ตอนที่ 145: ข่าวของแอวริล
ตอนที่ 145: ข่าวของแอวริล
ค่ายฝึกจัสทิสลีกยังคงสวยงามเช่นเดิมและมันก็ทำให้เซี่ยเฟยที่พบกับความยากลำบากมาตลอดทั้งปีเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
“ค่ายฝึกแห่งนี้สะดวกสบายมากแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ การฝึกฝนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้ผู้ฝึกขาดความระแวดระวัง ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงสำหรับนักสู้มืออาชีพ” เซี่ยเฟยพูดเบา ๆ ขณะที่เขามองไปรอบ ๆ ค่าย
“ตอนแรกที่ฉันสนับสนุนให้นายมาเข้าร่วมกับค่ายฝึกนี้ นั่นก็เพราะชื่อเสียงและวัตถุดิบที่ทางค่ายได้สะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนคนภายนอกจะประเมินค่ายฝึกจัสทิสลีกสูงเกินไป และระบบการฝึกฝนของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเลิศเลอเหมือนกับที่คนนอกเคยบอกเอาไว้เลย”
“ถึงยังไงก็ตามวิธีการที่ทำให้นักเรียนสามารถดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลเข้าไปเพิ่มพลังของตัวเองได้นั้นก็เป็นวิธีการที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่นายคงจะไม่ได้มีโอกาสไขความลับของมัน” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เพราะมันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากเขาสามารถดูดซับพลังจากหัวใจจักรวาลมาเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้โดยตรง นอกจากนี้ค่ายชั้นในยังเก็บรักษาวิธีการแปลงพลังงานของหัวใจจักรวาลอย่างเข้มงวด และการเข้าถึงความลับนั้นก็อยู่ห่างจากความสามารถของคนอย่างเขาไปไกล
ชายหนุ่มเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องสมุด ก่อนที่เขาจะได้เห็นฉินหมางนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้โดยที่บนโต๊ะมีถ้วยชาใบโปรดของเขาตั้งอยู่
“กลับมาแล้วหรอ” ฉินหมางกล่าวโดยไม่แสดงความประหลาดใจออกมาเลยแม้แต่น้อยราวกับเซี่ยเฟยไม่เคยหายตัวไปอย่างลึกลับ
“ทำไมอยู่ ๆ คุณตาถึงมาสูบบุหรี่หรอครับ ผมจำได้ว่าคุณตาเคยบ่นว่าบุหรี่พวกนี้มันเหม็นมาก” เซี่ยเฟยเดินเข้าไปหาฉินหมางด้วยรอยยิ้ม
ชายชราโยนก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่บนโต๊ะก่อนที่เขาจะบิดขี้เกียจและกล่าวออกมาว่า
“ตอนที่นายไม่อยู่ฉันรู้สึกเบื่อ ๆ นิดหน่อย ฉันจำได้ว่านายเคยบอกว่าการสูบบุหรี่ทำให้นายรู้สึกผ่อนคลาย ฉันเลยลองซื้อบุหรี่มาสูบดู 2-3 ซอง”
ต่อมาเซี่ยเฟยก็เริ่มทำความสะอาดห้องสมุดเหมือนเช่นเคย สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือทั่วทั้งห้องสมุดมีก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งโดยชายชรา
“คราวนี้นายหายไปไหนมา?” ฉินหมางถามด้วยความสงสัย
“ผมบอกได้แค่ว่ามันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม แต่เนื่องจากกฎที่ถูกบัญญัติไว้ทำให้ผมไม่สามารถเล่าอะไรมากกว่านี้ได้ครับ ถ้าหากคุณตาเชื่อใจผมก็อย่าถามผมเรื่องนี้อีกเลยครับ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“เล่าให้ฉันฟังคนเดียวก็ไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้ครับ”
คำตอบของเซี่ยเฟยชัดเจนมากจนทำให้ฉินหมางต้องถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“มันมีกฎที่เข้มงวดขนาดนั้นอยู่ในจักรวาลด้วยหรอ ช่างมันเถอะถึงยังไงทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง ฉันจะไม่ถามถึงเรื่องนี้แล้วก็ได้”
“ว่าแต่เมื่อกี้ฉันสังเกตเห็นความเร็วของนายพัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อน การจะพัฒนาความเร็วให้ได้ขนาดนี้ภายในเวลา 1 ปีหมายความว่าช่วงเวลาที่หายไปคงจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสินะ ตอนนี้ความเร็วของนายอยู่ในระดับไหนแล้ว?”
“สตาร์ฟิลด์ขั้นกลางครับ” เซี่ยเฟยตอบกลับสั้น ๆ
“ขั้นกลาง!” ฉินหมางอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่มีพลังสายความเร็วระดับสตาร์ฟิลด์ขั้นกลางเป็นตัวตนที่น่ากลัวมาก เพราะท้ายที่สุดพลังสายความเร็วก็เป็นพลังที่พัฒนาได้ยากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในตอนนี้แม้แต่โบซิงวาก็ยังมีพลังสายความเร็วอยู่ในระดับสตาร์ฟิลด์ขั้นสูงเท่านั้น ขณะที่เย่เสี่ยวหานผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ก็มีพลังสายความเร็วอยู่ในระดับสตาร์ฟิลด์ขั้นกลางซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับเซี่ยเฟย
อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าทั้งโบซิงวาและเย่เสี่ยวหานต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นครูฝึกของค่ายชั้นใน นอกจากนี้โบซิงวาก็ยังเคยเป็นอดีตสมาชิกทีม 13 ที่โด่งดัง แต่เซี่ยเฟยกลับสามารถพัฒนามาจนถึงระดับนี้ได้ในอายุเพียงแค่ 19 ปี
ระดับพรสวรรค์ของเซี่ยเฟยมันจะน่ากลัวมากเกินไปแล้ว!
เหล่าเฮยเดินไปทางเซี่ยเฟยอย่างเกียจคร้านพร้อมกับใช้ใบหน้าถูขาชายหนุ่มด้วยท่าทางที่ออดอ้อน
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะอุ้มแมวอ้วนตัวสีดำขึ้นมาลูบหัวมันเบา ๆ
“ดูเหมือนเหล่าเฮยจะคิดถึงนายนะ ฉันแนะนำว่าหลังจากที่นายกลับมาในครั้งนี้ให้อยู่เฉย ๆ ไปสักระยะ พูดตามตรงว่านายชอบหายตัวไปบ่อย ๆ จนมันปรับอารมณ์ไม่ทัน” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
คำพูดจากชายชราทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้อยากจะหายตัวไปเลยสักครั้ง แล้วเขาจะอยู่เฉย ๆ เพื่อไม่หายตัวไปอย่างกะทันหันตามที่ฉินหมางพูดได้ยังไง?
“คราวนี้ผมกลับมาค่ายแค่ไม่นานครับ หลังจากผมกลับไปรายงานผู้บัญชาการเย่ในช่วงบ่ายแล้วผมจะรีบออกเดินทางในคืนนี้เลย” เซี่ยเฟยกล่าว
“อะไรกันนายเพิ่งจะกลับมาแต่จะไปอีกแล้วอย่างนั้นหรอ?” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เซี่ยเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจเล่าเรื่องของพอตเตอร์ให้ฉินหมางฟัง ซึ่งหลังจากที่ชายชราได้ฟังเรื่องของพอตเตอร์แล้วเขาก็ได้เผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมาบนใบหน้า
“ถ้าอย่างนั้นนายก็รีบออกเดินทางตามแผนเถอะ”
คำพูดของชายชราถึงคราวที่ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกไม่เข้าใจ เพราะท้ายที่สุดเขาต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตัวเองอยู่นานเพื่อให้เดินทางออกไปค้นหาพอตเตอร์ในภูมิภาคดาวมฤตยู เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายแล้วมันก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่เซี่ยเฟยตัดสินใจจะเสี่ยงนั่นก็เพราะว่าเขาต้องการไปสำรวจจักรวาลในส่วนที่เขาไม่รู้จัก นอกจากนี้สัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของเขายังร้องเตือนออกมาว่าเขาสมควรจะรีบไปช่วยเหลือพอตเตอร์ แต่ฉินหมางกลับสนับสนุนให้เขารีบออกเดินทางหลังจากฟังสถานการณ์ไปได้เพียงแค่ไม่นาน ราวกับว่าการเดินทางในครั้งนี้มันไม่ได้มีอันตรายใด ๆ ในความคิดของฉินหมางเลย
“นายรู้จักพอตเตอร์มากแค่ไหน?” ฉินหมางถาม
“ผมเคยได้ยินลุงพอตเตอร์เล่าให้ฟังว่าเขาเคยทำงานในกองทัพและใช้ช่วงเวลาหลังเกษียณเปิดธุรกิจอู่ซ่อมยานในสุสานยานอวกาศครับ” เซี่ยเฟยตอบกลับอย่างคลุมเครือ
ชายหนุ่มจงใจละเว้นเรื่องที่พอตเตอร์มอบชิพโอเวอร์โหลดให้กับเขาและพอตเตอร์สามารถเขียนอักษรดาวตกได้ เพราะท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นความลับที่สำคัญและเซี่ยเฟยก็ไม่ชอบพูดความลับของคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต
“ในเมื่อเขาร้องขอความช่วยเหลือนายก็ควรจะต้องรีบไปให้ความช่วยเหลือเขา ฉันสรุปให้สั้น ๆ ว่าพอตเตอร์เป็นคนที่แปลกประหลาดมากและการที่นายได้อยู่กับเขามันก็จะเป็นประโยชน์กับนายในอนาคต” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
คำตอบของฉินหมางก็ค่อนข้างจะคลุมเครือเช่นเดียวกัน แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้เลือกที่จะถามต่อ
เห็นได้ชัดเลยว่าฉินหมางจะต้องรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพอตเตอร์แต่ชายชรายังไม่ต้องการจะเล่าเรื่องพวกนั้นออกไป ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงไม่ต้องการจะตั้งคำถามให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจ
อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าฉินหมางรู้จักเบื้องหลังของพอตเตอร์แล้วสนับสนุนให้เขาเริ่มออกเดินทางในทันที มันก็ทำให้เขามีความมุ่งมั่นในการเดินทางครั้งนี้มากขึ้นกว่าเดิม
แต่ก่อนออกเดินทางมันยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องกลับไปจัดการเสียก่อน เพราะในระหว่างที่เขาไม่อยู่มันก็ดูเหมือนกับว่าบริษัทควอนตัมจะเริ่มมีความไม่มั่นคง
การเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเซี่ยเฟยเพียงแค่เล็กน้อยไม่สามารถรอดพ้นสายตาของฉินหมางไปได้ ชายชราจึงได้กล่าวถามขึ้นมาว่า
“นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรครับ เพียงแค่จู่ ๆ เพื่อนผมคนหนึ่งก็ติดต่อไม่ได้มันเลยทำให้ผมรู้สึกกังวลนิดหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับฝืนยิ้ม
“ถ้าเป็นห่วง แล้วทำไมไม่ไปหาล่ะ”
“ถ้าผมรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนผมก็คงจะไปหาเธอแล้วครับ แต่เพื่อนของผมคนนี้ค่อนข้างพิเศษถึงแม้ว่าเธอจะติดต่อมาหาผมตลอดแต่ผมกลับไม่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของเธอเลย” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยความลำบากใจ
“นายกำลังหมายถึงแอวริลใช่ไหม?” ฉินหมางพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
คำพูดนี้ทำให้บุหรี่ภายในมือของเซี่ยเฟยสั่นอย่างรุนแรงจนทำให้ก้นบุหรี่เกือบที่จะหลุดจากนิ้วของเขาออกไป
เขาไม่เคยเล่าเรื่องแอวริลให้ใครฟัง แล้วฉินหมางรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?
“ใช่ครับ เพื่อนของผมชื่อแอวริล คุณตารู้จักเธอหรอครับ” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“รู้จักแต่ฉันไม่บอก” ฉินหมางหัวเราะเสียงดังพร้อมกับใช้มือตบไหล่เซี่ยเฟยอย่างแรง
รู้แต่ไม่บอก? มันหมายความว่ายังไง?
“เอาเป็นว่านายไม่จำเป็นจะต้องเล่าให้ฉันฟังว่าในปีที่ผ่านมานายหายไปที่ไหนบ้าง แต่ฉันก็จะไม่เล่าเรื่องของแอวริลให้นายฟังเหมือนกัน” ฉินหมางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยทำอะไรไม่ถูก เพราะถึงแม้ว่าเขากับฉินหมางจะรู้จักกันมาสักระยะหนึ่งแล้วแต่เขาก็ไม่รู้ว่าชายชราคนนี้จะเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น
แค่เขาไม่เล่าเรื่องการเดินทางไปยังดาวมรดกให้ชายชราฟัง ฉินหมางกลับเอาเรื่องของแอวริลมาแก้แค้นเขาในทันที
“ผมเล่าไม่ได้จริง ๆ ครับคุณตา” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจังเมื่อพูดถึงเรื่องความเป็นความตาย
ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้เขาจะไม่ได้พบกับแอวริลอีกแล้วแต่เขาก็ต้องเก็บรักษาความลับเรื่องดาวมรดกเอาไว้กับตัวเอง เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องทั้งสองนี้อะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน
เสียงหัวเราะของฉินหมางหยุดลงอย่างกะทันหัน เพราะตอนแรกเขาต้องการที่จะแกล้งเซี่ยเฟยเล่นเท่านั้นเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเป็นคนที่จริงจังมากขนาดนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกินกว่าความคาดหมายของฉินหมางไปไกล
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงสินะ” ฉินหมางกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับทั้ง ๆ ที่ขมวดคิ้ว
“เอาล่ะฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้… หลังจากที่นายหายตัวไปแอวริลก็ออกตามหานายทุกที่แม้กระทั่งเดินทางไปหายังสถานที่ที่นายหายตัวไป ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเป็นห่วงนายมาก เพียงแต่ว่า…”
ฉินหมางเริ่มลังเลที่จะเล่าต่อก่อนที่เขาจะหัวเราะให้ตัวเองแล้วพูดต่อไปว่า
“ทำไมคนแก่อย่างฉันจะต้องเข้าไปยุ่งเรื่องของหนุ่มสาวด้วยเนี่ย”
หลังจากพูดจบฉินหมางก็หยิบกระดาษปากกามาจดที่อยู่แล้วมอบให้กับเซี่ยเฟย
“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ เธอคนนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับนาย จะทำอะไรก็ขอให้พึงระลึกถึงสถานะตัวเองเอาไว้” ฉินหมางกล่าวอย่างจริงจัง
เซี่ยเฟยไม่เข้าใจว่าฉินหมางกำลังหมายถึงอะไร แต่เขาก็รีบหยิบกระดาษที่รับจากชายชรามาเปิดดู
“คฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่า กลุ่มดาวนครหลวง กาแล็กซี่วีนอล ภูมิภาคดาวคานิดี้”
ภูมิภาคดาวคานิดี้เป็นภูมิภาคดาวหลักของพันธมิตรมนุษย์ โดยภูมิภาคดาวนี้เป็นแหล่งรวมความเจริญทั้งหมดและกลุ่มดาวนครหลวงของพันธมิตรมนุษย์ก็ตั้งอยู่ภายในภูมิภาคดาวแห่งนี้ด้วย
หากจะให้สรุปที่อยู่ที่ฉินหมางเขียนมาสั้น ๆ ที่อยู่ของแอวริลก็ควรจะเป็นคฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่าในเมืองหลวงของพันธมิตร
ทั่วทั้งจักรวาลมีประชากรมนุษย์อยู่มากกว่าล้าน ๆ คน แต่ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในกลุ่มดาวนครหลวงมีจำนวนที่น้อยมาก เพราะการเข้าไปพักอาศัยในกลุ่มดาวนั้นมีข้อจำกัดที่เข้มงวดจนทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถย่างเท้าเข้ามาใกล้กลุ่มดาวนครหลวงได้ตลอดชีวิต
บ้านของแอวริลอยู่ในกลุ่มดาวนครหลวงจริงดิ!!
เซี่ยเฟยเก็บที่อยู่ของแอวริลลงไปในแหวนมิติของเขาอย่างเงียบ ๆ และสัญชาตญาณของเขาก็กำลังกรีดร้องถึงลางร้าย
“ด้วยสถานะในปัจจุบันนายไม่มีทางเข้าไปในกลุ่มดาวนครหลวงได้ แต่ฉันพอจะช่วยให้นายสามารถเข้าไปในนั้นได้ชั่วคราวและสามารถอยู่ในกลุ่มดาวนครหลวงได้เป็นเวลา 72 ชั่วโมง” ฉินหมางกล่าว
“ขอบคุณมากครับ ก่อนที่ผมจะไปภูมิภาคดาวมฤตยูผมอยากจะแวะไปหาเธอสักหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าว
หลังจากเหลือบมองดูเวลาบนไมโครคอมพิวเตอร์ เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วซึ่งมันใกล้เวลาที่เขาจะต้องไปรายงานตัวกับเย่จิ่งชาน
“ผมขอไปรายงานตัวกับผู้บัญชาการเย่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมกลับมาหาคุณตาอีกที” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“อย่าลืมกลับมานี่ก่อนออกเดินทางล่ะ ฉันยังมีอะไรบางอย่างจะให้นายอีก” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับโบกมืออย่างเฉยเมย
***************
ชายหนุ่มบ้านนาตามหาสาวนครหลวง ว่าแต่พี่แกเจออะไรตอนหายตัวไปกันนะ?