ตอนที่ 1055 ประสบการณ์.. ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา
หลังจากฟังประสบการณ์ของ อู๋ ต๋า แล้ว หลินฟาน เกิดความรู้สึกเสียใจ และเขาก็ได้คิดว่าหากเขาได้อยู่ข้างๆ เขาในปีนั้น เขาเองอาจสามารถหยุดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นไม่ให้เกิดขึ้นได้ แต่.. แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสามสิบปีที่แล้ว หลินฟาน ก็ยังไม่เกิดเลย ทั้งโศกนาฏกรรมที่ว่านี้ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ประวัติศาสตร์เองก็ไม่สามารถเขียนมันขึ้นมาใหม่ได้ แม้ว่า หลินฟาน จะมีโชคระดับสุดยอดก็ตาม มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้..
เหตุผลที่ หลินฟาน รู้สึกเสียใจ นั่นก็เพราะ อู๋ ต๋า เป็นอัจฉริยะจริงๆ และถ้าเขาไม่ได้พิการ และเกษียณตัวเองออกไปในปีนั้น ความสําเร็จของเขาก็แทบที่จะประเมินค่าไม่ได้ บางทีเขาอาจจะนําพาความรุ่งโรจน์มาสู่วงการฟุตบอลจีน ..ได้จริงๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างตอนนี้ ฟุตบอลทีมชาติ ได้เข้ารอบฟุตบอลโลกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้ตกรอบในรอบแบ่งกลุ่มโดยที่ไม่แม้แต่จะสามารถทำประตูเดียวได้ หากมี อู๋ ต๋า อยู่.. บางทีฟุตบอลทีมชาติ อาจเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลก ได้ก่อนกําหนดหลายปี และอาจทําประตูในเกมการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ หรืออาจจะผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มด้วยซ้ำ
น่าเสียดาย นี่ถ้าไม่มี… เหตุการณ์ครั้งนั้น
ทั้ง.. ในปีนั้นมันก็ไม่เพียงแต่ทําลายชีวิตของ อู๋ ต๋า แต่มันกลับยังทําลายฟุตบอลจีนไปด้วย
เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีคนจงใจทํากันแน่?
หลินฟาน ได้ใช้ข้อมูลเชิงลึกระดับบนสุดของเขา แล้วก็ได้พบว่าเรื่องนี้.. มันไม่ง่าย
“นี่หรือว่า ลุงต๋า ที่ถูกคนทุบขาจนหัก มันไม่ใช่อุบัติเหตุ?” เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้ถามด้วยความประหลาดใจ
หลินฟาน กล่าวว่า : “จากสิ่งที่ ลุงต๋า อธิบายมา มันก็มีข้อสงสัยนี้จริงๆ ลุงต๋า เองมีความคิดเห็นอย่างไรครับ?”
อู๋ต๋า ได้ตกตะลึง เขาดูเหมือนจะไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้มาก่อนเลย เมื่อนั้นเขาก็ได้กล่าวไปว่า : “ในปีนั้นกลุ่มคนเลวพวกนั้น ก็ล้วนแล้วแต่ได้ถูกลงโทษตามกฎหมาย ในตอนนั้นเองก็ได้สรุปว่าเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉัน กับจิน จิ่วฟู่ ได้รับบาดเจ็บ ฉันก็เคยถามตัวเองเสมอว่า ทําไมต้องเป็นฉัน ทําไมคนที่ขาหักถึงต้องเป็นฉัน.. ปัญหานี้มันก็ได้กวนใจฉันมาตลอดหลายปี หลายปีต่อมา ฉันจึงได้ปล่อยวางมันลง และคิดไปว่าบางที ..นี่อาจเป็นความต้องการของเทพเจ้าล่ะมั้ง? เจ้านาย.. ตอนนี้คุณช่วยบอกฉันหน่อยเถอะว่า มีคนจงใจหักขา หรือว่ามีคนที่ต้องการพยายามฆ่าฉันกันแน่?”
หลินฟาน ยิ้ม แล้วพูดว่า : “บางทีผมอาจจะคิดมากจนเกินไปเองก็ได้มั้งครับ”
พูดพลาง หลินฟาน ก็ได้ตบไหล่ อู๋ ต๋า เพื่อปลอมใจ เพื่อให้เขาได้สบายใจ
“อย่างไรก็ตาม ลุงต๋า คุณใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่คุณเกษียณตัวเอง ไม่ทราบคุณช่วยแชร์ประสบการณ์นี้ให้เราได้รู้ ได้ไหม?” หลินฟาน ได้กล่าวต่อ
ตอนนี้.. เมื่อได้พูดคุยกันแล้ว หลินฟาน เองก็ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม
อู๋ ต๋า กล่าวว่า : “อืมม.. ในช่วงสองสามปีแรกๆ ฉันยอมแพ้ตัวเองจริงๆ ฉันหลงทางจริงๆ สิ่งที่ฉันรักก็ไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อนั้นฉันเอง ..ได้แต่เดินไปเหมือนศพเดินได้ เพราะขาฉันพิการไปแล้ว ฉันเองจึงจําเป็นต้องเกษียณตัวเองออกมา แม้ว่าฉันจะไม่อยากเกษียณ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เจ้านายในปีนั้นบอกให้ฉันอยู่ในทีมต่อไป และทํางานบางอย่างที่ทำได้ แต่จิตใจของฉันแย่มากจนถึงขั้นรับไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงได้ปฏิเสธความหวังดีของเจ้านาย และออกจากสโมสร และกลับไปที่บ้านเกิดของฉัน”
ครอบครัวของ อู๋ ต๋า ยังถือได้ว่ามั่งคั่ง พ่อของเขาทําธุรกิจ แม่ของเขาเป็นครู และมีบ้านในหยุนเฉิง นี่คือเหตุผลที่ อู๋ ต๋า สามารถเล่นบอลได้ตั้งแต่เด็ก หลังจากเขาเกษียณแล้ว พ่อแม่ของเขาก็สามารถเลี้ยงดูเขาได้
ในช่วงสองสามปีแรก อู๋ ต๋า ได้นั่งยองๆ ร้องไห้ออกมาในทุกๆ วัน เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี ไม่ว่าจะมีใครแนะนําอะไรเขา มันก็ไม่มีประโยชน์.. ตัวเขาเองมองไม่เห็นอนาคต พ่อแม่ของเขาก็ได้เสียใจมาก และทําอะไรไม่ถูกเช่นกัน
หลายปีต่อมา อู๋ ต๋า ก็ค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืด เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของเขาได้เริ่มมีผมหงอก และดูแก่ลงในทุกๆ วัน อู๋ ต๋า ก็ตระหนักได้ว่าเขา ..ไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีกต่อไปแล้ว เขาต้องการหางานเพื่อหาเลี้ยงชีพ พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอดชีวิต และต่อไปพวกเขายังต้องพึ่งพาเขา ..เลี้ยงดู
อู๋ ต๋า ได้คิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง เขารักฟุตบอล และรู้สึกว่าเขาควรจะทำงานเกี่ยวกับฟุตบอลต่อไป เขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้อีกต่อไปแล้ว แน่นอนเรื่องนี้เขารู้ดี แต่ด้วยความรู้เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล เขาสามารถสอนผู้คนให้เล่นฟุตบอลเป็นได้ ใช่.. เขาต้องการเป็นโค้ช
แต่สิ่งต่างๆ มันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิด เนื่องจากปัญหาขาของเขา.. จึงไม่มีทีมใดอยากจ้างเขา แม้ว่าเขาจะแสดงความเต็มใจที่จะเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยโค้ช ก็ไม่มีประโยชน์.. บวกกับเขาอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ในปีนั้น ใครจะเชื่อว่าชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบปี จะสามารถทําหน้าที่เป็นโค้ชได้ นับประสาอะไรกับเขาที่เกษียณตัวเองออกมาหลายปีแล้ว ยิ่งไม่มีใครมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเขา
แม้แต่ทีมหยุนเฉิงที่เขาเล่นในปีนั้น ก็ไม่ยอมเลือกใช้เขา เจ้านายในปีนั้นยินดีที่จะรับเขาเข้าไป แต่ไม่ใช่เป็นโค้ช แต่ทํางานด้านลอจิสติกส์ เขาจึงได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เขาไม่สามารถเป็นโค้ชให้กับทีมใดได้ เขาจึงได้ถอยกลับ และพยายามเป็นครูในโรงเรียนสอนฟุตบอล แต่ก็ถูกขัดขวางเช่นกัน ไม่มีโรงเรียนใดยอมจ้างเขา เหตุผลก็เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น ชายหนุ่มขาพิการตั้งแต่อายุยี่สิบปี แม้จะเคยเป็นอดีตนักเตะอัจฉริยะ แต่มัน ..ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
อู๋ ต๋า อยู่ในจุดที่เดินไปทางไหนก็ชนแต่กำแพง เขาทำอะไรไม่ถูก ทั้งรู้สึกจนใจ และโกรธอย่างมาก และด้วยความโกรธ เขาจึงได้ตัดสินใจจะทำมันขึ้นมาเอง เขาต้องการสร้างโรงเรียนสอนฟุตบอล!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฐานะทางบ้านของเขาจะมั่งคั่งเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนความฝันของเขาได้ เขาเองได้พยายามทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สามารถรวบรวมเงินมากพอ เพื่อมาสร้างโรงเรียนได้
ในเวลานี้ จิน จิ่วฟู่ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
หลายปีที่ผ่านมา จิน จิ่วฟู่ ในเวลานั้นก็ได้กลายมาเป็นดาวเตะที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ แม้แต่ในต่างประเทศเขาก็ได้มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ชื่อเสียง และโชคลาภมันก็มักจะมาด้วยกันเสมอ จิน จิ่วฟู่ ในเวลานั้นเขาก็ได้ร่ำรวยมาก อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ ขับรถหรู และเล่นสนุกกับสาวๆ ตัวเขาเองถือได้ว่า ได้บรรลุความฝันของตัวเขาเองได้แล้ว ในปีนั้น
เมื่อเขาได้ยินว่า อู๋ ต๋า ต้องการจัดตั้งโรงเรียนสอนฟุตบอล จิน จิ่วฟู่ ก็ได้ริเริ่มที่จะมาหา อู๋ ต๋า และแสดงความเต็มใจที่จะจัดหาเงินทุน
“อู๋ ต๋า ฉันดีใจที่ในที่สุดนายก็มีกําลังใจขึ้นมาได้แล้ว หลายปีมานี้ฉันก็ทําเงินได้บ้าง เราเองก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน ฉันเองก็ไม่สามารถนั่งนิ่งเฉยอยู่ได้ และตอนนี้นายก็ต้องการเงิน ฉันก็จะออกมันให้เอง!” จิน จิวฟู่ ได้กล่าว
อู๋ ต๋า รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขารู้ว่า จิน จิ่วฟู่ มีชื่อเสียงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และเขาก็ทำผลงานได้ดีมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่เคยริเริ่มที่จะไปหาเขา นับประสาอะไรกับการจะไปขอเงินจากเขา ตอนนี้ จิน จิ่วฟู่ ได้ริเริ่มที่จะมาหาเขา เพื่อพิสูจน์ว่า จิน จิ่วฟู่ ไม่ได้ลืมเขา ทั้งในฐานะพี่ชายของเขาเช่นกัน และจริงๆ แล้วพวกเราก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันจริงๆ
ในที่สุด อู๋ ต๋า ก็ได้ยอมรับความเมตตาจาก จิน จิ่วฟู่ และด้วยความช่วยเหลือเรื่องเงินทุนจาก จิน จิ่วฟู่ เขาจึงสามารถเปิดโรงเรียนสอนฟุตบอลไปได้อย่างราบรื่น
อู๋ ต๋า ได้กลายเป็นอาจารย์ใหญ่ และดํารงตําแหน่งหัวหน้าโค้ชของโรงเรียน อู๋ ต๋า ได้รู้สึกราวกับว่าเขาได้รับชีวิตใหม่ ในที่สุดเขาก็มีอาชีพที่เขาสามารถอุทิศทั้งชีวิตให้กับมันได้แล้ว เขาเองมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ และเขาก็ต้องการส่งเสริมเด็กที่มีความสามารถให้กับวงการฟุตบอลจีน!
จุดประสงค์ของ อู๋ ต๋า ในการบริหารโรงเรียน คือเขาเพียงแค่ต้องการฝึกให้กับเหล่านักเตะในอนาคตเหล่านี้เท่านั้น แต่เขาก็มีข้อกําหนดที่เข้มงวดมากสําหรับนักเรียน การคัดเลือกนักเรียนเพียงอย่างเดียว ก็ต้องผ่านกระบวนการที่เข้มงวดมาก
อู๋ ต๋า ได้เลือกนักเรียนเข้ามาหลายร้อยคน โดยไม่เคยสนใจฐานะทางบ้านของนักเรียน, เด็กหลายคนเองที่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยที่อยากจะส่งลูกให้เข้ามา แต่เพราะสอบไม่ผ่าน พวกเขาจึงได้ถูก อู๋ ต๋า ปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี และมันก็ได้มีเด็กที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ แต่ด้วยพรสวรรค์ที่ดี อู๋ ต๋า จึงได้ยินดีรับเข้าเรียน และลดค่าเล่าเรียนให้
ด้วยการดําเนินการเช่นนี้ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงเรียนสอนฟุตบอลของ อู๋ ต๋า ก็ได้ปลูกฝังต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมได้มากมาย คนเหล่านี้ได้เข้าร่วมค่ายฝึกเยาวชน และบางคนก็ได้กลายเป็นนักเตะที่ดี
เพียงไม่นาน.. โรงเรียนของ อู๋ ต๋า ก็ได้มีชื่อเสียงมากขึ้น และได้กลายมาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สําหรับเหล่าเด็กๆ จํานวนมาก ที่ต้องการเรียนฟุตบอล
แต่การที่ อู๋ ต๋า ทำแบบนี้ มันก็กลับมีปัญหาร้ายแรงตามมา โรงเรียนไม่สามารถทำเงินได้มาก และถึงขั้นขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
อู๋ ต๋า อาจเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม แต่เขาไม่ใช่นักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม หรืออีกนัยหนึ่งคือ ..เขาไม่เคยคิดในเรื่องที่จะทําเงินเลย
เมื่อเวลาผ่านไป จิน จิ่วฟู่ ก็เต็มไปด้วยความคิดเห็น และความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง ก็ได้เกิดขึ้นตามมา..