ตอนที่ 25 จ้าวอสูรเฟินเทียน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังฮวนขึ้นเรือ
ในชีวิตที่แล้ว เขาเคยขึ้นเรือใหญ่สองครั้ง ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สาม เรือลำนี้ยาวยี่สิบถึงสามสิบเมตรเท่านั้น ขนาดนั้นยังห่างไกลจากเรือยักษ์ในชีวิตที่แล้วมาของเขาอยู่มาก แต่ความเร็วของมันนั้นเหนือกว่า ถังฮวนประเมินด้วยสายตาและคิดว่ามันน่าจะเร็วอย่างน้อย 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นี่ไม่ใช่ความเร็วที่สูงสุด ว่ากันว่าเรือบางลำนั้นเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว นั่นหมายความว่ามันแทบจะบินจากผิวน้ำได้
เหตุผลก็คือมีค่ายกลอยู่ในเรือ และมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ส่งต่อมาจากเผ่าสวรรค์แห่งดินแดนจิตศักดิ์สิทธิ์
ตราบเท่าที่มีอัญมณีที่เรียกว่าหินกำเนิดมนต์เพื่อใช้งานค่ายกล เรือก็จะเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและความเร็วก็ยังควบคุมได้ มันสะดวกเป็นอย่างมาก
“ค่ายกล ดินแดนรุ่งโรจน์ก็มีของแบบนั้นสินะ”
เมื่อถังฉวนนึกถึงความทรงจำอันน่าเวทนาที่เขามีเกี่ยวกับเผ่าสวรรค์และค่ายกล รอยยิ้มชื่นชมก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา
“นี่ นี่ เจ้าเคยได้ยินไหม? ครั้งนี้เราชนะสงครามกับอสูรด้วย!”
ไม่นานจากนั้นถังฮวนก็ได้ยินเสียงและหันไปมอง เขาเห็นคนที่พูดเป็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่แถวหน้าเขา เขาตัวสูงแข็งแกร่งและคำพูดของเขาก็ดึงความสนใจของจอมยุทธหลายคน
มีคนมากกว่าร้อยคนบนเรือ และทั้งหมดก็อาจจะเป็นจอมยุทธด้วย ส่วนมากนั้นเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวเว้นแต่ชายและหญิงที่แก่กว่าเล็กน้อย พวกเขาอายุราวสี่สิบปี ระหว่างชายและหญิงนั้นมีอีกคนหนึ่งที่หลับอยู่บนตักของผู้หญิง ไม่เห็นหน้าชัดเจนนัก
“จริงรึ? เขาบอกว่ากองทัพมนุษย์กับกองทัพอสูรอยู่ระหว่างการเผชิญหน้ากันที่กลางดินแดนต้นกำเนิดไม่ใช่รึ?”
ชายหนุ่มชุดขาวอดถามไม่ได้
“ข่าวนี้มันนานมาแล้วนะ”
ชายตัวสูงหัวเราะและเริ่มโม้
“เมื่อเกือบเดือนก่อน มียอดฝีมือปริศนาปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งเราและเอาชนะยอดฝีมือเผ่าอสูรได้ พวกเราชาวมนุษย์ได้ผนึกกำลังกันสวนกลับกองทัพอสูรจนถอยกลับไปจนถึงที่ราบสองดินแดนที่อยู่ระหว่างดินแดนต้นกำเนิดและดินแดนสงบสุข”
“สิบวันก่อน การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น และยอดฝีมือที่เข้าร่วมการต่อสู้อันดุเดือดกับจ้าวอสูรเฟินเทียนที่เพิ่งจะมาถึงเมืองก้นบึ้งจากดินแดนสงบสุข”
“ผลเป็นอย่างไรรึ?”
หญิงสาวชุดสีเหลืองถามตามเรื่องราว เมื่อคนรอบ ๆ ได้ยินพวกเขาก็สนใจเช่นกัน
“ผลก็คือจ้าวอสูรเฟินเทียนบาดเจ็บสาหัสและต้องถอยกลับเมืองก้นบึ้ง ส่วนเผ่าอสูรก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสงบศึกและหยุดการรุกรานดินแดนต้นกำเนิดชั่วคราว”
ชายตัวสูงลุกขึ้นและเหวี่ยงกำปั้นด้วยความตื่นเต้น
“เอ๋?”
เสียงร้องแปลกใจและเสียงอ้าปากค้างดังจากคนโดยสาย
จ้าวอสูรเฟินเทียนของเผ่าอสูรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ ยากมากที่จะหาคนที่ยืนทัดเทียมเสมอบ่าเสมอไหล่ได้ โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์
หลายปีมาแล้วที่เผ่ามนุษย์ได้เกิดการต่อสู้ภายในขึ้น เผ่าอสูรที่ถูกสยบภายใต้ดินแดนสงบสุขของมนุษย์ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ฉวยโอกาสนี้ จ้าวอสูรเฟินเทียนและมหาราชาอสูรทั้งแปดใต้การบัญชาของเขาได้นำทัพอสูรรุกรานดินแดนต้นกำเนิดซึ่งมนุษย์ครอบครองอยู่เป็นส่วนใหญ่ ผลก็คือกองทัพมนุษย์นั้นไร้ทางต่อต้าน และดินแดนส่วนใหญ่ก็ถูกยึดไป ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ สามอาณาจักรถึงกับเตรียมการที่จะถอนตัวออกจากดินแดนต้นกำเนิดด้วยอำนาจทั้งหมดที่มี
เมื่อเป็นเช่นนั้น จอมยุทธมากมายในดินแดนรุ่งโรจน์ก็เตรียมใจที่จะเสียดินแดนต้นกำเนิดไปแล้ว
แต่ในตอนนี้ มีคนกลับพูดว่าไม่ใช่แค่กองกำลังพันธมิตรของมนุษย์จะขับไล่กองทัพอสูรไปได้ที่ทุ่งสองดินแดน แต่แม้กระทั่งจ้าวอสูรเฟินเทียนก็บาดเจ็บสาหัส…
ข่าวนี้น่าตกตะลึงเกินไป และผู้คนก็ไม่อยากจะเชื่อมันในตอนนี้
โดยเฉพาะข่าวเรื่องเฟินเทียนนั้นยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ ท่ามกลางยอดฝีมือที่แข็งแกร่งทุกคนในสามอาณาจักร มีคนที่หยุดจ้าวอสูรที่น่าสะพรึงกลัวผู้นั้นได้จริงหรือ?
“แล้วยอดฝีมือคนนั้นอยู่ไหนล่ะ?”
ไม่นานหลังจากที่ชายสวมชุดดำร่างกำยำถาม ริมฝีปากเขาก็แสดงอาการยั่วยุออกมา
ชายตัวสูงส่าหน้าอย่างเศร้ใจ
“ข้าไม่รู้ หลังจากต่อสู้กับจ้าวอสูรเฟินเทียนแล้วยอดฝีมือคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย จากที่ข้าเดา เขาน่าจะเหมือนกับจ้าวอสูรเฟินเทียนที่บาดเจ็บหนักในสงครามนั้น เขาคงจะไปรักษาตัวนั่นแหละ”
“แล้วเจ้ารู้ว่ายอดฝีมือคนนั้นมาจากไหนหรือไม่? เขามาจากอาณาจักรใดในสามอาณาจักรหรือ?”
ชายชุดดำร่างกำยำถามอีกครั้ง
“ข้าก็ไม่รู้”
ชายตัวสูงหัวเราะ
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าไม่รู้หรอก แม้แต่นักรบจากสามอาณาจักรในสงครามทุ่งสองดินแดนเองก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะพูดว่าเขาผู้นั้นเป็นยอดฝีมือปริศนาหรือ?”
“หึ เจ้าก็แค่แต่งเรื่องขึ้นมาเอง!”
ชายชุดดำร่างกำยำเหยียดหยามและถอนหายใจแรง เขาทำหน้าเหมือนกับ ‘ข้ารู้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!’ ออกมา และความตกใจกับข่าวนี้ของคนโดยรอบก็จางลงไปเพราะพวกเขาต่างสงสัยในความจริง
“เรื่องแบบนี้จะแต่งขึ้นมาได้อย่างไรเล่า?”
ชายตัวสูงจ้องมองเขาและตะโกนอย่างวิตกกังวล
“ลุงของข้าคือแม่ทัพฉิวจี้แห่งอาณาจักรถัง เขาเข้าร่วมสงครามที่ทุ่งสองดินแดนด้วยตัวเองและถูกส่งกลับมาส่งข่าว เขาผ่านเมื่อคลื่นคลั่งเมื่อวานนี้และบอกเรื่องทั้งหมดกับข้า เขาเห็นด้วยตาตัวเอง มันจะเป็นเรื่องโกหกได้อย่างไร?”
“หึหึ…”
แต่เขาก็ถูกระเบิดเสียงหัวเราะใส่
มันดีกว่าที่ชายตัวสูงจะไม่พูดมันออกมาเพราะมันยิ่งไม่น่าเชื่อ แม่ทัพอาณาจักรถังที่เข้าร่วมสงครามใหญ่ที่ทุ่งสองดินแดนกลับไม่รู้ว่าใครคือยอดฝีมือที่ช่วยกองทัพมนุษย์ขับไล่เผ่าอสูรเป็นใคร
“นี่พวกเจ้า ข้าพูดเรื่องจริงนะ!”
ชายตัวสูงตะโกนราวกับคนบ้า
แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้ไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว ชายตัวสูงตะโกนอีกหลายครั้งและนั่งลงด้วยความไม่พอใจ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความโมโห
“หรือว่าเขาจะพูดจริง?”
ถังฮวนไม่เชื่อเขาตั้งแต่แรกเพราะคำพูดเขาเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ถังฮวนเริ่มสงสัย
เหตุผลที่เขาพูดนั้นเป็นไปได้ก็เพราะว่าลุงเขาไม่ได้บอกความจริง อย่างเช่นยอดฝีมือคนนั้นไม่คิดจะเปิดเผยตัวตน ดังนั้นเขาจึงให้เหล่าแม่ทัพของสามอาณาจักรปิดบังความลับเอาไว้ หรือยอดฝีมือคนนั้นก็ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าออกมาเลย เป็นไปได้ที่ยอดฝีมือคนนั้นจะใช้กำลังข่มขู่เหล่าแม่ทัพสามอาณาจักรและร่วมมือกันกับกองทัพพันธมิตรของมนุษย์ขับไล่กองทัพอสูรออกไปที่ทุ่งสองดินแดน
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้น!
“พี่ชาย ข้าเชื่อพี่นะ!”
ต่อมาถังฮวนก็ยิ้มและตบบ่าของชายตัวสูง
ชายตัวสูงอารมณ์เปลี่ยนไปในทันที หลังจากถูกถังฮวนตบบ่าแล้วเขาก็หันมาเบิกตากว้างมองกลับทันที แต่ประโยคต่อมาของถังฮวนก็ทำให้ใบหน้าโมโหของเขาจางหายไปแทนที่ด้วยหน้าที่แดงจากความตื่นเต้น
“เจ้าเชื่อเรื่องที่ข้าพูดจริง ๆ รึ?”
“แน่นอน!”
ถังฮวนหัวเราะและพยักหน้า
“ให้ข้าพูดเถอะ ข้าไม่ได้โกหก ไม่ว่าเรื่องที่ข้าพูดจะจริงหรือไม่ เจ้าก็จะรู้ในตอนที่เราไปถึงดินแดนต้นกำเนิด”
ชายตัวสูงดีใจและมองถังฮวนราวกับว่ากำลังมองมิตรแท้
“น้องชาย เจ้าชื่ออะไรรึ? ข้าชื่อฉิวเจี้ยนจากเมืองคลื่นคลั่ง”
“ถังฮวน”
ถังฮวนยิ้มอีกครั้ง
“ตระกูลถังรึ?”
ฉิวเจี้ยนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น
“ไม่ใช่ ข้าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลถัง ข้าแค่บังเอิญมีสกุลถังเท่านั้น”
ถังฮวนส่ายหน้า
“ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้มาจากตระกูลถัง ในเมืองคลื่นคลั่งน่ะ ที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือตระกูลถังนั่นแหละ”
คิ้วที่ขมวดของฉิวเจี้ยนคลายลง
“...”