บทที่ 26: กับดักมอนสเตอร์และม่านแสงควอนตัมเร้นกาย
เล็งหน้ารถเอทีวีไปยังทางที่ไม่ต้องเหยียบกับดักแล้วกระแทกคันเร่งพุ่งออกไป
ในเวลานี้พวกทหารผีมันอยู่ไม่ไกลจากถังเจิ้น เขารีบกระโดดลงจากรถเมื่อเท้าแตะพื้นที่มือก็มีโมโลตอฟค็อกเทลถืออยู่แล้ว
จากนั้นก็รีบเอาไฟแช็คออกมาจุดแถบผ้า เมื่อเห็นว่าพวกมอนสเตอร์อยู่ห่างจากกับดักได้ประมาณ 10 เมตรเขาก็ปาขวดไปดักหน้ามันไว้ก่อนเนื่องจากพวกมันวิ่งตามเขาเลยจะใช้เส้นทางเลี่ยงกับดักเหมือนกันไปโดยปริยาย
ตู้ม
เกิดระเบิดและเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ลุกลามไปตามวัชพืชบนพื้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อมอนสเตอร์ที่วิ่งไล่มาส่งผมให้พวกมันชะงักไปเล็กน้อย
แต่ในไม่ช้าพวกมันก็เลี่ยงพื้นที่เปลวเพลิงมุ่งตรงเข้าหาถังเจิ้นต่อ
แต่พวกมันก็หารู้ไม่ว่าเส้นทางที่พวกมันใช้คือตรงไปสู่หลุมกับดักของถังเจิ้น
มอนสเตอร์ที่เอาแต่วิ่งอย่างไร้สมองได้เหยียบลงไปยังหลุมกับดักที่ถังเจิ้นวางไว้และร่วงลงหลุมไปทันที ตามด้วยตัวที่สองและสาม...
แม้แต่หัวหน้าทหารผีที่ถังเจิ้นเสียว ๆ อยู่ก็ยังตกลงไปด้วยเหมือนกัน
หัวใจของถังเจิ้นแทบกระดอนด้วยความยินดี เขากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะจัดการกับไอ้ตัวหัวหน้ายังไงเพราะมันเป็นถึงตัวเลเวล 3 แต่กลับไม่คาดคิดว่ามันก็เป็นพวกไอคิวเตี้ยไอเดียต่ำไม่ต่างจากไอ้ตัวลูกน้องเลยถูกหลอกให้ลงหลุมไปเหมือนกันด้วย
เมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ตัวอื่นแล้วแม้ทหารผีพวกนี้มันจะหนังหนาและแรงเยอะจนใช้ยังไงก็ไม่หมด แต่สิ่งที่ขาดอยู่ก็คือไอคิวนี่เอง
ถังเจิ้นไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากที่พวกมันลงหลุมไปแล้วเขาได้จุดไฟปาโมโลตอฟค็อกเทลยัดลงหลุมไปทีละขวดสองขวด
ควันดำพวยพุ่งพร้อมกับซาวด์เอฟเฟกต์เป็นเสียงคำรามของพวกมันเหมือนเดิม แล้วก็เกิดเสียงระเบิดและมีเปลวเพลิงปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้า
เชื้อเพลิงที่ถังเจิ้นผสมมานั้นก็คล้าย ๆ กับระเบิดเพลิงแบบบ้าน ๆ เมื่อร่างกายเปียกปอนไปด้วยน้ำมันแล้วหากติดไฟก็จะถูกแผดเผาลึกไปยันกระดูกโดยไม่สามารถดับลงได้ง่าย ๆ
ด้วยปริมาณเชื้อเพลิงที่ถังเจิ้นเทไว้ในหลุมทำให้ตอนนี้อุณภูมิของหลุมสูงมากจนไม่อาจเข้าใกล้ได้อีก
ถังเจิ้นก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าวแล้วหยิบปืนพกออกมาจากกลางอากาศเล็งไปที่หลุมอย่างไม่ประมาท เพราะไม่แน่ใจว่าเปลวเพลิงระดับนี้จะแผดเผาทหารผีเลเวล 3 ให้ตายในทันทีได้มั้ย
ซึ่งก็เป็นดังคาด เพราะหลังจากเล็งอยู่ไม่นานนักเขาก็เห็นแขนที่ดำเป็นก้อนถ่านพยายามดิ้นรนออกจากหลุมกระทะทองแดง หลังจากนั้นมันก็ยกทั้งตัวที่ดำเมี่ยมขึ้นมาจากเปลวไฟลอยขึ้นไปกลางอากาศและมาตกอยู่ตรงพื้นหญ้าหน้าถังเจิ้นเกิดเป็นเสียงเหมือนของหนัก ๆ ตกพื้น
เมื่อดูดี ๆ ก็ตามคาดอีกคือไอ้หัวหน้าทหารผี
หัวใจของถังเจิ้นสั่นสะท้านปืนที่ประทับเล็งไว้อยู่แล้วก็ยิงออกไปโดยไม่ลังเล แต่ก็น่าเสียดายที่แม้ร่างกายจะเสียหายขนาดนั้นแล้วยังโดนลูกปืนซ้ำเข้าไปก็ยังจะไม่เป็นอะไรอีกเหมือนเดิม ร่างที่แทบจะแปรสภาพเป็นก้อนถ่านแขนขาดเหลือแค่ข้างเดียวยังคงพุ่งตัวเข้าปะทะกับถังเจิ้น
ทำให้ตอนนี้ถังเจิ้นไม่มีจังหวะให้หลบแล้วเขาเลยต้องกัดฟันเรียกดาบแหนบรถออกมาฟันสวนหมายจะตัดคอมัน
ผัวะ
ใบดาบจมลงไปในร่างกายของมันซึ่งบริเวณที่ถูกฟันแตกออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนไม้ผุพร้อมกับที่ร่างกายของมันกระแทกเข้ากับตัวถังเจิ้นอย่างแรงจนเขากระเด็น
หัวใจของถังเจิ้นตกไปอยู่ตาตุ่ม เพราะการปะทะกับมอนสเตอร์เลเวล 3 ตรง ๆ นั้นอาจทำให้เขาถึงตายในทีเดียวได้เลย
“โอย~ สัดเอ๊ย!”
หลังตกกระแทกกับพื้นแล้วถังเจิ้นก็โอดโอสบถด่า จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนกลับมาเป็นดีใจเนื่องจากเขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายซะแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่กังวลซึ่งถือว่าน่าประหลาด
‘ครั้งก่อนแค่โดนมอนเวลสองซัดเอาก็ถึงกับต้องใช้ครีมไม้เลื้อยรักษาตั้งหลายวัน แล้วทำไมแรงกระแทกของไอ้ตัวเวลสามนี่มันถึงน้อยจังวะ?’
‘หรือว่าเพราะมันโดนไฟเผาก็เลยพลังลดลงมาก?’
กำลังใจของถังเจิ้นมาเต็ม เขารีบกระโดดขึ้นจากพื้นเพื่อที่จะซัดกับมันอีกรอบ แต่จู่ ๆ ก็เกิดสัมผัสได้ว่ามีความร้อนที่ทำให้รู้สึกมึนเมาปะทุขึ้นภายในร่างกายแล้วพุ่งพล่านไปทั่วร่างทันที!
‘นี่มัน... อัปเวล!’
ถังเจิ้นมีความสุขมาก ความรู้สึกถึงพลังอันเกินควบคุมนี้ไม่จำเป็นต้องสืบอะไรเลยเพราะสามารถสรุปได้ว่าตนเองอัปขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้ในทันที
การที่จู่ ๆ สามารถระเบิดพลังเท่ากับผู้ใหญ่สองคนใช้พลังเต็มเหนี่ยวได้ในช่วงเวลาวิกฤตย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี!
เมื่อเห็นหัวหน้าทหารผีพุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้งถังเจิ้นก็คำรามเรียกดาบแหนบรถออกมาจากกลางอากาศอีกเล่มแล้วฟันสวนหมายจะตัดคอมันอีกรอบ
ดาบฟัน หัวปลิว!
ซากศพไร้หัวตัวดำเหมือนก้อนถ่านในที่สุดก็ยอมร่วงลงไปกองกับพื้น!
ถังเจิ้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกเดินโซเซไปที่หัวหน้าทหารผีเพื่อหยิบลูกปัดสมองของมันออกมา
ลูกปัดสมองนี่ก็แสนเลิศเลอเพราะแม้ตัวร่างจะไหม้ไฟไปหมดแล้วแต่ตัวลูกปัดกลับไร้รอยขีดข่วนไม่พอยังสะท้อนแสงวิบวับอยู่เลย
หลังจากฆ่ามอนสเตอร์ระลอกนี้เสร็จถังเจิ้นก็อัปขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้สำเร็จและยังได้ลูกปัดสมองราคาแพงอีกเป็นจำนวนมากด้วย
หลังจากคำนวณดูดี ๆ แล้วลูกปัดสมองเลเวล 2 จะสามารถแลกเป็นเหรียญทองได้ 100 เหรียญ ส่วนเลเวล 3 แลกได้ 1,000 เหรียญ เสียเวลาและเสี่ยงตายได้ผลตอบแทนคือเหรียญทองเกือบหมื่น
หลังจากรอไปได้พักหนึ่งเปลวไฟในหลุมก็ดับมอดลง ถังเจิ้นลงไปเก็บกวาดซากมอนสเตอร์ที่ไม่เหลือสภาพสมบูรณ์ข้างในและได้ลูกปัดสมองเลเวล 2 มา 12 เม็ด
จากนั้นก็หันไปมองเย่โหลวที่อยู่ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะ เขาอยากรู้มากว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในนั้นกันแน่
ว่ากันว่ายิ่งมอนสเตอร์ผู้พิทักษ์มีพลังมากเท่าไหร่สมบัติที่อยู่ข้างในก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วก็เดาได้เลยว่าเย่โหลวแห่งนี้ต้องมีสมบัติล้ำค่าซุกซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
‘ถ้าเราแอบเข้าไปได้ล่ะก็ไม่แน่อาจเจอกับผลตอบแทนที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้!’
แต่แล้วเขาก็ต้องกุมขมับเพราะนึกถึงเรื่องที่ชวนปวดหัวขึ้นมาได้ คือที่นั่นมอนสเตอร์มันอยู่กันหนาแน่นเหลือเกิน ยังมีไอ้ตัวระดับหลิงจู่ที่น่ากลัวนั่นอีก
‘แล้วกลางวันแสก ๆ แบบนี้จะเข้าไปยังไงวะ?’
‘บุกตรง ๆ? บุกพ่องดิสัส แค่เดินเข้าไปก็โดยรุมทืบตายละ!’
‘บิน? บินไปให้พวกแม่งสอยอะดิ นักนูเพียบปานนั้นยังไม่ทันถึงกูก็โดนยิงกลายเป็นเม่นละมั้ง!’
‘แอบเข้าไป? ปัญหาคือกูจะแอบยัง...’
‘หือ… เด๋วนะ… น่าจะแอบได้นี่หว่า!’
ถังเจิ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขาเปิดแอปสโตรในมือถือกลายพันธุ์ขึ้นมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
ป้อนคำว่า ‘ซ่อนตัว’ ในแถบค้นหาของแอปสโตรแล้วก็มีตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกกันมากมาย
[มนตราล่องหน หลังจากเปิดใช้งานผู้ใช้จะถูกปกคลุมด้วยพลังมนตราทำให้คนนอกไม่อาจค้นพบได้ซึ่งมีเวลาใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 1 ชั่วโมง ข้อเสียคือยามเคลื่อนไหนมนตราจะเสื่อมฤทธิ์ ค่าดาวน์โหลด 1,000 เหรียญทอง]
[มือถือล่องหน ทำให้โทรศัพท์มือถือล่องหนเองโดยอัตโนมัติทันทีหลังจากเปิดใช้งาน ค่าดาวน์โหลด 500 เหรียญทอง]
[ซ่อนของ เมื่อเปิดใช้งานจะฉายแสงใส่สิ่งของที่ต้องการซ่อนทำให้ล่องหนตาเปล่าไม่อาจมองเห็น ค่าดาวน์โหลด 800 เหรียญทอง]
...
ไถอ่านไปเรื่อย ๆ ในที่สุดถังเจิ้นก็เจอเข้ากับแอปที่ตนต้องการ
[ม่านแสงควอนตัมเร้นกาย เมื่อเปิดใช้งานสามารถจำลองตนเองให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อพรางตัวเสร็แล้วจะสามารถป้องกันอินฟราเรด เลเซอร์ และการตรวจจับด้วยคลื่นไมโครเวฟ ค่าดาวน์โหลด 10,000 เหรียญทอง]
เมื่อเห็นรายละเอียดของม่านแสงควอนตัมเร้นกายถังเจิ้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและคิดว่า ‘ไอ่นี่แหล่ะ!’
เมื่อคลิกดาวน์โหลดปุ๊บยอดเงินในบัญชีก็หดหายปั๊บส่วนตัวแอปก็ถูกดาวน์โหลดและติดตั้งโดยอัตโนมัติตามลำดับ
ไอคอนของแอปนี้หน้าตาเหมือนสายน้ำ หลังจากถังเจิ้นเปิดใช้งานเขาก็รู้สึกว่าแสงรอบ ๆ ตัวเกิดการบิดเบี้ยว
เมื่อยกแขนขึ้นมาดูก็พบว่าภาพที่เห็นคือพื้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
มองดูบริเวณขาก็ปรากฏว่ามันเป็นภาพเดียวกันที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้อย่างลงตัวจนไม่อาจจับพิรุธใด ๆ ได้เลย
หากใช้ความสามารถในการล่องหนประเภทนี้ในการลอบเร้นควบคู่กันการเทเลพอร์ตด้วยล่ะก็ถือเป็นเซตคอมโบที่สวดยวดไปเลย!
หลังจากเล่น ๆ อยู่พักหนึ่งถังเจิ้นก็พอใจอย่างมากและรู้สึกว่า 10,000 เหรียญทองที่เสียไปคือคุ้มค่าแล้ว
ในเมื่อมีความสามารถในการลอบเร้นแล้วแบบนี้ถังเจิ้นย่อมไม่ลังเลที่จะลอบเข้าไปอีก เขารีบเอารถเอทีวีไปหาที่ซ่อนก่อนแล้วค่อยมุ่งหน้าตรงไปยังเย่โหลวแห่งนั้น
เย่โหยวในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคนอยู่เลย มันมีชีวิตชีวามาก ๆ เพราะระหว่างทางมาถังเจิ้นไปเจอกับทีมสำรวจหลายทีมซึ่งล้วนเป็นผู้พเนจรที่กำลังรีบไปเพราะอยากจะขุดค้นตัวอาคาร
ในช่วงนั้นถังเจิ้นยังได้เห็นทีมที่มี 5 คน ประกอบไปด้วยชาย 3 หญิง 2 แต่ละคนสวมชุดเกราะและอาวุธที่ดูดีสุด ๆ แตกต่างจากผู้พเนจรลิบลับ
ถังเจิ้นประเมินว่าความแข็งแกร่งของคนทั้งห้านี้ควรอยู่เหนือเลเวล 2 โดยผู้นำที่ควรจะแข็งแกร่งที่สุดก็น่าจะเลเวล 3 เป็นอย่างน้อย!
การรับรู้ความแข็งแกร่งนี้เป็นความสามารถของผู้ฝึกตนทุกคนในโลกโหลวเฉิง
ในความเป็นจริงถังเจิ้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีการแบ่งระดับของผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าเลเวล 6 ให้เป็นพวกคนธรรมดาด้วยจนเมื่อไม่นานมานี้
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกโหลวเฉิงเป็นผู้ฝึกตนที่โชคดีพอที่จะอัปเลเวลของตนเองได้โดยการฆ่ามอนสเตอร์และต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดต่อไปได้ ผู้ฝึกตนระดับรากหญ้าประเภทนี้เรียกกันว่า ‘นักรบป่า’ (เย่ซิวซื่อ)
ส่วนผู้ฝึกตนที่เกิดในโหลวเฉิงหรือได้รับการฝึกฝนจากกองกำลังที่ทรงพลังมาก ๆ และมีวิชาล้ำค่ารวมไปถึงอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมจะเรียกกันว่า ‘นักรบแท้’ (เจินเจิ้งเต่อซิวซื่อ)
ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ไม่ขาดทักษะวิชาและยุทโธปกรณ์ หากเป็นในระดับเดียวกันแล้วกำลังรบจะสูงกว่านักรบป่าเกือบ 3 เท่า นี่คือจุดแข็งของผู้ที่เรียกว่านักรบแท้
เป็นเพราะเหตุนี้ยามเมื่อคนทั้ง 5 มองไปยังพวกนักรบป่าผู้พเนจรสภาพมอมแมมเหล่านั้นแล้วมักจะใช้สายตาอันภาคภูมิมองอยู่ตลอดเวลา
ถังเจิ้นเองก็ถือได้ว่าเป็นนักรบป่าคนหนึ่งเช่นกัน แต่ด้วยเงื่อนไขพิเศษหลาย ๆ อย่างทำให้เขามีประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ด้วยไปกว่าพวกนักรบแท้ เผลอ ๆ จะเหนือว่าซะด้วยซ้ำ!
ซึ่งถังเจิ้นไม่รู้ตัวในเรื่องนี้ เขามองคนทั้ง 5 อยู่สองสามรอบและได้ยินแว่ว ๆ ว่ากลุ่มนี้มาจากเมืองเฮยเหยี่ยน
ยามมองต้องมองให้รอบ การดูองค์ประกอบโดยรวมของทั้ง 5 คนนี้ทำให้ดูก็รู้แล้วว่ากองกำลังของเมืองเฮยเหยี่ยนไม่ใช่อะไรที่จะมองข้ามได้
ถังเจิ้นสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่มีแสดงพฤติกรรมพิเศษใด ๆ แถมเขายังสวมเสื้อคลุมปกปิดตัวเองกลมกลืนไปกับคนอื่น ๆ ทำให้คนทั้ง 5 ไม่สนใจเขา
ส่วนเรื่องที่ถังเจิ้นแอบมองนั้นทั้ง 5 ต่างชินกับเรื่องนี้แล้วและคิดว่าแค่พวกผ้าขี้ริ้วแอบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เท่านั้นเอง ซึ่งคนอื่น ๆ ก็แอบมองเหมือนกัน
เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็หยุดกลางทางเมื่อข้างหน้าเป็นตัวอาคารประหลาดซึ่งถังเจิ้นได้เห็นอีกครั้งหลังจากพึ่งได้เห็นมันครั้งล่าสุดเมื่อสองชั่วโมงก่อน
แล้วเสียงคำรามของมอนสเตอร์และเสียงตะโกนโห่ร้องของนักรบป่าก็ดังออกมาให้ได้ยินเบา ๆ บ้างเป็นครั้งคราว แปลว่าอาจมีกองกำลังน้อยใหญ่บางส่วนกำลังประเมินฝีมือของพวกมอนสเตอร์ซากศพทหารผีเหล่านั้นอยู่ก็เป็นได้
หลังจากยืนยันพลังการต่อสู้ของพวกมันแล้วก็จะสามารถกำหนดแผนการจัดการที่มีประสิทธิภาพได้
ตอนนี้มีทีมสำรวจที่เข้าไปประเมินพลังของพวกมันประมาณเจ็ดแปดทีม โดยคนเหล่านั้นยืนอยู่ตรงระยะขอบการลาดตระเวนของพวกมอนสเตอร์คอยล่อพวกมันอยู่ห่าง ๆ แล้วลงมือจู่โจมกันเป็นกลุ่ม
ต่อให้ทุกคนล้วนได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตลึกซึ่งมีพวกมอนสเตอร์ซากศพนี่อยู่กันแออัดก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปเสี่ยงอยู่ดี
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วทีม 5 คนจากเมืองเฮยเหยี่ยนที่ถังเจิ้นเดินตามต่างก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างอดไม่ไหว จากนั้นก็เห็นว่าทั้ง 5 ได้หยิบอาวุธขึ้นมาแล้วตรงดิ่งเข้าไปยังตัวอาคารที่มีกลุ่มซากศพเฝ้ากันอยู่ยั้วเยี้ย
ถังเจิ้นเห็นฉากนี้เข้าก็เป็นต้องตกตะลึง แต่แล้วไม่นานใบหน้าตะลึงกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มถูกใจ จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็นเปิดใช้งาน [ม่านแสงควอนตัมเร้นกาย] ในทันทีแล้วแอบย่องเข้าไปโดยไม่ให้มีเสียง