บทที่ 137: เนื้อสามารถกัดลิ้นของเสี่ยวเหยาได้
เวลาต่อมา หลงโม่ถอนมือออกแล้วหันหลังตั้งท่าจะกลับบ้านตัวเอง
ในขณะเดียวกัน ชายหญิงสูงวัยที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนพื้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่ทั้ง 2 คิดว่าเรื่องนี้คงจะจบลงแล้ว แต่จู่ ๆ มังกรหนุ่มก็เดินกลับมา ทำให้พวกเขารีบยกมือกุมศีรษะของตัวเองพร้อมกับขดตัวไม่ต่างจากลูกบอล
ชายร่างสูงมองคู่สามีภรรยาตรงหน้าอย่างจริงจัง และพูดเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้าอย่าเอาเรื่องที่ข้ามาหาพวกเจ้าไปบอกคนอื่นเสียล่ะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”
อึก!
พ่อกวางแม่กวางพยักหน้าอย่างลนลานแล้วตอบพร้อมกันว่า “ไม่บอก เราจะเย็บปากให้สนิทเลย!”
ดวงตาที่พึงพอใจของหลงโม่กวาดมองทั้งคู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไป
ในบ้านไม้ ลู่หลีกำลังกอดเข่าขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง ในขณะที่ตัวสั่นเทาพลางฟังการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นข้างนอก
เขาไม่กล้าออกไป…
ตั้งแต่เด็กเขาถูกพ่อแม่เอาอกเอาใจจนกลายเป็นคนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ ประกอบกับเขาเติบโตมามีร่างกายใหญ่โต แข็งแรง เขาจึงคอยแต่จะรังแกคนอื่นที่อ่อนแอกว่ามาตลอด จริง ๆ แล้วเขามีความกล้าหาญน้อยกว่าผู้หญิงบางคนด้วยซ้ำ
หลังจากที่หลงโม่กลับไป กวางหนุ่มก็ยิ่งตัวสั่นสะท้านมากขึ้น แล้วจู่ ๆ ความเปียกชื้นที่ใต้บั้นท้ายของเขาก็กระจายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานแอ่งของเหลวสีเหลืองที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ไหลออกมา
นั่นทำให้เด็กหนุ่มแทบคลั่ง
ตั้งแต่นั้นมา ครอบครัวตระกูลลู่ก็มีเงามืดคอยครอบงำจิตใจของพวกเขาตลอดเวลา และทุกครั้งที่ทั้ง 3 คนได้เห็นหน้าหลงโม่ แต่ละคนก็หวาดกลัวจนฉี่ราด
...
ทางด้านหูเจียวเจียวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของพวกลู่หลี
ขณะนี้เธอกำลังจัดการถลกหนังวัวอยู่ที่บ้าน
เนื่องจากหนังวัวสามารถเก็บไว้กินได้หรือว่าจะเอาไปใช้ฟอกเป็นหนังสัตว์เพื่อทำพื้นรองเท้าก็ได้เช่นกัน ด้วยความที่ว่าเธอไม่ได้ขาดแคลนอาหารอะไร ดังนั้นเธอจึงฟอกหนังวัวพวกนี้ตามวิธีที่โหวเซียงสอนและเอาไปตากไว้ในร่ม ตอนนี้ฤดูหนาวใกล้จะมาถึงแล้ว เธอกำลังต้องการรองเท้าอุ่น ๆ เอาไว้ใส่เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายอยู่พอดี
ส่วนเนื้อวัวที่เหลือ นอกเหนือไปจากส่วนอาหารเย็นของวันนี้ รวมถึงเหลือจากที่นำไปรมควันแล้ว เธอยังวางแผนที่จะทำเนื้อสับคั่วพริก*ไว้ด้วย
*肉酱 เนื้อสับปรุงรสที่ทำเก็บเอาไว้ทานกับข้าวหรือบะหมี่ คล้ายกับน้ำพริกบ้านเราที่สามารถเก็บไว้กินได้นาน
แม้ว่าปัจจุบันจิ้งจอกสาวจะไม่ขาดแคลนเนื้อ แต่ในฤดูหนาว เหล่าภูตชายไม่สามารถออกไปล่าสัตว์ได้ ดังนั้นเธอจึงกินได้เฉพาะเนื้อแห้ง ๆ ถ้าเธอได้กินข้าวคลุกเนื้อสับคั่วพริกคงจะดีไม่น้อย
ในฤดูใบไม้ร่วง ภูตจะกินมากขึ้นเพื่อสะสมไขมันไว้สำหรับฤดูหนาว ครอบครัวที่มีสมาชิก 7 คนสามารถกินเนื้อวัวได้มื้อละ 180-250 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ต่อมา หูเจียวเจียวจัดการแบ่งวัวออกเป็น 2 ส่วนอย่างช่ำชอง เธอวางเนื้อครึ่งหนึ่งไว้บนชั้นวาง จากนั้นเธอแล่เนื้อส่วนขามากกว่า 20 ชิ้นออกจากเนื้ออีกครึ่งหนึ่ง และหั่นส่วนที่เหลือเป็นเส้นโดยแขวนไว้บนตะแกรงรมควัน
พอฤดูหนาวมาเยือน เหล่าภูตจะกินน้อยลง แต่ครอบครัวของหญิงสาวเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้นพวกเธอจึงต้องกินธัญพืชอย่างน้อย 20-30 กิโลกรัมต่อวัน หากคำนวณตามนี้โดยไม่มีอะไรผิดพลาด เธอกับหลงโม่และลูกทั้ง 5 จะไม่อดอยากในตอนฤดูหนาว มิฉะนั้นทุกคนจะต้องลดปริมาณการกินลงอีก
เพียงแต่ว่ามังกรหนุ่มไม่เคยอยู่บ้านมาก่อน อีกทั้งจิ้งจอกสาวก็ไม่ได้กักตุนเนื้อไว้มากเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตนมีมิติ ตอนนี้ที่บ้านจึงมีเนื้อรมควันมากกว่า 100 ชิ้น
ยามนี้หญิงสาวเพิ่งวางเนื้อรมควันบนเตาเสร็จ พอเธอหันกลับมาก็พบว่าหลงจงยืนอยู่ข้างหลังตนเอง
“จงเอ๋อ? มีอะไรหรือเปล่า?”
แม่จิ้งจอกอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ เนื่องจากลูกชายคนที่ 3 เป็นคนที่เกลียดแม่ตัวเองมากที่สุดและเขาไม่เคยคิดที่จะเข้ามาหาเธอก่อนเลยสักครั้ง
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กหนุ่มถูกปกคลุมด้วยผมยาว เขาก้มศีรษะลงต่ำโดยไม่มองหน้าผู้เป็นแม่ พลางกำหนังสัตว์บนต้นขาตัวเองด้วยมือทั้ง 2 ข้างอย่างงุ่มง่าม
“ข้า... ขอหนังวัวหน่อยได้ไหม?”
เสียงของหลงจงเบามาก หลังจากที่เขาพูดจบ พวงแก้มที่ซ่อนอยู่ใต้ผมของเขาก็มีความร้อนแผ่กระจายไปทั่ว
เจ้าตัวเล็กรู้ว่าตนมักจะทำท่าไม่ดีต่อแม่จิ้งจอก พอจู่ ๆ เขามาขอร้องอีกฝ่ายอย่างกะทันหันแบบนี้ เขาก็กลัวว่านางจะไม่เห็นด้วย
“ได้สิ” หูเจียวเจียวพยักหน้าตอบโดยไม่ต้องคิดและถามเขาว่า “จงเอ๋อต้องการหนังวัวเท่าไหร่?”
หญิงสาวเลือกที่จะไม่ถามลูกชายว่าเขาจะเอาหนังวัวไปทำอะไร
คนเป็นแม่รู้ว่าเด็กคนนี้มักจะปฏิเสธและไม่ชอบคุยกับตนเอง ดังนั้นหากเขามาขออะไรเธอ แสดงว่าเขามีสิ่งสำคัญมากที่ต้องไปทำ
ทางด้านหลงจงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย เขากัดปากอย่างประหม่า ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วตอบว่า
“ประมาณนี้”
เขาใช้มือวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมขึ้นไปในอากาศ
เวลาถัดมา หูเจียวเจียวเดินไปตัดหนังวัวผืนใหญ่กว่าที่ลูกชายบอก 2 เท่าทันที ในขณะที่หนุ่มน้อยมองหนังวัวผืนใหญ่ไม่วางตา
“รับไปสิ แต่มันยังไม่แห้งนะ เจ้าต้องตากให้แห้งในที่เย็นก่อนเอาไปใช้” แม่จิ้งจอกพูดเตือนระหว่างที่เธอยื่นหนังสัตว์ให้เขา
หลงจงรับมันไว้และรีบพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบคุณ”
จากนั้นเด็กน้อยผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าก็หันหลังวิ่งหนีไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย
หูเจียวเจียวที่มองภาพของเจ้าตัวเล็กส่ายหัวยิ้ม ๆ และก็หันกลับไปหยิบเนื้อน่องที่เพิ่งหั่นออกมาเริ่มทำเนื้อสับคั่วพริก
บัดนี้เนื้อขาใหญ่ถูกหั่นเป็นเส้นแล้ว ก่อนที่เธอจะสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อเอาไปต้มในน้ำ ตามด้วยผัดน้ำมันกับเครื่องเทศ
หญิงสาวผัดเนื้อจนกว่าผิวข้างนอกจะไหม้เกรียมเล็กน้อยจึงค่อยตักออกมาพักไว้
มันทำให้เนื้อส่งกลิ่นหอมเข้มข้นชวนน้ำลายสอ ก่อนจะถูกปรุงรสเพิ่ม
ทันทีที่เนื้อสับถูกยกขึ้นจากเตา ร่างสีดำตัวเล็ก ๆ ก็บินกระดิกหางอยู่เหนืออ่างหิน ร่างนั้นจ้องมองเนื้อข้างในด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ซู้ดด~”
เนื้อน่าอร่อย! เสี่ยวเหยาอยากกิน~
มังกรน้อยแลบลิ้นสีชมพูพร้อมกับมีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากของเขาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะนี้สภาพของเขาไม่ต่างจากลูกหมาที่เห็นนมแม่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าจอมตะกละ” หูเจียวเจียวอดที่จะยิ้มไม่ได้ ก่อนจะตักเนื้อสับ 1 ช้อนเต็มใส่ชามใบเล็กแล้วนำไปวางลงบนโต๊ะ
หญิงสาวกลัวว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะต้องกินเนื้อสับคั่วพริกเปื้อนน้ำลายของหลงเหยาในฤดูหนาวแน่นอน
ส่วนเจ้าตัวเล็กตื่นเต้นมากจนหางของเขาแทบจะกระดิกเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า เขาหลับตาพริ้มพลางขยับจมูกสูดดมกลิ่นตามชามไปที่โต๊ะ
“เนื้อนี้เจ้ากินได้นิดหน่อยเท่านั้นนะ เจ้าต้องเผื่อท้องไว้กินมื้อค่ำด้วย” หูเจียวเจียวเตือนอีกฝ่ายเพราะเกรงว่าเขาจะมาขอเพิ่มอีก
เนื่องจากมังกรน้อยจะกินให้อิ่มทันทีที่เขาได้กิน ถ้าเธอไม่จำกัดปริมาณไว้ เธอกลัวว่าเนื้อสับคั่วนี้จะถูกจอมตะกละกินจนหมด
“ฮ่าาา~”
เสี่ยวเหยารู้แล้ว! เสี่ยวเหยาแค่อยากชิมเฉย ๆ~
หลงเหยาพยักหน้ารัวเร็ว
ทันทีที่แม่จิ้งจอกจูงมือเขาออกไป เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะฝังหัวลงในชาม และเริ่มกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
จากนั้นหูเจียวเจียวก็หันกลับไปทำเนื้อสับคั่วพริกต่อ เธอเอาหอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม และพริกชี้ฟ้าออกจากมิติมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในน้ำมัน แล้วทอดด้วยไฟอ่อน ขั้นตอนนี้เธอต้องคอยกวนพวกมันตลอดเวลา
ไม่นานกลิ่นหอมของเครื่องเทศก็โชยมาแตะจมูก หญิงสาวที่ประกอบอาหารอยู่จำต้องขยับจมูกดม พลางหลับตาลงด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“กลิ่นหอมจัง”
เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอเห็นหลงเหยาที่มีใบหน้าเบิกบานเหมือนเดิมบินมาที่ด้านข้างของกระทะ เขามองไปยังส่วนผสมในขณะที่น้ำลายไหล
“แฮ่~”
เสี่ยวเหยาแค่มาดู เสี่ยวเหยาไม่กินหรอก
“...”
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 25 นาที เครื่องเทศก็เกือบผสมเข้ากันสมบูรณ์แล้ว หญิงสาวจึงเติมเต้าเจี้ยว 2 ขวดและซอสเถียนเมี่ยน 1 ขวด เนื่องจากเธอทำอาหารไว้เยอะเลยต้องใส่ซอสเพิ่ม
*ซอสเถียนเมี่ยน หรือ ซอสหวาน เป็นซอสข้นเนื้อเนียนสีน้ำตาลหรือหรือสีดำ มีทั้งรสอ่อน รสเค็ม หรือรสหวาน
สุดท้ายจิ้งจอกสาวก็เทเนื้อคั่วลงไป ก่อนจะคนให้เข้ากัน เพียงเท่านี้เนื้อสับคั่วพริกแสนอร่อยก็พร้อมทาน!
ต่อมา หูเจียวเจียวหยิบตะเกียบไปแตะเนื้อสับคั่วพริกขึ้นมาชิม พลันนัยน์ตาของเธอก็เป็นประกาย “อร่อยจัง รสชาติเหมือนเดิมเป๊ะเลย!”
แม้ว่าในมิติจะมีเนื้อสับคั่วพริกสำเร็จรูปบรรจุขวดอยู่ด้วย แต่เธอชอบทานอาหารที่ทำเองมากกว่า ซึ่งมันเป็นรสชาติที่คุณย่าของเธอเคยทำให้ทานตอนที่เธอยังเด็ก
ทางด้านหลงเหยาที่อยู่ข้าง ๆ น้ำลายไหลจนจะหยดลงพื้นแล้ว เมื่อเห็นว่าแม่จิ้งจอกตักเนื้อสับคั่วพริกมาชิม เขาก็อดไม่ได้ที่จะ ‘สูดปาก’ พลางจ้องมองที่ปากของคนเป็นแม่อย่างตั้งใจ และเลียริมฝีปากของตัวเองต่อไป
เจ้ามังกรน้อยทำเหมือนกับว่าเขาสามารถรับรู้รสชาติที่หูเจียวเจียวสัมผัสได้ด้วยการมองอีกฝ่าย
หญิงสาวที่ได้เห็นเช่นนั้นยิ้มก่อนจะถือตะเกียบที่มีเนื้อสับคั่วพริกยื่นให้ลูกชายคนเล็กด้วย
หลงเหยาอ้าปากงับตะเกียบแบบไม่ลังเลทันที
หลังจากนั้นเพียง 2 วินาที หลงเหยาก็รู้สึกทรมาน แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
กรงเล็บของมังกรตัวน้อยกำแน่นจนเป็นลูกบอล รวมทั้งหางก็แข็งทื่อราวกับถูกไฟฟ้าดูด
ในวินาทีต่อมา หลงเหยาเหยียดหางออกและแลบลิ้นออกมา เขาบินวนเป็นวงกลมอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ลิ้นปวดแสบปวดร้อน
“อ๊ากกก!”
เจ็บ เจ็บ!
เนื้อนี้แย่มาก!
เนื้อมันกัดลิ้นของเสี่ยวเหยาด้วย!