ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 260 การพบกันอีกครั้งของคนทั้งสาม (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 260 การพบกันอีกครั้งของคนทั้งสาม (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
ด้วยสัญชาตญาณที่พัฒนาขึ้นหลังจากการปล้นฆ่ามานานหลายปี เขารู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่ไม่สามารถยั่วยุ เมื่อเห็นรุ่นพี่รุ่นน้องของเขายังแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว บางคนกระทั่งถูกำปั้นและต้องการลงมือ เขาจึงคำราม “พวกเจ้าทุกคน หุบปาก!” เขาถามอย่างระมัดระวัง “ข้าขอทราบนามอันทรงเกียรติของท่านได้หรือไม่?”
“ไปกันเถอะ!” หลี่ฉอิงซานกล่าวกับเฉียนหรงจื่อก่อนจะเดินจากไปทันทีราวกับอีกฝ่ายไร้ตัวตน ท่าทางของชายอัปลักษณ์เปลี่ยนไปสองสามครั้ง เมื่อหลี่ฉิงซานเดินเข้ามาใกล้เขา เขาก็หลบออกไปด้านข้างและมองเฉียนหรงจื่อกับหลี่ฉิงซานเดินจากไปโดยที่เขาลอบกลืนน้ำลายอยู่อย่างเงียบๆ
“พี่ใหญ่!”
“อย่ายั่วยุเขา คนผู้นี้อันตรายมาก!” ชายอัปลักษณ์มองไปที่แผ่นหลังของหลี่ฉิงซาน หากเด็กหนุ่มเป็นผู้บัญชาการ เขาจะไม่พยายามท้าทายอำนาจของคนผู้นี้ เมื่อผู้บัญชาการหญิงมีผู้ช่วยเช่นเขา นางก็กลายเป็นคนที่รับมือได้ยากไปแล้ว
…..
ในห้องโถงหลัก ฟางเอิ้นฉางจัดโต๊ะและเตรียมน้ำสำหรับฝนหมึก เขากำลังจะทำงาน เขายังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นต่องานนี้ เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้น “โอ้ หรงจื่อ เป็นเจ้า คนผู้นี้คือ?”
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่ฉิงซานพบฟางเอิ้นฉาง ย้อนกลับไปที่หุบเขาแห่งความสงบ มันจะกลายเป็นการเข่นฆ่าหากไม่ใช่เพราะการไกล่เกลี่ยของฟางเอิ้นฉาง นี่ทำให้หลี่ฉิงซานมีความประทับใจที่ดีต่อเขาเล็กน้อย
เฉียนหรงจื่อแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน หลี่ฉิงซานป้องหมัดขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชา หลี่ฉิงซาน คารวะผู้บังคับบัญชา!”
“เจ้าคือหลี่ฉิงซาน” ฟางเอิ้นฉางมองพิจารณาเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับเขาไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้คือเสือร้ายที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน เขาอดไม่ได้ที่จะถามในสิ่งที่เขาสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไปอยู่ที่ใด?”
หลี่ฉิงซานเตรียมข้อแก้ตัวไว้แล้ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริงแต่ก็มีบางส่วนที่โกหก เขายอมรับความจริงที่จ้าวจื่อป๋อวางแผนร้ายต่อเขาซึ่งทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ใต้ดินเพื่อเอาชีวิตรอด เขาปลุกปีศาจให้ตื่นขึ้นและทำให้กลุ่มของจ้าวจื่อป๋อถูกกวาดล้าง มีเพียงเขาที่สามารถหลบหนี
นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่เขาเป็นปีศาจ เขาก็ไม่ได้โกหก
เฉียนหรงจื่อช่วยพูดในเวลาที่เหมาะสม ด้วยไหวพริบของนางและความสนิทสนมระหว่างนางกับฟางเอิ้นฉาง นางจึงเข้าใจตัวตนของคนผู้นี้และสามารถควบคุมความคิดของเขา
ดังคาด ฟางเอิ้นฉางเดือดดาลต่อความอยุติธรรม “ผู้ใดจะคิดว่าผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์จะร่วมมือกับอาชญากรเพื่อจัดการลูกน้องของตนเอง! เขาสมควรตายจริงๆ! แล้วผู้บัญชาการอีกคน เหล่าซีซาน?”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าแยกทางกับรองผู้บัญชาการหลังจากนั้น เขาอาจไม่เชื่อข้าและลงไปใต้ดินเช่นกัน”
“แล้วเหตุใดเจ้าพึ่งกลับมา?”
เฉียนหรงจื่อกล่าว “นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ เนื่องจากเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขา หลี่ฉิงซานทำให้นิกายเมฆาพิรุณขุ่นเคือง มันทำให้รองผู้นำและยายทั้งสี่ของนิกายเมฆาพิรุณเดินทางมายังเมืองเจียเผิงด้วยตนเอง หากข้าติดต่อเขาไม่ทันเพื่อบอกให้เขาหนี เขาคงตายไปแล้ว”
ฟางเอิ้นฉางทุบโต๊ะ “พวกมันกล้าดีอย่างไร!”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้ารู้ว่านิกายเมฆาพิรุณทรงพลังมาก ข้ากลับมาครั้งนี้เพราะข้าต้องการปิดประตูบ่มเพาะอย่างเงียบสงบอยู่บนภูเขาสักระยะ นอกจากนั้นข้ายังต้องขอบคุณท่านเจ้าเมืองโจว เขารับปากว่าจะแนะนำข้ากับสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ ตราบเท่าที่ข้าไปที่นั่น แม้แต่นิกายเมฆาพิรุณก็ต้องคิดให้รอบคอบหากต้องการแตะต้องข้า!”
ฟางเอิ้นฉางตบไหล่หลี่ฉิงซาน “อย่ากังวล ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่บนภูเขาลูกนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่นิกายเหล่านี้จะทำตามใจตัวเอง หน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาสามารถเดินเล่นไปทั่ว!”
เขาจริงใจมากจนทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกค่อนข้างลำบากใจที่ต้องโกหก ในตอนท้ายหลี่ฉิงซานยังส่งมอบศีรษะของนักพรตผีดิบเพื่อจบภารกิจและรับแต้มผลงานมากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม
เม็ดยารวบรวมพลังปราณหรือหินวิญญาณที่สามารถแลกเปลี่ยนโดยแต้มผลงานไม่ได้อยู่ในความสนใจของหลี่ฉิงซานอีกต่อไป อย่างไรก็ตามการใช้สถานที่เพื่อปิดประตูบ่มเพาะยังมีค่าใช้จ่ายและมันก็ไม่ถูก หนึ่งวันมีราคาถึงห้าสิบแต้มผลงาน
เฉียนหรงจื่อนำหลี่ฉิงซานไปยังสถานที่สำหรับการปิดประตูบ่มเพาะซึ่งเป็นถ้ำหินขนาดใหญ่บนภูเขา
หลี่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงปราณจิตวิญญาณธรรมชาติที่หนาแน่นกว่าภายนอก ดังคาด มันเป็นค่ายกลบางอย่าง
เฉียนหรงจื่อกล่าว “นี่คือค่ายกลรวบรวมพลังปราณ แต่การเปิดใช้งานต้องพึ่งพาหินวิญญาณ”
หลี่ฉิงซานมองค่ายกลและพยักหน้าด้วยความชื่นชม
เฉียนหรงจื่อวางมือของนางบนแผ่นหินทรงกลมบนผนัง ด้วยการใช้พลังปราณหมุนมันอย่างนุ่มนวล หินก้อนใหญ่ก็เลื่อนลงมาและส่งเสียงดัง
“เมื่อประตูหินปิดลงแล้ว เจ้าจะเปิดมันได้จากภายในเท่านั้น หากเจ้าต้องการเปิดจากภายนอก เจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ข้าคิดว่ากระทั่งผู้นำนิกายเมฆาพิรุณก็ยังไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น”
หลี่ฉิงซานพยักหน้า ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้น เขาหยิบเม็ดยาออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติและส่งให้เฉียนหรงจื่อ “หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นด้านนอกขณะที่ข้าอยู่ภายใน ข้าต้องรบกวนเจ้าจัดการด้วย หากมีอันตรายใดๆ ข้ารบกวนเจ้าช่วยแจ้งเตือนข้าด้วย”
แม้คำโกหกเหล่านั้นจะเพียงพอที่จะหลอกฟางเอิ้นฉาง แต่ฟางเอิ้นฉางไม่ใช่ผู้ตัดสินคดีที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของสองผู้บัญชาการและกลุ่มผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ชั้นยอด เขาต้องรายงานเรื่องนี้ต่อคนระดับสูง แม้เฉียนหรงจื่อจะวิเคราะห์ว่ามันจะไม่มีปัญหา แต่เขาก็ต้องระวังตัวเอาไว้
“เม็ดยาทะเลปราณ!” ดวงตาของเฉียนหรงจื่อส่องประกายสว่างไสว
เม็ดยาทะเลปราณเป็นเม็ดยาสำคัญสำหรับจอมยุทธ์ที่ต้องการทะลวงเข้าสู่ขั้นหก มันจะช่วยพวกเขาควบรวมทะเลปราณขึ้นในร่าง มันล้ำค่ามากจริงๆ อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานได้รับกระเป๋าร้อยสมบัติจำนวนมากและครอบครองสมบัติมากมาย มันไม่สำคัญสำหรับเขาหากเขาจะใช้หนึ่งในนั้น
“แม้ข้าจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ด้วยยาเม็ดนี้ มันจะเพิ่มโอกาสให้ข้าอีกสามสิบส่วน” เฉียนหรงจื่อยอมรับยาแต่นางไม่ได้กล่าวคำขอบคุณใดๆ
นี่คือความสัมพันธ์ของพวกเขา มันชัดเจนโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดและไม่ติดหนี้ซึ่งกันและกัน พวกเขาต่างใช้ประโยชน์จากกันและกันโดยไม่ต้องพยายามซ่อนความตั้งใจ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ไร้ความหมาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดมากในเรื่องนี้
ประตูหินปิดลงอย่างช้าๆทำให้ถ้ำจมสู่ความมืด
เฉียนหรงจื่อผ่อนคลายมาก ในพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สีหน้าและท่าทางของนางเปลี่ยนไปอีกครั้ง ความอ่อนโยนและความใจดีของนางหายไปขณะที่มันถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา
นางเหมือนงูที่กำลังจะกินคน นางเม้มริมฝีปากและเผยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าสามารถใช้ตัวช่วยที่ข้าเก็บไว้แล้ว”
ชายอัปลักษณ์และสหายของเขาคือยาเสริมประสิทธิภาพที่นางเตรียมไว้สำหรับการก้าวเข้าสู่ขั้นหก
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว เขาหมุนกลไกและทำให้ประตูหินเปิดออกอีกครั้ง แสงแดดตกกระทบลงบนใบหน้าของนาง มันเหมือนเวทมนตร์ ไม่ว่าแสงจะส่องไปถึงส่วนใด สีหน้าของนางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดเมื่อแสงกลืนกินนางเข้าไปทั้งหมด นางก็กู้คืนภาพลักษณ์ของนางในฐานะพี่สาวคนโตที่อ่อนโยนและใจดีเรียบร้อยแล้ว
หลี่ฉิงซานรู้สึกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว นางเหมือนปีศาจยิ่งกว่าเขา
แสงสร้างเงาทอดตัวยาวเข้ามาในถ้ำ หลี่ฉิงซานมองไปที่เจ้าของเงา “เตียวเฟย?”
เตียวเฟยลังเลใจเล็กน้อยก่อนกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว” การบ่มเพาะของเขามาถึงขั้นสี่แล้ว แม้ความก้าวหน้าของเขาจะไม่รวดเร็วเท่าหลี่ฉิงซานหรือเฉียนหรงจื่อ แต่หลังจากเขากลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขาก็ไม่ได้ใช้เวลาอย่างสูญเปล่า
คนสามคนที่ก้าวเข้าสู่กองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์พร้อมกันกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง