ตอนที่ 19 คลื่นใต้น้ำ
หออาวุธเทพ ห้องสมบัติวิเศษ
“ไอ้เด็กนั่นก็ไม่เลว”
มู่คุยสังเกตดาบสีเขียวเข้มในมือ ใบหน้าผอมแห้งของเขามีความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่พูดข้อมือของเขาก็สะบัดกระบี่ในมือและกระบี่ก็สั่นเป็นเสียงเบา ๆ แสงสีเขียวไหลรอบกระบี่ ความเย็นกระจายตัวออกมาในพริบตา
มันคือกระบี่ที่หลอมโดยถังฮวนระหว่างการสอบรอบสอง
ณ ขณะนี้มีแค่มู่คุยและชิงเย่ในห้องสมบัติวิเศษ สาวน้อยชื่อกู้เฟยนั้นสูญเสียความมั่นใจทั้งหมดของนางไปเมื่อได้เห็นขั้นตอนการสอบของถังฮวน ไม่นานหลังจากถังฮวนได้ตราช่างตีอาวุธระดับต่ำไป หลังจากพยายามได้ไม่นานนางก็เอ่ยปากยอมแพ้การสอบรอบสองและออกจากหออาวุธเทพ
“ไม่ใช่แค่ ‘ไม่เลว’ หรอก”
ใบหน้างดงามที่ไม่มีใครเทียบและมีเสน่ห์นั้นแสดงความอัศจรรย์ใจ
“ไม่ใช่แค่เขาใช้เวลาแค่สิบห้านาทีในการหลอมหินหยกเย็น เพราะอย่างไรมันก็เป็นแค่อัญมณีระดับต่ำ แต่เขากลับดูดซับแก่นแท้เพลิงหยางลึกล้ำในหินโอสถได้โดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย”
“จะบอกว่าไร้รอยข่วนได้เรอะ? ไอ้เด็กนั่นไม่เหลือผมกับคิ้วเลยนะ”
เมื่อได้ยินชิงเย่พูดถึงแก่นแท้เพลิงลึกล้ำ มู่คุยก็โมโหและย่นจมูกจ้อง
“ข้าโมโหจริง ๆ อย่างน้อยก็น่าจะเหลือแก่นแท้เพลิงหยางลึกล้ำมาบ้าง แต่เจ้านั่นเล่นดูดซับไปหมดเลย มันไม่กลัวตายรึไง?”
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ชิงเย่ก็หัวเราะออกมา
“ใต้เท้ามู่คุย หรือจะให้ข้าไปจับเอามาระบายความโกรธของท่านดีล่ะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก ยังไงไอ้เด็กเวรนั่นก็ไม่ได้ทำผิดกฎของห้องอาวุธลับ แต่มันสมควรถูกอัดให้สาแก่ใจจริง ๆ มันถึงกับยืมมือข้าฆ่าคนอื่น ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือต่อให้ข้ารู้ว่ามันเป็นกับดัก ข้าก็จำเป็นต้องเข้าไปลงมือ”
มู่คุยก่นด่าด้วยความโมโห
“ฮ่าฮ่า!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชิงเย่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แม้ว่ามู่คุยจะด่าเขาว่า ‘ไอ้เด็กเวร’ แต่เมื่อเขาพูดคำพวกนั้น ในแววตาเขาก็มีรอยยิ้มโดยที่เขาไม่รู้ตัว ชิงเย่ที่สังเกตอยู่ใกล้ ๆ นั้นเห็นทุกอย่างและทำให้นางรู้สึกว่ามันตลกมาก
“ดี แม่สาวน้อย เจ้าหาเรื่องข้าเรอะ”
มู่คุยจ้องนางด้วยความโมโห
“มิได้หรอกท่าน ข้าจะล้อเลียนท่านได้อย่างไร?”
ชิงเย่ฝืนัวเองไม่ให้หัวเราะและโบกมือ
“ใต้เท้ามู่คุย ข้ารู้สึกว่าถังฮวนผู้นี้สมควรแก่การเพาะบ่ม เขาอายุแค่สิบหกปีแต่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง นี่อ่อนแอเกินไปหน่อยก็จริง แต่พรสวรรค์ในการตีอาวุธของเขาและการสอบรองสอง เวลาที่เขาใช้ผสานหินหยกเย็นกับตัวกระบี่ก็น้อยเช่นกัน มันยากที่จะเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาตีอาวุธระดับต่ำ”
หลังจากหยุดพักเล็กน้อย ชิงเย่ก็พูดต่อ
“ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็คือไม่ใช่แค่เพลิงของเขาจะรุนแรงเป็นอย่างมาก แต่ร่างกายเขายังเป็นธาตุโลหะอีกด้วย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาจากไหน?”
มู่คุยพูดเบา ๆ
ชิงเย่ยิ้มเล็กน้อย
“ข้าส่งลู่เหยาไปสืบแล้ว ข้าคิดว่าเราจะได้ข่าวในอีกไม่นาน”
“เอาเถอะ เดี๋ยวเราจะได้เห็นเขาในงานประลองตีอาวุธอีกสองเดือนข้างหน้า”
มู่คุยพยักหน้า จากนั้นชายหนุ่มที่อยู่ชั้นหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ลู่เหยา เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้เชียวรึ?”
ชิงเย่แปลกใจเล็กน้อย
“ท่านจ้าวหอ ใต้เท้ามู่คุย ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวที่น่าตกใจมา”
มีร่องรอยความตกใจอยู่ที่ระหว่างคิ้วของลู่เหยา
“เมื่อเช้านี้ มีคนใช้เสาเงาเพลิงในร้านอาวุธสมุทรดาราและจุดไฟได้สูงสิบสองเมตร”
“ว่าไงนะ?”
ชิงเย่และมู่คุยตกใจเมื่อได้ยินข่าว
สาวน้อยจากเมืองช่างสวรรค์เองก็จุดไฟเสาเงาเพลิงได้สิบสองเมตร และตอนนี้ก็มีอีกคนปรากฏในเมืองคลื่นคลั่งงั้นหรือ?
“ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนั้นยังเป็นถังฮวน!”
ลู่เหยาบอกข่าวใหญ่อีกเรื่อง
“ถังฮวนรึ?”
เมื่อได้ยินสองคำนี้ ชิงเย่และมู่คุยก็สูดหายใจเอาความเย็นเข้าปอดพร้อมกัน ลูกตาพวกเขาแทบจะหลุดออกมาที่พื้น
“...”
… …
ที่ห้องใหญ่ในตระกูลถังที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองคลื่นคลั่ง มีคนสำคัญของตระกูลถังมารวมตัวอยู่ด้วยกัน บรรยากาศนั้นค่อนข้างไม่ค่อยดีนัก
ถังเฉาและถังหงนั่งอยู่ที่ประตู แม้ว่าสถานการณ์ของทั้งสองจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังคงบวมอยู่และผสมไปด้วยสีเขียวและม่วง โดยเฉพาะถังเฉาที่ก้มหน้าและไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ความพ่ายแพ้อันน่าอนาถใจที่ร้านตีอาวุธนั้นทำให้เขาที่เคยย่ามใจกลับกลายเป็นโศกเศร้า
ถังหงแอบเหลือบมองคนในห้องและไม่กล้าแม้แต่หายใจ
ทุกครั้งที่เขามองศพที่กลางห้อง หัวใจของถังหงจะสั่นด้วยความเยือกเย็น ทีแรกเขาคิดว่าถ้าถังเทียนหรงและถังเทียนห่าวร่วมมือกัน พวกเขาจะจับตัวถังฮวนได้ในเวลาไม่นานและเขาจะได้ล้างแค้น เขาถึงกับคิดวิธีมากมายในการทรมานถังฮวน
แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะไม่กลับมาแม้จะผ่านเวลาไปนานแล้ว และเมื่อพวกเขากลับมาก็กลับกลายเป็นถังเทียนหรงที่แบกศพถังเทียนห่าวบนหลัง
ที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุดก็คือถังเทียนห่าวนั้นเป็นจอมยุทธขั้นสี่แต่กลับถูกสังหารในฝ่ามือเดียว และคนที่สังหารเขาก็คือมู่คุยแห่งหออาวุธเทพ!
ในเมืองคลื่นคลั่งแห่งนี้ มู่คุยคือหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดและตัวตนของเขาก็คือช่างตีอาวุธระดับสูงที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเขายิ่งกว่าเดิม
“มู่คุย เจ้าจะทำเกินไปแล้ว!”
สุดท้ายก็มีเสียงเกรี้ยวกราดทำลายความเงียบในห้อง ผู้พูดคือชายวัยกลางคนที่ผิวเรียบเนียนดูสง่างาม เขานั้นคือถังเทียนฉี บิดาของสองพี่น้อง ในตอนนี้ใบหน้าเขาหม่นหมองอย่างมาก
ครั้งนี้ มีสามคนที่ตายและบาดเจ็บในตระกูลถัง และสองคนที่บาดเจ็บคือลูกชายของเขา ถังหงนั้นมีบาดแผลภายนอกที่เห็นได้ชัด แต่กับถังเฉาเล่า? แขนของเขาถูกเผาด้วยพลังของเพลิงแท้ แม้แต่อวัยวะภายในก็บาดเจ็บไปด้วย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟื้นตัวเต็มที่ในระยะเวลาสองหรือสามเดือน
ดังนั้นถังเทียนฉีจึงโมโหยิ่งกว่าเดิม
“เบื้องหลังมู่คุยคือหออาวุธเทพ เราตระกูลถังมิอาจล่วงเกินพวกเขาได้”
เสียงถอนหายใจดังออกมาทันที ผู้ที่พูดคือชายชราในชุดเขียว
“แล้วจะอย่างไร? ปล่อยให้มันจบเช่นนี้หรือ?”
ถังเทียนฉีหน้ากลายเป็นสีเขียว
“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรรึ?”
ชายชราถามต่อ
“ข้า…”
ถังเทียนฉีโมโห ถ้าหากเขามีหนทาง เขาก็ไม่ต้องมาระบายความโกรธที่นี่
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ส่วนเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เราก็ฟังพี่ใหญ่แล้วกัน”
ชายที่มีหน้าสีแดงกร้านตบที่พักแขนของเก้าอี้เขาและพูดด้วยเลี้ยงทุ้มต่ำ
ชายร่างกำยำนี้คือน้องชายคนที่สามของถังเทียนฉี ถังเทียนเฟิง และเมื่อได้ยินคำพูดของเขาทุกคนก็หันไปมองชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเกียรติสูงสุด
เขาคือผู้ที่เป็นเจ้าตระกูลถังในตอนนี้ ถังเทียนเหริน
“ข้าไม่เคยคิดว่าความเมตตาจะทำให้ตระกูลถังของพวกเราต้องเจอกับภัยพิบัติถึงเพียงนี้”
ถังเทียนเหรินหน้าหม่นหมอง
“ถ้ามันผ่านการทดสอบและเป็นช่างตีอาวุธระดับต่ำที่หออาวุธเทพยอมรับแล้ว มันก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของหออาวุธเทพ เราจะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ได้ไปสักระยะ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้หออาวุธเทพได้โต้ตอบ…อดทนไว้ก่อนน้องสอง เรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ เราต้องส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของมัน ค่อย ๆ สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงตอนนั้นจะมีโอกาสให้เราลงมือ”