าเซี่ยเฟยกับแอวริลกำลังต้องการเวลาส่วนตัว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อยากจะอยู่รบกวนวัยรุ่นที่กำลังพูดคุยกัน
โชคดีที่ถึงแม้ว่าร่างกายของเซี่ยเฟยจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ตราบใดก็ตามที่เขาได้รับการรักษาตัวอย่างดี 2-3 วันเขาก็จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ขณะเดียวกันการฝืนใช้ดีม่อนแอคซ้ำ ๆ กันถึงสองครั้งก็ไม่ได้สร้างความเสียหายที่ร้ายแรงให้กับสมองของเขาเลย ซึ่งมันก็ทำให้แม้แต่อันธก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ย้อนกลับไปในเวลานั้นชายหนุ่มได้ทำการขยายคลื่นสมองในระดับที่คนทั่วไปไม่สามารถจะจินตนาการได้ ซึ่งการทำแบบนั้นแม้แต่วินาทีเดียวก็มากพอที่จะทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แล้วมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงการที่สมองจะได้รับบาดเจ็บในกระบวนการนี้เลย
แน่นอนว่าอันธย่อมหาเหตุผลอื่นนอกจากมันเป็นข้อดีของการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ และดูเหมือนว่าการที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์จะกลายเป็นเครื่องรางที่ช่วยชีวิตของเขามาแล้วหลายครั้ง
กลุ่มดาวนครหลวงมีระบบการแพทย์ที่ทันสมัยมากที่สุดภายในพันธมิตรและโรงพยาบาลแห่งนี้ยังเป็นโรงพยาบาลในเครือของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ด พวกเขาจึงให้การดูแลชายหนุ่มเป็นอย่างดีโดยไม่คำนึงถึงราคาที่พวกเขาจะต้องเสียไป
ระหว่างที่เซี่ยเฟยอยู่ในอาการโคม่าพวกหมอพยาบาลได้จัดการรอยแผลบนผิวหนังทั่วทั้งร่างกายของเขาแล้ว ทำให้ทั่วทั้งร่างกายไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นใด ๆ และผิวของเขาก็สะอาดใสราวกับเด็กทารก
น่าเสียดายที่ผมของเขายังคงดูเป็นสีเทา มันจึงทำให้เขาดูแก่กว่าอายุจริงอยู่เล็กน้อย
ตลอดเวลาเซี่ยเฟยและแอวริลได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานคล้ายกับพวกเขาเป็นคู่รักกันจริง ๆ
แต่เดิมแอวริลเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การหายตัวของเซี่ยเฟยไปอย่างกะทันหันและเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เธอเอาแต่เศร้าเสียใจจนคล้ายจะเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ให้คำแนะนำเธออย่างอดทนเพื่อให้เธอกลับมาเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงเหมือนเดิม
ในเวลาเดียวกันแอวริลก็เชื่อฟังคำพูดของเขาเป็นอย่างดี มันจึงทำให้ความขุ่นมัวภายในใจของเธอค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา แล้วมันก็ทำให้เธอเริ่มกลับมากลายเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงสดใสอีกครั้ง
น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยไม่สามารถเล่าเรื่องที่เขาหายไปในดาวมรดกได้ แต่หญิงสาวก็ให้ความไว้วางใจในตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดี เมื่อเขาไม่อยากที่จะเล่าเรื่องนี้เธอจึงไม่คิดที่จะเซ้าซี้ให้เขาตอบคำถาม
ปัจจุบันแอวริลกำลังยื่นสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดเข้าไปภายในปากของเซี่ยเฟย โดยที่ชายหนุ่มอ้าปากรับบริการป้อนอาหารจากหญิงสาวอย่างสบายใจ
บางครั้งเซี่ยเฟยก็ไม่อยากจะเชื่อกับตัวเองว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับจะมีเพียงแต่ในเทพนิยาย แต่เขากลับได้มาประสบพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยตัวเอง
“อร่อยไหม?” แอวริลถามด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับพร้อมกับมองไปยังบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงนอกหน้าต่าง
“พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีไหม ฉันเบื่อที่จะอยู่แต่ในห้องแล้ว”
เซี่ยเฟยเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่จะต้องนอนอยู่แต่บนเตียงในช่วง 2-3 วันนี้ เพราะเขากำลังรู้สึกราวกับว่ามันได้มีอะไรบางอย่างขาดหายไป
ในความเป็นจริงเหตุผลสำคัญที่ชายหนุ่มอยากออกมาข้างนอกนั่นก็เพราะว่าเขาอยากจะสูบบุหรี่ แต่เขากลัวว่าถ้าเขาสูบบุหรี่ภายในห้องแอวริลจะสำลักควัน ดังนั้นเขาจึงต้องแอบออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกหลังจากที่แอวริลหลับไปแล้วเท่านั้น ซึ่งการแอบดูดบุหรี่แบบนี้แหละมันก็เริ่มทำให้เขารู้สึกอึดอัด
“เดี๋ยวฉันไปหารถเข็นมาให้” แอวริลกล่าว
“ไม่ต้องเลยฉันไม่ใช่คนพิการที่จะต้องนั่งรถเข็นสักหน่อย” เซี่ยเฟยโบกมือไปมาพร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อเซี่ยเฟยยืนกรานที่จะปฏิเสธแอวริลก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดกีฬาและกำลังจะเดินออกไปด้านนอก แต่ทันใดนั้นหญิงสาวก็เดินเข้ามาเกาะแขนของเขาเอาไว้
เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธการควงแขนของหญิงสาวและจู่ ๆ มันก็ได้มีความอบอุ่นผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา
ด้านนอกมีบอดี้การ์ดยืนเข้าแถวอยู่เต็มทางเดิน โดยแต่ละคนมีรูปร่างส่วนใหญ่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกเกรงกลัว แต่บอดี้การ์ดพวกนี้ไม่ใช่บอดี้การ์ดกลุ่มเดียวกับที่เซี่ยเฟยได้เจอในคฤหาสน์ เพราะหลังจากที่แอวริลถูกลักพาตัวไปบอดี้การ์ดพวกนั้นก็ถูกลงโทษอย่างหนักจนทำให้การตกงานกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
การที่บอดี้การ์ดชุดเก่าตกงานทั้งหมดทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขาอยู่เล็กน้อย แต่ความสามารถของพวกเขาก็ไม่เป็นที่น่าพอใจจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันอาจจะมีคนของศัตรูแอบแฝงอยู่ในบอดี้การ์ดพวกนั้นด้วย มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกบอดี้การ์ดชุดเก่าจะได้ถูกปลดระวางออกไป
เมื่อได้เห็นแอวริลควงแขนเซี่ยเฟยออกมาจากห้อง ลูกกะตาของบอดี้การ์ดพวกนี้ก็เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า
แอวริลคือหนึ่งในหญิงสาวที่มีชื่อเสียงที่สุดในพันธมิตรและการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเธอก็มีความเกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงของพันธมิตรทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือแอวริลกำลังควงแขนของเซี่ยเฟยอยู่จริง ๆ
แววตาของบอดี้การ์ดเต็มไปด้วยความประหลาดใจ, ความอิจฉาและความเกลียดชังปะปนกันไปหมด แต่เซี่ยเฟยก็ยังคงไม่สนใจพวกบอดี้การ์ดเช่นเดิมราวกับว่าคนพวกนี้เป็นเพียงแค่อากาศ
ในบรรดาบอดี้การ์ดทั้งหมดนี้มีชายหัวโล้นคนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกปลดประจำการออกไป เพราะเขาคนนี้คือผางชิงลูกชายของพ่อบ้านผาง ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกสอบสวนหลังจากเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นการรักษาความปลอดภัยในระหว่างที่เซี่ยเฟยรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลตกอยู่กับผางชิงทั้งหมด ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าตระกูลเจี่ยนให้ความสำคัญและให้ความไว้วางใจพ่อลูกตระกูลผางคู่นี้มากแค่ไหน
“เร็ว ๆ เข้า! คุณหนูกำลังจะออกไปข้างนอก รีบเคลียร์คนออกไปให้หมดอย่าให้พวกนักข่าวเข้ามาเก็บภาพของคุณหนูไปได้!!” ผางชิงตะโกนสั่งการอย่างจริงจัง
บอดี้การ์ดหลายร้อยคนที่อยู่นอกโรงพยาบาลเริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วนและทำการกีดกันคนนอกออกไปในรัศมีมากกว่า 10 กิโลเมตร
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสถานการณ์ภายในตระกูลเจี่ยนก็ตึงเครียดในทันที ทำให้มีบอดี้การ์ดประจำการอยู่ใกล้ ๆ กับโรงพยาบาลมากกว่า 1,000 คน และสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือปกป้องแอวริลให้ปลอดภัยที่สุด
“คุณหนูจะออกไปข้างนอกใช่ไหมครับ?” ผางชิงเดินเข้ามาหาแอวริลหลังจากจัดการสั่งงานพวกลูกน้อง
“อือ หนูกับเซี่ยเฟยจะไปเดินเล่นในสวน ขอทางด้วย” แอวริลกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองผางชิง
“คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้จะมาห้ามไม่ให้คุณหนูไปเที่ยวกับคุณเซี่ย แต่คุณหนูช่วยรออีก 2-3 นาทีได้ไหมครับ ตอนนี้มันมีพวกนักข่าวกระจายกันอยู่ทั่วทั้งโรงพยาบาลและมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากที่อยู่ของคุณหนูถูกเปิดเผยออกไป” ผางชิงกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ถ้าพวกเขาอยากจะถ่ายรูปก็ปล่อยพวกเขาไปสิ หนูกับเซี่ยเฟยไม่ได้กลัวพวกนักข่าวพวกนั้นสักหน่อย” แอวริลกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมพร้อมกับกระชับกอดแขนของเซี่ยเฟยเอาไว้แน่น
แอวริลเลือกที่จะแสดงความดื้อรั้นออกมาอย่างชัดเจน เพราะท้ายที่สุดเซี่ยเฟยก็เป็นคนช่วยชีวิตของเธอไว้ เธอจึงคิดจะอยู่กับชายหนุ่มโดยไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น
ท่าทางของหญิงสาวทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่เขาก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับหันไปพูดกับหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาว่า
“นักข่าวพวกนั้นไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่สำคัญคือถ้ามันมีข่าวหลุดออกไปพวกศัตรูอาจจะมุ่งเป้ามาที่เธออีกครั้งหนึ่งก็ได้ พวกเราควรจะรอตามที่เขาแนะนำจะดีกว่านะ”
“งั้นรอก่อนก็ได้” แอวริลกล่าวพร้อมกับหันไปมองหน้าเซี่ยเฟยด้วยรอยยิ้ม
ผางชิงเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก เพราะเขาคงจะไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ของหญิงสาวคนนี้ได้ โชคดีที่เซี่ยเฟยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถหยุดแอวริลเอาไว้ได้จริง ๆ
แต่การที่แอวริลเชื่อฟังคำพูดของเซี่ยเฟยมันก็ทำให้ผางชิงกับบอดี้การ์ดทุกคนรู้สึกไม่ค่อยพอใจด้วยเหมือนกัน
“เฮ้อ! พวกเราก็ปรารถนาดีเหมือนกัน ทำไมถึงมองเหมือนกับพวกเราเป็นคนร้ายได้เนี่ย”
“คุณหนูเชื่อฟังผู้ชายคนนั้นมากเลย บางทีเธออาจจะชอบเขาจริง ๆ”
“ไอ้หนุ่มนั่นกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารแล้วสินะ”
พวกบอดี้การ์ดต่างก็เริ่มนินทาเซี่ยเฟยภายในใจ โดยสนใจแต่ว่าแอวริลปฏิบัติตัวต่อเซี่ยเฟยอย่างไรและไม่เคยสนใจเลยว่าก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้เสี่ยงชีวิตช่วยแอวริลเอาไว้
ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องการเสี่ยงชีวิตช่วยแอวริลเหมือนกัน แต่มันจะมีใครสักกี่คนที่มีความสามารถมากพอจะทำแบบนั้นได้
เรื่องทุกอย่างต่างก็มีเหตุและผลของตัวเอง ท้ายที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเซี่ยเฟยกับแอวริลก็เริ่มจากคนแปลกหน้าที่พูดคุยกันทางอินเตอร์เน็ตกลายเป็นเพื่อนพูดคุยที่รู้ใจ และสุดท้ายชายหนุ่มก็เสี่ยงชีวิตช่วยหญิงสาวโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ดังนั้นถึงแม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะยังไม่ใช่คู่รักแต่มันก็อยู่ห่างจากการเป็นคู่รักเพียงแค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเฟยกับแอวริลก็เดินออกมานอกโรงพยาบาลไปยังสวนที่มีสะพานข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ
ระหว่างทางเซี่ยเฟยได้พบว่าผู้คนทั้งหมดถูกต้อนออกไปจนหมดแล้วทำให้ทั้งโรงพยาบาลตกอยู่ในความว่างเปล่าเพื่อความปลอดภัยของแอวริล
ถึงแม้ว่าสวนในฤดูใบไม้ร่วงจะไม่ได้งดงามเหมือนกับสวนในฤดูร้อน แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงยังไงภาพที่ใบไม้สีทองกำลังร่วงหล่นอย่างต่อเนื่องและสายลมที่กำลังพัดโชยเข้ามาก็เป็นบรรยากาศที่งดงามสำหรับทั้งสองคนอยู่ดี
เซี่ยเฟยเริ่มได้สูบบุหรี่สมใจขณะที่เดินไปยังศาลากลางทะเลสาบ จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนเพื่อมองดูสวนดอกบัวบนสระน้ำ
แอวริลกอดแขนเซี่ยเฟยอยู่อย่างเงียบ ๆ เพื่อสัมผัสกับความสุขและความอบอุ่นบนใบหน้าของเธอ
“มันคงจะดีถ้าพวกเราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป” แอวริลส่งเสียงกระซิบขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่เผยรอยยิ้มอย่างไม่พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดลุงพอตเตอร์ก็กำลังรอเขาอยู่ในภูมิภาคดาวมฤตยู ดังนั้นเมื่อเขาหายดีเขาก็ต้องรีบออกเดินทางเพียงแต่เขายังไม่รู้ว่าจะบอกหญิงสาวว่ายังไงดี ยิ่งไปกว่านั้นคดีลักพาตัวก็ยังไม่คลี่คลายเขาจึงยังไม่อยากปล่อยเธอเอาไว้ที่นี่เพียงคนเดียว
บอดี้การ์ดรอบทะเลสาบสร้างความรำคาญให้ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้และหลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง แต่การซ่อนตัวของพวกเขาก็หนีไม่พ้นประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเซี่ยเฟยได้อยู่ดี
หนุ่มสาวนั่งพูดคุยกันไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ผางชิงจะเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่หูของชายหนุ่ม
คำพูดพวกนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นมาว่า
“เข้าใจแล้ว ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
***************