ตอนที่ 158: พบหน้า
ตอนที่ 158: พบหน้า
เซี่ยเฟยที่อยู่ในอาการโคม่ากำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน โดยเขากำลังฝันว่ามียานรบขนาดใหญ่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนกำลังแล่นไปสู่ทะเลดวงดาวอย่างช้า ๆ
การพยายามอธิบายความตกตะลึงในความฝันเป็นคำพูดคือเรื่องที่ยากมาก เพราะยานลำใหญ่ในฝันมีขนาดมากกว่าโลกหลายสิบเท่า โดยมันเป็นยานลำสีทองที่โดดเด่นท่ามกลางจักรวาลที่เป็นสีดำ
ทันใดนั้นลำแสงอันเจิดจ้าก็ได้แพร่กระจายออกไปโดยมียานรบลำนี้เป็นจุดศูนย์กลางคล้ายกับว่ามันมีพระอาทิตย์มารวมตัวกันหลายสิบดวง ทำให้แสงสว่างที่เกิดขึ้นมามีความเจิดจ้าจนมองไม่เห็น
ในเวลาต่อมาแสงสว่างพวกนี้ก็หายไปพร้อมกับดวงดาวน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น
ดวงดาวหายไปไหน?
ลำแสงนั้นทำลายดาวเคราะห์ได้ทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรอ?
ยานรบลำนี้ยังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้าเหมือนสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าออกไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่จะสามารถมาหยุดยั้งมันได้
ไม่ว่ามันจะเดินทางไปที่ไหนก็จะไม่หลงเหลืออะไรอยู่ตามเส้นทางของมันเลย ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์, ยานรบหรือแม้กระทั่งหลุมดำที่น่าสะพรึงกลัว ต่างก็ล้วนแล้วแต่ดูอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้ายานลำนี้
ภาพที่เซี่ยเฟยเห็นคล้ายกับยานลำนี้คือผู้อยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาล ผู้ซึ่งได้รับภารกิจในการทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าและชักนำจักรวาลอันไร้ขอบเขตไปสู่ความพินาศในที่สุด
ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดไปทั่วทั้งตัว โดยภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถจะอธิบายได้
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาภาพที่เขาเห็นคือทุกสิ่งที่เต็มไปด้วยสีขาว แต่หลังจากที่เขากระพริบตา 2-3 ครั้งภาพทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อย ๆ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เพดานสีขาวบริสุทธิ์ด้านบนดูสะอาดเหมือนใหม่ โดยในอากาศมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยเข้ามาในจมูก
ร่างกายของเขายังคงอ่อนแอเซี่ยเฟยจึงพยายามใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเองขึ้นมา แต่เขาก็แทบที่จะไม่สามารถลุกนั่งขึ้นมาได้
แต่เมื่อลุกขึ้นนั่งเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าเขาได้อยู่ในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่หรูหรา มีแจกันเรียงรายอยู่แถวขอบหน้าต่างและมีหยดน้ำเกาะอยู่บนกลีบดอกไม้ที่บอบบาง ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าดอกไม้พวกนี้เพิ่งจะถูกเด็ดมา
บริเวณข้างเตียงมีเด็กสาวตัวเล็กที่มีผมบลอนด์ยาวนอนหลับอยู่ แต่มือทั้งสองข้างของเธอก็ยังคงกอดต้นขาของเซี่ยเฟยเอาไว้
“แอวริล?” เซี่ยเฟยอุทานด้วยดวงตาอันเปล่งประกาย
เนื่องจากเธอนอนหลับฟุบตัวลงบนเตียงเขาจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเธอได้ชัด เซี่ยเฟยจึงค่อย ๆ ลดศีรษะเพื่อมองดูเด็กสาวที่เขารู้จักมานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสพบหน้ากันจริง ๆ สักครั้ง
โดยปกติเนื่องจากระบบสแกนที่แฝงไปด้วยฟิลเตอร์มันจึงทำให้ภาพของผู้คนที่ปรากฏบนหน้าจอสื่อสารดูดีกว่าตัวจริง แต่แอวริลที่เขาเห็นตรงหน้ากลับดูน่ารักมากกว่าแอวริลที่เขาเคยเห็นผ่านหน้าจอ
ใบหน้าของเธองดงามราวกับรูปปั้น, ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ, ริมฝีปากของเธอเรียวบางราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายเรียกได้ว่าใบหน้าของเด็กสาวคนนี้แทบจะมีความสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของหญิงงาม
น่าเสียดายที่ใต้ดวงตามีรอยคล้ำให้เห็นอยู่เล็กน้อย แล้วมันก็มีคราบน้ำตาที่ยังมองเห็นได้จาง ๆ
หลังจากเฝ้าดูมาเป็นเวลานานเซี่ยเฟยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหยิบบุหรี่ที่เหลือครึ่งกล่องออกมาจากแหวนมิติ แต่ในขณะที่เขากำลังจะจุดไฟแช็คเขาก็หยุดอย่างกะทันหัน
“เอาไว้ก่อนก็แล้วกันกลิ่นควันน่าจะเหม็น ปล่อยเธอนอนพักไปน่าจะดีกว่า” เซี่ยเฟยกระซิบกับตัวเอง
เซี่ยเฟยพยายามระงับความอยากบุหรี่ที่กำลังพลุ่งพล่าน ก่อนที่จะวางบุหรี่และไฟแช็คลงบนโต๊ะข้าง ๆ จากนั้นเขาก็พยายามดื่มน้ำเข้าไปเยอะ ๆ
หลังจากใช้แขนเสื้อเช็ดปากชายหนุ่มก็เอนหลังพิงหมอนพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย
“ฉันหลับไปนานแค่ไหน?” เซี่ยเฟยถามอันธ
“3 วัน”
“นานขนาดนั้นเลยหรอ... 3 วันมานี้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง? แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หลังจากที่นายตกลงไปข้างล่างนายก็ตกอยู่ในอาการโคม่า ยานอวกาศของพวกสำนักวิหคสังหารโดนสอยจนระเบิดเนื่องจากเตาปฏิกรณ์ถูกทำลาย จากนั้นพ่อบ้านผางก็มาถึงและรีบส่งนายมาโรงพยาบาล นายเลยนอนอยู่ในอาการโคม่าตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงตอนนี้” อันธอธิบายสั้น ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
“คนในห่อคือแอวริลหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับมองไปยังเด็กสาวที่นอนอยู่ข้างเตียง
“ใช่ คนในห่อคือแอวริลจริง ๆ โชคดีที่นายช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน หากนายช้ากว่านี้อีกแค่ไม่กี่วินาทีนายก็อาจจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“เธอสลบด้วยผลของน้ำยาที่มีชื่อว่าโรสแมรี่ทำให้เธอสลบไปวันหนึ่งเต็ม ๆ แต่หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วรู้เรื่องของนาย เธอก็นอนเฝ้านายอยู่ที่นี่ตลอด 2 วันโดยไม่ออกไปไหนเลย”
“ระหว่างนั้นเธอขอให้คนเปิดภาพวงจรปิดของวันเกิดเหตุให้เธอดู ซึ่งเมื่อเธอเห็นนายตกลงมาในหุบเขาพร้อมกับเธอในอ้อมแขนและพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ เธอก็น้ำตาไหลอยู่หลายครั้งและมันก็ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจตามไปด้วย”
“เธอคนนี้เป็นเด็กดีจริง ๆ ตลอด 2 วันที่ผ่านมาเธอโทษตัวเองมาโดยตลอด ถ้าเธอตื่นแล้วนายอย่าลืมปลอบเธอด้วยล่ะ ถึงยังไงนายก็เป็นต้นตอของความเสียใจที่เธอรู้สึก”
“อืม” เซี่ยเฟยพยักหน้าพร้อมกับใช้นิ้วม้วนผมสีบลอนด์ของหญิงสาวเบา ๆ ก่อนที่จะลูบผมของเธอ
“นายรู้ไหมว่าทำไมแอวริลถึงไม่อยากเจอฉัน” เซี่ยเฟยถาม
“มันไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเจอนายแต่มีใครบางคนไม่ต้องการให้นายพบกับเธอต่างหาก ถ้าฉันเดาไม่ผิดคนคนนั้นน่าจะเป็นพ่อของแอวริล ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจมากที่เห็นนายกับแอวริลรักกัน” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เมื่อวานแอวริลทะเลาะกับพ่อของเธออย่างหนักและตั้งแต่นั้นพ่อของเธอก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลยจนถึงตอนนี้”
“นายรู้ไหมว่าแอวริลถึงกับจะตัดขาดพ่อลูกเพราะนายเลยนะ สาวน้อยคนนี้ค่อนข้างกล้าหาญเลยทีเดียวถึงแม้ว่าเธอจะตัวแค่นี้ก็ตาม” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสักหน่อย นายจะตลกอะไรนักหนา ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของเธอ!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นั่นก็จริง แต่นายน่าจะได้เห็นว่าเธอก้าวร้าวมากแค่ไหนในการพยายามปกป้องนายเอาไว้ ถ้าพ่อของเธอไม่ยอมถอยกลับไปเธออาจจะต้องตัดขาดกับครอบครัวของเธอจริง ๆ” อันธกล่าว
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยเงียบเสียงลง เพราะไม่ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์อะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ถ้าหากว่าแอวริลจะตัดขาดกับครอบครัวเพราะเรื่องของเขา ชายหนุ่มจึงพยายามคิดว่าเขาจะปลอบเธอยังไงดีหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอผอมลงมากกว่าเดิมและใบหน้าของเธอก็ดูซีดเซียวอยู่เล็กน้อย
“ใครมันกล้าลักพาตัวแอวริลไป ฉันจะตามไปจัดการมันซะ!” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังพร้อมกับความรู้สึกสงสารเด็กสาวที่เกิดขึ้นในจิตใจ
“นายมีใครที่สงสัยอยู่ในใจหรือเปล่า?” อันธถาม
“นายจะล้อเล่นหรือเปล่า ฉันเพิ่งมาถึงนครหลวงได้เพียงแค่ไม่กี่วันแล้วฉันจะไปสงสัยใครได้ที่ไหน แต่ถ้าหากพิจารณาจากสถานการณ์ทุกคนที่อยู่ในเขตคฤหาสน์ตอนนั้นก็น่าสงสัยหมดนั่นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ทำไมล่ะ?” อันธถาม
“อย่าลืมว่าที่นี่คือกลุ่มดาวนครหลวงที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา นายคิดว่าการที่นักฆ่าเลือกลงมือในเวลากลางวันแล้วมีเป้าหมายเป็นบ้านของตระกูลอันดับต้น ๆ ของพันธมิตรเป็นเรื่องปกติหรือยังไง มันจะต้องมีคนแจ้งเรื่องที่ฉันก่อความวุ่นวายในคฤหาสน์แล้วพวกเขาก็ฉวยโอกาสนี้ในการลักพาตัวแอวริล”
“มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงแม้ในตอนนั้นมันจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในเขตคฤหาสน์แต่มันก็เป็นปัญหาภายในอยู่ดี ถ้าไม่มีคนส่งข่าวออกไปยังไงนักฆ่าพวกนั้นก็ไม่เลือกลงมือในช่วงเวลากลางวันแสก ๆ” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ฉันคิดว่าคนแจ้งข่าวน่าจะเตรียมการทุกอย่างเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว พวกเขาแค่รอคอยเวลาอันเหมาะสมและฉันก็บังเอิญมาก่อความวุ่นวายเข้าพอดี พวกเขาจึงอาศัยจังหวะนี้ในการลักพาตัวแอวริลไป”
“ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดของฉัน เพราะถ้าฉันไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นมาเธอก็คงจะไม่ถูกลักพาตัวไป” เซี่ยเฟยวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและเมื่อเขาได้นึกถึงวิธีการของผู้ลงมือ มันก็ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“จะว่าไปเด็กคนนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด การเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยก็ไม่ใช่เรื่องที่โชคดีเสมอไปสินะ” อันธมองไปทางแอวริลด้วยสายตาแห่งความสงสาร
“เธอเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเข้าไปยั่วยุใครเลย แต่เธอก็ตกเป็นเป้าหมายของการลักพาตัวได้ ถ้าฉันเดาไม่ผิดความเป็นไปได้มีอยู่เพียงแค่ 2 ทาง”
“ทางเลือกแรกผู้อยู่เบื้องหลังคือศัตรูของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดเพื่อพยายามข่มขู่หรือระบายความโกรธจากการขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
“ทางเลือกที่ 2 น่าจะเป็นญาติ ๆ ของเธอเอง เพราะถ้าแอวริลหายตัวไปคนคนนั้นก็น่าจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด”
“หากเป็นเหตุผลเรื่องแรกมันก็เป็นเรื่องที่พอทำใจยอมรับได้ แต่ถ้าหากมันเป็นเหตุผลในเรื่องที่ 2 มันก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะโหดร้ายเกินไปสักหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าว
เซี่ยเฟยกับอันธช่วยกันพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ตามสิ่งที่พวกเขารู้ แต่เนื่องจากพวกเขายังขาดหลักฐานที่แท้จริงทุกอย่างจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดา นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่เกี่ยวกับแอวริลเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้มากที่สุด
แอวริลยังคงนอนอยู่บนตักอย่างสงบ ในขณะที่เซี่ยเฟยก็อยากให้เธอนอนพักผ่อนไปอีกสักพักเขาจึงพยายามนั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน
เด็กสาวนอนตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นก่อนที่เธอจะขยี้ตาด้วยมือเล็ก ๆ และมองไปยังใบหน้าของเซี่ยเฟยตามความเคยชิน
“ว้าย!”
“เซี่ยเฟย! นายฟื้นแล้ว!!” แอวริลกระโดดออกจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะได้เห็นว่าชายหนุ่มฟื้นคืนสติกลับมาแล้วจริง ๆ
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยใบหน้าของเขายังคงจับจ้องมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
หลังจากเห็นชัด ๆ เขาก็สามารถยืนยันได้ว่าเธอดูดีกว่าภาพที่ปรากฏในหน้าจอ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน
“มีอะไรติดอยู่ที่หน้าฉันหรือเปล่า?” แอวริลถาม
“มี” เซี่ยเฟยพยักหน้า
“อะไรอ่ะ?” แอวริลพยายามเช็ดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ
“ความสวยไง”
แอวริลตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างสดใสพร้อมกับแก้มของเธอที่เริ่มมีสีแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย
“นี่นายล้อเล่นอีกแล้วใช่ไหม!”
เซี่ยเฟยพยายามขยับร่างกายไปด้านหลังเพราะขาของเขาชาเนื่องจากไม่ได้พลิกขามาเป็นเวลานาน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเพราะมันคุ้มค่าแล้วที่ขาข้างนี้สามารถใช้เป็นหมอนให้เธอนอนหลับพักผ่อนได้
“ฉันขอโทษ นายอุตส่าห์มาหาฉันแต่ถูกพวกบอดี้การ์ดที่น่ารำคาญขวางทางไว้ แล้วนายยังจะมาบาดเจ็บแบบนี้เพราะว่ามาช่วยฉันเอาไว้อีก…” แอวริลกล่าวพร้อมกับหยดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
เซี่ยเฟยไม่ชอบภาพผู้หญิงร้องไห้มากที่สุด เขาจึงพยายามใช้มุกตลกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มพูดคุยกันตามปกติเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“ฉันดูวิดีโอจากกล้องวงจรปิดแล้ว แม้แต่พ่อบ้านผางกับพี่ชิงก็เอาชนะนายไม่ได้ ส่วนพวกบอดี้การ์ดก็ไม่กล้าจะสู้กับนายด้วยซ้ำ นายนี่มันสุดยอดจริง ๆ!” แอวริลกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ฟังคำบรรยายจากเด็กสาวอยู่เงียบ ๆ เพราะท้ายที่สุดแอวริลที่ร่าเริงมีเสน่ห์กว่าตอนที่เธอเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“ว่าแต่ตอนนายอยู่ที่ประตู นายบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงของนายหรอ…” แอวริลถามเปลี่ยนหัวข้อด้วยใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
***************
พี่เฟยนี่ก็เลี่ยนใช้ได้นะ ความสวยติดหน้าไง 5555