ตอนที่ 6 ฉันรู้ว่าฉันไม่รู้อะไรเลย
เมื่อเรียนรู้วิธีการอ่านและเขียนอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว ลิธก็ได้ฝึกฝนมันทุกวัน ในขณะที่ครอบครัวของเขาคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะแต่เขารู้ตัวดี เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจำตัวอักษรยี่สิบเอ็ดตัวและตัวเลขสิบตัวนั่นจึงทำให้ลิธรู้สึกว่าเขาไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่
การตีเหล็กก็ต้องทำในขณะที่มันยังร้อน เขาจึงขอให้ราซแกะสลักไม้บรรทัดที่ทำมาจากไม้ให้เขา มันมีความยาว 50 เซนติเมตร กว้าง 3 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร
ราซแกะสลักตัวอักษรทั้งหมดไว้ที่ด้านหน้าของไม้ ส่วนด้านหลังเขาสลักตัวเลขเอาไว้ มันเป็นเครื่องมือที่ลิธจะใช้ในการทำการบ้าน และเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับเขาที่จะฝึกฝนได้ตลอดเวลาโดยไม่รบกวนพ่อแม่ของเขา
ราซยังคงมีความสุขมากดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามคำถามใด ๆ เกี่ยวกับขนาดที่ใหญ่จนผิดปกติที่ลิธขอ เขาสามารถทำให้มันบางกว่านี้และสั้นกว่านี้ได้ง่าย ๆ ซึ่งมันจะทำให้ง่ายต่อการพกพา แต่ลิธก็ปฏิเสธข้อเสนอของเขา เขาขอให้พ่อของเขาทำตามความปรารถนาของเขาแทน
ลิธสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรจากออพัลทุกครั้งที่มีคนเรียกเขาว่าอัจฉริยะ เขาจะต้องระวังไม้บรรทัดนี้ไว้ให้ดีไม่ให้มันถูกทำลายหรือหายไปเพราะ “อุบัติเหตุ”
ที่ลิธต้องการให้มันมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เป็นเพราะว่านอกจากเขาจะสามารถใช้มันเพื่อจดจำตัวอักษรแล้ว เขายังสามารถใช้มันเพื่อฝึกจิตเวทย์ได้อีกด้วย
ในที่สุดสภาพอากาศก็แจ่มใส เอลิน่าจึงตัดสินใจว่ามันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้นานะตรวจสุขภาพทิสต้า เนื่องจากความเย็นและลมในช่วงหลายวันที่ผ่านมาทำให้ไม่ว่าราซและออพัลจะพยายามทำให้บ้านอบอุ่นมากแค่ไหนแต่มันก็ยังคงมีลมเย็นเล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี
ทิสต้าได้ไอมากพอที่จะทำให้เอลิน่ากังวลเกี่ยวกับเธออย่างจริงจัง เธอจึงพาทิสต้าและลิธไปที่หมู่บ้านลูเทียด้วยเกวียนม้า
สภาพอากาศเลวร้ายกินเวลานานเกินไป และงานในฟาร์มที่หมักหมมมาก็ต้องการความช่วยเหลือของทุกคนเพื่อที่จะทำให้เสร็จก่อนที่คลื่นความเย็นจะมาถึงอีกครั้ง
เอลิน่าจึงต้องพาลิธไปด้วย เนื่องจากเขายังเล็กเกินไปที่จะถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว หลังจากพวกเขาใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ แล้วการเดินทางก็ได้เริ่มขึ้น
ลิธมีความสุขมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโลกภายนอกฟาร์ม มีหลายสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากการออกมาข้างนอกครั้งนี้
ในระหว่างการเดินทางพวกเขาถูกรบกวนมากกว่าหนึ่งครั้งโดยแมลงกราสต์พลัดถิ่น มันเป็นแมลงที่มีลักษณะคล้ายผึ้งและมีพิษที่หาง เมื่อเปรียบเทียบกับผึ้งในโลกเก่าของเขาแมลงกราสต์พวกนี้จะมีขนที่หนากว่าและมีสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีเหลือง
“พวกมันมาจากไหนเนี่ย?” เอลิน่าบ่น “พวกมันควรจะจำศีลฤดูหนาวอยู่สิ!”
กราสต์ตัวหนึ่งดื้อรั้นเป็นพิเศษแม้ว่าพวกมันจะถูกไล่ไปแล้วก็ตาม และมันได้บินกลับมาจนเข้าใกล้ทิสต้าจนเกินไป
ลิธจึงสะบัดมือของเขาและได้ทำให้มันหายไปอย่างแท้จริง แม้ว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของเขาจะยังช้าและงุ่มง่ามเหมือนเดิม แต่กับจิตเวทย์แล้วมันไม่เหมือนกัน
ในตอนนี้มันมีรัศมีถึงสิบเมตรรอบ ๆ ตัวเขา ดังนั้นกราสต์ตัวนี้จึงถูกขยี้ได้อย่างง่ายดาย
ลิธแสดงเหยื่อของเขาด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ต้องกังวลแล้วท่านพี่สาวใหญ่ ข้าจะคอยปกป้องท่านเอง” หลังจากกอดเขาแล้วทิสต้าก็อยากรู้เกี่ยวกับร่างของแมลงที่ตายแล้ว แต่เอลิน่ากังวลเรื่องพิษของมัน ดังนั้นหลังจากที่ทิ้งมันไปพวกเขาก็กลับมาเดินทางต่อ
เมื่อพวกเขาเริ่มเห็นหมู่บ้านลูเทียภาพในจินตนาการของลิธก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ มันไม่ใช่แค่ครอบครัวของเขาเท่านั้น แต่ทั้งหมู่บ้านนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับหนึ่งในภาพวาดยุคกลางที่เขาเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์
ไม่มีวี่แววของเทคโนโลยีที่ซับซ้อนใด ๆ แม้แต่กังหันลมหรือกังหันน้ำก็คงถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแล้ว
เมื่อลิธถามเอลิน่าเกี่ยวกับหมู่บ้าน เธอก็อธิบายว่ามีเพียงแค่ช่างฝีมือ นักวิชาการ และพ่อค้าเท่านั้นอาศัยอยู่ที่นี่ ประชากรที่เหลือจะอาศัยอยู่ในฟาร์มของตัวเองเพื่อดูแลทุ่งนาและปศุสัตว์
ลูเทียประกอบด้วยบ้านไม้สูงหนึ่งหรือสองชั้นที่มีระยะห่างระหว่างกัน ไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียวที่ทำจากหินหรืออิฐ
นอกจากนี้ยังไม่มีการปูพื้นถนนใด ๆ ช่องว่างระหว่างบ้านจึงกลายเป็นเหมือนถนนซึ่งมีแค่ดินและโคลน
จากป้ายที่แขวนอยู่ลิธสามารถมองเห็นโรงตีเหล็ก โรงเตี๊ยม และร้านตัดเสื้อ
ร้านเบเกอรี่ไม่จำเป็นต้องมีป้ายหรือสัญลักษณ์ใดๆ แค่กลิ่นจากปล่องไฟก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาน้ำลายไหลได้แล้ว
ความหิวโหยของลิธกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างหนักจนเขารู้แล้วว่าคืนนี้เขาจะฝันถึงอะไร
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของนานะ ลิธก็รู้สึกประหลาดใจที่สังเกตเห็นว่ามันใหญ่กว่าบ้านตัวเอง แต่เอลิน่าเคยเล่าให้เขาฟังเขามาหลายครั้งแล้วว่านานะอาศัยอยู่คนเดียว
ในสายตาของเขามันหมายความว่าเธอมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย หรือมีแนวโน้มว่าการรักษาเป็นธุรกิจที่ร่ำรวย ลิธจึงตัดสินใจว่าเขาต้องใช้เวทมนตร์แสงเป็นให้ได้โดยเร็วที่สุด
ประตูเปิดอยู่และเมื่อเข้าไปในบ้าน ลิธก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยของห้องรอคนไข้ ข้างหลังประตูนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่หนึ่งห้องที่มีกลิ่นของสมุนไพรและเครื่องหอมอยู่
ทางด้านซ้ายของห้องมีประตูอยู่บานหนึ่งซึ่งน่าเป็นที่อยู่อาศัยของนานะ ส่วนทางด้านขวานั้นมีม่านขนาดใหญ่ซึ่งนานะกำลังตรวจและรักษาผู้ป่วยของเธออยู่
พื้นที่ที่เหลือของห้องเต็มไปด้วยม้านั่งและเก้าอี้ ซึ่งที่ส่วนใหญ่มีคนนั่งไปแล้ว
หลายครอบครัวตัดสินใจใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่ดีเพื่อมาตรวจสุขภาพ เอลิน่าถอดเสื้อผ้ากันหนาวออกจากลูก ๆ ของเธอก่อนที่จะสอนให้พวกเขาทำตัวเงียบ ๆ และไม่ไปรบกวนคนอื่น
ในห้องรอนั้นเต็มไปด้วยเหล่าแม่ ๆ ที่กำลังเบื่อหน่ายและในไม่ช้าเอลิน่าก็เป็นหนึ่งในนั้น จากนั้นเธอเข้าร่วมวงสนทนากับพวกเขาและแบ่งปันประสบการณ์และคำแนะนำของเธอกับพวกเขา
ในตอนนี้ลิธจึงสามารถเดินไปรอบ ๆ ได้โดยที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากพวกผู้หญิงกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลลูก ๆ ของพวกเขาไม่ให้ซุกซน พวกเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรเขา
ห้องพักไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อเขาเดินเข้าใกล้ผ้าม่านเขาก็สะดุดตากับสมบัติบางอย่าง เขาพบตู้ขนาดเล็กที่ถูกเปิดไว้อยู่ ซึ่งด้านในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์
‘บางทีนี่อาจจะเหมือนกับการที่หมอในโลกของฉันที่จะแขวนใบปริญญาเอาไว้รึเปล่านะ’ เขาคิด มีชื่อของหนังสือหลายเล่มกล่าวถึงธาตุหรือวิธีการใช้งานธาตุนั้น ๆ โดยเฉพาะ และก็มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เข้าตาเขา
มันมีชื่อว่า “พื้นฐานของเวทมนตร์” เขียนไว้บนหน้าปก หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงหยิบมันมาและเริ่มอ่าน
‘ฉันอายุแค่สามขวบเองดังนั้นฉันจึงสามารถมีทัศนคติที่จะขอโทษดีกว่าการขออนุญาต’ จากนั้นลิธก็ย้ายไปที่มุมหนึ่งของห้องแล้วก็หันหลังให้ผ้าม่าน เขาหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นเขาได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหนังสือสำหรับผู้เริ่มต้น ดังนั้นเขาจึงข้ามบทนำและไปอ่านคำอธิบายของธาตุเลย
ลิธค้นพบว่าเวทมนตร์ธาตุน้ำไม่ใช่แค่การเสกและการควบคุมน้ำเท่านั้น มันยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถลดอุณหภูมิของสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วย และนักเวทย์ฝึกหัดก็ควรจะสามารถสร้างน้ำแข็งได้ ซึ่งมันสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในการโจมตีและการป้องกัน
เวทมนตร์ธาตุลมนั้นมีความสามารถที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน เวทมนตร์ธาตุลมขั้นสูงสุดคือการควบคุมสภาพอากาศ แต่ถึงแม้จะเป็นระดับพื้นฐานมันก็สามารถสร้างสายฟ้าได้
เวทมนตร์ธาตุไฟและธาตุดินนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เนื่องจากเขาสามารถนึกภาพพวกมันได้ทั้งหมดดังนั้นเขาจึงย้ายความสนใจไปที่สองธาตุสุดท้าย
และในขณะที่อ่านหนังสือ เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าเนื่องจากการมีอยู่ของเวทมนตร์ทำให้ใครก็ตามที่เขียนหนังสือเล่มนี้ไม่รู้ว่ากายวิภาคคืออะไร
หนังสือเล่มนี้จะพูดเกี่ยวกับความสำคัญของการทำให้แผลให้สะอาดเข้าไว้ แต่ไม่มีคำพูดเช่นการฆ่าเชื้อหรือการติดเชื้อเลย ดังนั้นเขาจึงพบแต่เงื่อนไขทางการแพทย์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ลิธประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าแสงและความมืดถูกอธิบายในบทเดียวกัน แทนที่จะเป็นบทแยกต่างหาก
ตามที่หนังสืออธิบาย ธาตุทั้งสองนั้นก็เป็นเหมือนกับขนมปังและเนยที่มันเป็นของคู่กัน นั่นหมายความว่าทั้งสองธาตุเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อผู้รักษา การเป็นผู้รักษาโรคควรรู้จักกับทั้งสองธาตุนี้ให้ดี ในหนังสือได้บอกว่าเวทมนตร์แห่งความมืดสามารถใช้เป็นอาวุธได้ แต่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
ผู้เขียนเน้นย้ำถึงความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่นักสู้ และแนะนำว่าผู้เริ่มต้นไม่ควรทำอะไรเกินตัว
จากนั้นเขาก็อธิบายว่าเวทมนตร์ธาตุมืดนั้นไม่ดีและก็ไม่ร้าย มันก็เป็นเพียงแค่ธาตุอย่างหนึ่งเหมือนกับธาตุอื่น ๆ มันเป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับผู้รักษาเนื่องจากมันทำให้พวกเขาสามารถทำความสะอาดบาดแผล ทำความสะอาดเครื่องมือ หรือแม้กระทั่งการรมควันทั้งบ้านเพื่อกำจัดหนูและแมลงเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายเชื้อโรค
นอกจากนี้มันยังเป็นวิธีเดียวที่สามารถกำจัดปรสิตที่เติบโตในร่างกายของผู้ป่วยได้ เวทมนตร์ธาตุแสงจะช่วยให้ผู้รักษาสามารถตรวจเจอพวกมันเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำอันตรายต่อพวกมันได้
แสงและความมืดทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกัน ความเชี่ยวชาญของเวทมนตร์ธาตุแสงก็คือความสามารถในการรับรู้ถึงพลังชีวิตและการค้นหาความผิดปกติ และยังช่วยแก้ไขความผิดปกติเหล่านั้น และรับประกันการฟื้นตัวจากโรคส่วนใหญ่ได้ในทันที
ส่วนการฟื้นฟูกระดูกที่แตกหักนั้นจะยากกว่า ดังนั้นมันจึงถูกอธิบายในบทอื่น
ลิธรู้สึกว่าตัวเองโง่อย่างไม่น่าเชื่อ เขาสามารถค้นพบคุณสมบัติธาตุเหล่านี้ได้เกือบทั้งหมดด้วยตัวเขาเองถ้าหากเขาไม่ได้ถูกความเชื่อและความคิดของตัวเองมาจำกัดเอาไว้
‘ฉันปัญญาอ่านขนาดนี้เลยหรอเนี่ย? ฉันอยู่ที่นี่มามากกว่าสามปีแล้วนะ และฉันยังคงคิดว่านี่เป็นวิดีโอเกมที่มีกฎและระดับที่ตายตัว? คิดว่าความมืดเป็นสิ่งที่ความชั่วร้ายและแสงสว่างคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์? ที่ฉันเคยคิดมามันไม่ใช้ทั้งหมดเลยทั้งหมดมันคือวิทยาศาสตร์ แม่งเอ้ย มันคือสิ่งเดียวกับที่ฉันเคยเรียนมาทั้งชีวิตแท้ ๆ’
‘ถ้าเวทมนตร์ธาตุไฟคือการเปลี่ยนมานาให้เป็นความร้อน ถ้างั้นเวทมนตร์ธาตุน้ำก็ไม่ใช่อะไรนอกจากการเปลี่ยนมานาให้เป็นความไอเย็นและจากนั้นก็ควบแน่นมันและเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว นี่มันชัดเจนมากให้ตายสิ!’ เขาคิด
เขากำลังจะพลิกหน้าและเพื่อเรียนวิธีการรักษากระดูกหัก แต่มือของใครบางคนก็เอื้อมมาจับไหล่เขาไว้แน่นทำให้เขาขยับไม่ได้
“นั่นไม่ใช่ของเล่นนะหนุ่มน้อย ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้ทำให้มันเสียหายมิฉะนั้นครอบครัวของเจ้าจะต้องชดใช้”
---
การแขวนใบปริญญา เหมือนเป็นการบอกว่าผู้ที่แขวนใบปริญญาไว้บนกำแพงเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเขามีคุณวุฒิและความสามารถทางวิชาชีพในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเขา
ปล. พระเอกจบโทเคมีนะจ้ะ เอาล่ะซี๊ เมื่อนักเคมีเดินทางไปโลกเวทมนตร์จะเป็นยังไง