ตอนที่ 12 หออาวุธเทพ
“ฟึ่บ!”
“ฟึ่บ!”
ไม่นานหลังจากที่ถังฮวนออกไป สองร่างก็วิ่งเข้ามาเหมือนกับม้าสองตัวอย่างรวดเร็วและชายเสื้อของพวกเขาก็มีเสียงเบา ๆ ของบางอย่างที่ขาดผ่านอากาศ
ทั้งสองเป็นชายวัยกลางคน คนหนึ่งมีร่างกายปกติและสวมชุดสีน้ำเงิน ส่วนอีกคนนั้นสูงผอมหน้ายาว
“ถังเฉา! ถังหง!”
เมื่อเห็นทั้งสองนอนอยู่หน้าร้านตีอาวุธ ทั้งชายชุดสีน้ำเงินและชายหน้ายาวก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่นานพวกเขาก็มาถึงทั้งสองคน
“ลุงหรง…ลุงห่าว…”
ถังหงส่งเสียงอ่อนแอและแทบจะกลิ้งมาไม่ได้
เมื่อชายวัยกลางคนหน้ายาวเห็นสีหน้าเขาก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก หัวของถังหงนั้นบวมเหมือนกับหัวหมูและแยกใบหน้าของเขาไม่ออก
ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนชุดน้ำเงินก็ไปดูร่างของถังเฉาซึ่งนอนอยู่บนพื้นเหมือนกับถังหง
ด้วยใบหน้าไม่สู้ดี ชายวัยกลางคนชุดน้ำเงินวางมือที่จมูกถังเฉาเพื่อตรวจดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่และถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายังมีชีวิตอยู่และแค่สลบไป
หลังจากดีใจได้ไม่นานชายวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินก็ทวีโทสะขึ้นอีกครั้ง เขาเหลือบมองร้านตีอาวุธและถาม
“ถังฮวนมันไปที่ไหน?”
“เขา…เขาหนีไป…”
ถังหงพูดเสียงอ่อนระทวย
“หนีงั้นรึ? ต่อให้มันหนี มันก็หนีไม่พ้นเมืองคลื่นคลั่ง! ถังหง เจ้าอยู่ที่นี่ เราสองคนจะไปจับมัน”
เมื่อชายวัยกลางคนหน้ายาวได้ยินเช่นนี้ใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าวและถอนหายใจแรง เขาเหลือบมองกับชายวัยกลางคนชุดน้ำเงินและเร่งความเร็วราวกับวายุไปในทิศทางเดียว
ไม่นานหลังจากที่ชายวัยกลางคนทั้งสองจากไป ก็มีอีกสองคนที่วิ่งมายังหน้าร้านตีอาวุธและหอบหายใจ พวกเขาคือถังเจียงและถังจุนเจี้ยนที่หนีไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
หลังจากหนีจากร้านตีอาวุธแล้ว พวกเขาไม่ได้กลับไปที่ตระกูลแต่ไปที่ร้านค้าตระกูลถังที่ใกล้ที่สุด
พวกเขาโชคดีพอที่มาเจอผู้ดูแลร้านตระกูลถังที่เดินอยู่ นั่นคือถังเทียนหรงและถังเทียนห่าว ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นคนรุ่นเดียวกับเจ้าตระกูล แต่พวกเขายังเป็นจอมยุทธขั้นสี่ด้วย เมื่อได้ยินว่าชีวิตของถังเฉาและถังหงตกอยู่ในอันตราย ทั้งสองก็ไม่กล้ารอช้าและรีบเข้ามาดูอย่างเร็วที่สุด
ถังเจียงและถังจุนเจี้ยรีบวิ่งมาดูแต่มันก็สายไปแล้ว
“พี่หง ลุงหรงกับลุงห่าวไปไหนแล้วล่ะ?”
“พวกเขาไปจับถังฮวน ไอ้สารเลวนั่น มันทำพี่สองกับข้าขนาดนี้ ข้าไม่มีวันอภัยให้แน่!”
“ถ้ามีลุงหรงกับลุงห่าว มันก็ไม่มีทางหนีออกไปจากเมืองคลื่นคลั่งได้…แย่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเขาว่าถังฮวนผสานกับเพลิงแท้แล้ว”
“ต้องไปกลัวอะไรเล่า? ลุงหรงกับลุงห่าวเองก็เป็นจอมยุทธขั้นสี่ เขาจะไปกลัวพลังเล็กน้อยของเพลิงแท้ได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว…”
“...”
…
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ถังฮวนจะหนีไปจากเมืองคลื่นคลั่ง เขามาถึงที่ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคลื่นคลั่งด้วยความเร็วสูงสุด
ที่หน้าผาริมทะเล มีสามอาคารที่เรียงตัวเป็นรูปร่าง ใต้หน้าผานั้นคือ “ทะเลคลื่นคลั่ง” ระหว่างดินแดนรุ่งโรจน์และดินแดนต้นกำเนิด
ในสามอาคารนี้ อาคารหน้าสุดนั้นคือหอสามชั้น ด้านหลังเป็นสองตำหนัก
“หออาวุธเทพ!”
ถังฮวนที่ยืนหน้าหอพูดเบา ๆ เมื่อมองดูป้ายเหนือทางเข้า มันสลักไว้ด้วยตัวอักษรสามคำ “หออาวุธเทพ”
ที่นี่นั้นดูสามัญ แต่ต้นกำเนิดนั้นสุดยอด
ตามตำนานแล้ว “หออาวุธเทพ” คือพรรคที่ก่อตั้งโดยนักตีอาวุธทั้งหมดในดินแดนรุ่งโรจน์ มันสร้างมาแล้วเกินร้อยปีโดยเหล่านักตีอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด
อำนาจของ “หออาวุธเทพ” นั้นแผ่ขยายไปทั่วสามอาณาจักร ถ้าหากเป็นเมืองที่ใหญ่แม้จะเพียงเล็กน้อยเมื่อใด ที่นั่นก็จะมีสาขาของหออาวุธเทพอยู่ และเมื่อสมาชิกส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนรุ่งโรจน์ หออาวุธเทพจึงเป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในดินแดนรุ่งโรจน์และเทียบได้กับตระกูลราชวงศ์ของสามอาณาจักรเลยทีเดียว
แต่สถานที่หลักของหออาวุธเทพนั้นตั้งอยู่ที่เมืองช่างสวรรค์นอกสามอาณาจักร
ถังฮวนมาที่นี่เพราะว่าเขาต้องการเข้าร่วมหออาวุธเทพ
ตราบเท่าที่ตัวตนในฐานะนักตีอาวุธของเขาได้รับการยอมรับจากหออาวุธเทพ เขาก็จะได้รับความคุ้มครองจากหออาวุธเทพ นั่นเท่ากับตราหยกของเขา ถ้ามีตราหยกนี้และยังอยู่ในเมืองกับหออาวุธเทพ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการโดนทำร้ายอย่างโจ่งแจ้งแล้ว
“มันยังไม่เที่ยง การทดสอบวันนี้น่าจะยังไม่เริ่ม ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ คงจะไม่ดีแน่”
ขณะที่คิด ถังฮวนก็รีบเดินเข้าไปที่หออาวุธเทพอย่างรวดเร็ว
ไม่มีทหารคุ้มกันที่ทางเข้า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยชื่อเสียงของหออาวุธเทพแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีทหารคุ้มกัน แค่คำว่าหออาวุธเทพก็น่ากลัวพอสำหรับทุกคนแล้ว
ดังนั้นถังฮวนจึงเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
มันแทบจะไม่มีอะไรในชั้นแรกเลย ยกเว้นแต่โต๊ะไม้ที่ด้านซ้ายทางเข้า ด้านหลังโต๊ะไม้มีชายหนุ่มที่อายุราวยี่สิบห้าปีนั่งหลับตาอยู่ เขาไม่ได้ขยับตัวแม้ว่าถังฮวนจะเดินเข้ามา ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ถังฮวนมองรอบ ๆ และสายตาเขาก็มองไปยังชายหนุ่ม
“พี่ชาย…”
“มีอะไรรึ?”
เขาไม่แม้แต่ลืมตา
ถังฮวนอึ้งพูดไม่ออก แต่เขาก็รีบพูดออกไป
“พี่ชาย ข้าอยากจะเข้าร่วมการทดสอบนักตีอาวุธ ข้าต้องไปที่ใดรึ?”
“รับ แล้วไปที่ชั้นสอง!”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดก็มีเงาดำเล็ก ๆ โยนออกมา ถังฮวนรับมันมาดูและจบว่ามันเป็นแผ่นไม้กลมสีดำที่มีคำว่า “ทดสอบ” สลักเอาไว้ ถังฮวนดีใจมาก การทดสอบยังไม่เริ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ให้แผ่นไม้มา
“ขอบคุณนะพี่ชาย”
ถังฮวนขอบคุณและเดินขึ้นบันไดโดยไม่สนว่าชายหนุ่มจะตอบสนองหรือไม่
ชั้นสองนั้นเรียบง่ายอย่างมาก แต่ก็มีเบาะรองนั่งที่ตรงกลางราวยี่สิบถึงสามสิบชิ้น
ที่ถังฮวนแปลกใจที่สุดก็คือมีห้าคนนั่งอยู่ในเบาะรองนั่งแล้ว มีหญิงสาวงดงาม หญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้ว และชายหนุ่มรูปงามอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ชายหนุ่มชุดดำที่ดูอายุราวยี่สิบหรือสามสิบปี และมีชายชราผมขาวด้วย
ที่ด้านหน้าทุกคนล้วนมีแผ่นไม้สีดำที่มีคำว่า “ทดสอบ” เขียนเอาไว้
“มีคนหลายคนเลยนะ”
ถังฮวนเองก็เลือกเบาะรองนั่งและนั่งพร้อมกับวางแผ่นไม้ไว้ด้านหน้า เขาอดสงสัยไม่ได้เพราะถึงกับมีชายชรามาเข้าร่วมการทดสอบนักตีอาวุธระดับต่ำ แค่เรื่องนี้ก็บอกได้ว่าการเป็นนักตีอาวุธที่หออาวุธเทพยอมรับนั้นมีค่ามากเพียงใด
เมื่อพวกเขาเห็นถังฮวนเดินเข้ามา ทุกคนก็มองเขาในพริบตาและกลับมามองที่เดิม บางคนหลับตาพัก บางคนก็คลำฝ่ามือเบา ๆ บางคนก็ริมฝีปากสั่นราวกับว่ากำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครที่พูดอะไรออกมาเลย
ถังฮวนไม่คิดจะพูดคุยเช่นกัน หลังจากนั่งได้สักระยะแล้วเขาก็เริ่มรู้ว่ามีอะไรกำลังอยู่ตรงหน้าเขา และเขาก็หันไปมอง เขาได้เห็นดวงตาสีดำสดใสและเป็นหญิงสาวในชุดแดงที่กำลังมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นแบบนั้นถังฮวนก็เกิดความคิดซุกซนและจงใจยักคิ้วให้นาง
สาวน้อยย่นจมูกและกลอกตาอย่างไร้เยื่อใย นางหันกลับไปแต่ไม่นานหลังจากนั้นถังฮวนก็รู้สึกว่ามีคนกำลังมองเขาอีกครั้ง ถังฮวนจบว่ามันน่าสนใจมากและกำลังจะแหย่นางอีก แต่เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้เขา