ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 288 คัมภีร์ดาบศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 290 การบ่มเพาะเหนือธรรมชาติที่ภูเขากั่ว

MDB ตอนที่ 289 สังหารพลังงานปีศาจ


ภายใต้แสงแดดเจิดจ้าตัดกับหมอกควัน ที่แห่งนี้เป็นเพียงบ้านร้างตามปกติที่ทรุดโทรมและผุพังตามกาลเวลา

เมื่อหลับตา หลินจินสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์ มันควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งใต้บ้านหลังนี้ แต่สิ่งประดิษฐ์ที่มีมนต์ขลังเช่นนี้ไม่สามารถขุดค้นออกมาได้อย่างแน่นอน มันต้องได้รับการกู้คืนด้วยวิธีการเฉพาะ

ดังนั้นเขาจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป

ท้ายที่สุดแล้ว กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะพันธสัญญาโลหิตคนอื่นๆ หลินจินนำหน้าพวกเขาไปมาก เขาอาจเป็นคนเดียวในโลกปัจจุบันที่ฝึกฝนคัมภีร์จ้าวอสูรเล่มที่สี่

อย่างไรก็ตาม หลินจินก็ไม่ค่อยแน่ใจ แม้ว่าคัมภีร์จ้าวอสูรเล่มที่สี่จะถือว่าน่าอัศจรรย์ในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังเป็นเพียงวิธีการฝึกฝนเบื้องต้นในสมัยโบราณ

หลินจินยังได้เรียนรู้เมฆานำพา แม้ว่าเขาจะใช้มันเดินทางได้ไม่นาน แต่การห่อหุ้มตัวเองด้วยเมฆเพื่อเร่งความเร็วก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

ด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะกลับบ้านได้ในวันเดียว

ถึงกระนั้น หลินจินก็ไม่ต้องการกลับบ้านในทันที เขาต้องการบรรลุความสามารถขั้นพื้นฐานสำหรับคัมภีร์จ้าวอสูรเล่มที่สี่, เมฆานำพา และคัมภีร์ดาบศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น โดยเฉพาะข้อสุดท้าย เขาจำสูตรของเคล็ดวิชาได้เท่านั้น

แทนที่จะรีบกลับบ้าน มันจะดีกว่าที่จะหาสถานที่เงียบสงบเพื่อทำความเข้าใจเทคนิคต่อไป ในขณะที่ประสาทสัมผัสทางปัญญาของเขายังคงเพิ่มสูงขึ้น อย่างน้อย ๆ เขาควรจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ เขาต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาของฮูหยู่เจิน

ตัวเธอนั้นแตกต่างจากชางเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ฮูหยู่เจินเป็นสัตว์ปีศาจที่มีประสบการณ์ในการฝึกฝนมาหลายร้อยปี นอกจากนี้ ตัวเธอยังถูกครอบงำด้วยความหลงใหลทำให้เธอมีปีศาจในใจ นั่นทำให้หลินจินไม่ต้องการนำปัญหานี้กลับไปที่เมืองเมเปิ้ล

ดังนั้น หลินจินจึงลุกขึ้นและออกไปข้างนอก เขาใช้การพรางตัวเพื่อปกปิดการปรากฏตัวของพวกเขาก่อนที่จะพาพวกเขาไปยังภูเขาใกล้เคียง

ระหว่างการเดินทาง หลินจินพยายามเอาก้อนเมฆมาพันขาของเขา และแน่นอนว่าร่างกายของเขารู้สึกเบาขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปหลายพันลี้ได้ในเวลาอันสั้นตามตำนานที่พรรณนาเอาไว้ได้  แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถเคลื่อนที่เร็วกว่ารถม้า

ฮูหยู่เจินเก็บคำถามของเธอไว้กับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าหลินจินไปที่ไหน เธอก็จะตามไปอย่างคาดหวัง แม้ว่าเธอคิดจะหลบหนีไปภายหลังที่เธอออกจากภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์ก็ตาม

ถึงเธอจะคิดอย่างนั้น แต่ด้วยความปรารถนาของเธอที่จะฝึกฝนกายาแห่งธรรมนั้นมีมากกว่า แม้ว่าเธอจะกลัวหลินจิน แต่เธอก็ติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อพวกเขาไปถึงภูเขา จู่ ๆ หลินจินก็ถามว่า

“ท่านฮู เจ้ารู้จักชื่อภูเขาลูกนี้หรือไม่?”

ฮูหยู่เจินไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลินจินจะถามคำถามเช่นนี้กับเธอ และเธอก็ไม่มีคำตอบ ในฐานะเสือ เธอไม่สนใจภูเขาเล็ก ๆ ลูกนี้ มันมีความสูงไม่เกิน 30 กิโลเมตร และไม่สามารถซ่อนสัตว์ร้ายขนาดใหญ่หรือสร้างสัตว์ปีศาจใด ๆ เอาไว้ได้ มนุษย์ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่เช่นกัน ดังนั้นสำหรับฮูหยู่เจินแล้ว สถานที่นี้ก็ไม่คุ้มค่าที่จะชายตามอง

เธอจึงตอบตามความเป็นจริง

หลินจินพยักหน้ารับทราบ จากนั้น เขาก็ใช้เมฆานำพาบินขึ้นไปบนหน้าผาเพื่อดูต้นสนขนาดใหญ่ที่นั่น ข้างต้นไม้มีโต๊ะหินที่สลักคำว่า 'ภูเขากั่ว'

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนวางแผ่นศิลานี้ไว้ที่นี่หรือเมื่อไหร่ หลังจากประสบกับฝนและแดด แผ่นหินที่ดูแปลกตาก็สึกกร่อน แต่คำที่สลักไว้ยังคงให้กลิ่นอายของศิลปะ มันต้องได้รับการแกะสลักโดยปรมาจารย์การประดิษฐ์ตัวอักษรมือฉมัง

มนุษย์ทั่วไปจะพบว่ามันยากที่จะไปถึงหน้าผาแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะทางเดียวที่จะขึ้นมาที่นี่ได้พังทลายลงไปในช่วงเวลาใดก็ไม่อาจทราบได้

เนื่องจากไม่มีเส้นทางไปถึงยอดเขา แม้แต่นักปีนเขาก็ยังพบว่าการขึ้นไปบนยอดเขานั้นยากมาก แต่หลินจินสามารถไปถึงยอดเขาโดยใช้เพียงเมฆานำพาเท่านั้น

วานรยักษ์ขาวที่เชี่ยวชาญในการปีนเขาสามารถขึ้นไปบนนั้นได้อย่างง่ายดายแม้จะแบกโลงศพอยู่ก็ตาม สำหรับฮูหยู่เจิน ลืมหน้าผานี้ไปได้เลย แม้สถานที่ที่อันตรายกว่านี้ เธอก็เคยไปมาแล้ว

จุดสูงสุดของหน้าผานี้ไม่ใหญ่เกินไป ขนาดเท่ากับสนามหญ้าทั่วไป นอกจากต้นสนต้นใหญ่แล้ว รอบ ๆ มีเพียงดอกไม้และหญ้าเล็ก ๆ มีแผ่นหินอยู่ใต้ต้นสน เมฆก่อตัวขึ้นและกวาดฝุ่นบนหินออกไปด้วยการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

หลินจินนั่งขัดสมาธิแล้วมองไปที่ฮูหยู่เจิน

“ท่านฮู เจ้าเพียงต้องการกายาแห่งธรรม พัยงเพราะเจ้าต้องการที่จะทะลวงไปสู่ระดับถัดไป ข้าเข้าใจถูกต้องใช่หรือไม่?”

ฮูหยู่เจินพยักหน้าตอบรับทันที

"ท่านหลิน ได้โปรดให้คำแนะนำแก่ข้าด้วยเจ้าค่ะ”

หลินจินกล่าวต่อว่า “กายาแห่งธรรมต้องการความบริสุทธิ์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าได้เข่นฆ่าผู้คนมากเกินไป ทำให้กลิ่นอายแห่งความตายฝังแน่นจนติดตัวเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะไม่สามารถกลั่นร่างกายาแห่งธรรมได้”

นี่เป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง แต่เมื่อหลินจินพูดอย่างจริงจัง ฮูหยู่เจินจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อเขา

พลังงานปีศาจก็ลุกโชนขึ้นในดวงตาของฮูหยู่เจิน แต่เธอไม่รู้ตัว

“แล้ว… แล้วข้าจะต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”

เมื่อเล็งเห็นจังหวะที่เหมาะสม หลินจินจึงกล่าวว่า

"ข้ามีวิธีการที่จะทำให้เจ้าสามารถก้าวไปสู่ระดับถัดไปโดยไม่ต้องกลั่นร่างกายาแห่งธรรม เจ้ายินดีที่จะลองหรือไม่?”

“นี่มัน…” ฮูหยู่เจินลังเลอย่างเห็นได้ชัด

ไม่แปลกที่เธอจะมีท่าทีเช่นนี้ เนื่องจากวันเวลาได้ผ่านมาหลายปี ความโหยหาในกายาแห่งธรรมของเธอได้กลายเป็นความหลงใหลที่ฝังรากลึกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นปีศาจ

หลินจินไม่รู้ว่าใครเป็นคนสอนเธอว่าวิธีเดียวที่เธอจะพัฒนาได้คือการได้รับกายาแห่งธรรม แต่คน ๆ นั้นอาจไม่ได้มีเจตนาที่ดี แม้จะรู้ว่ากายาแห่งธรรมจะบรรลุได้ยาก แต่คน ๆ นั้นก็ยังชี้ไปยังหนทางที่เป็นไปไม่ได้ คน ๆ นั้นคงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสือตัวนี้บ้าคลั่งใช่ไหม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คน ๆ นั้นจงใจทำให้เธอกลายเป็นปีศาจ

หากพวกเขาไม่เข้าสู่ภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์ หลินจินมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีศาจภายในของฮูหยู่เจินจะเผยออกมาและเปิดโปงหลินจิน หากเขาพูดสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ

ท้ายที่สุดแล้ว พลังงานปีศาจของฮูหยู่เจินมีต้นกำเนิดมาจากความหลงใหลในร่างกายของเธอ เมื่อทำลายความลุ่มหลงนี้ ปีศาจก็จะไม่มีอะไรหล่อเลี้ยงและจะสลายหายไปเอง

เพื่อป้องกันตัวเอง ปีศาจในตนนั้นย่อมไม่มีทางยอมง่ายๆ

แต่หลังจากผ่านประสบการณ์ในภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์  คำพูดของหลินจินก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

หลินจินมีสถานะที่สูงส่ง ดังนั้นฮูหยู่เจินและปีศาจในตัวเธอจึงไม่กล้าที่จะเปิดโปงเขา ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ความมืดปกคลุมอยู่ข้างหลังดวงตาของเธอ พร้อมที่จะระเบิดออก แต่ในช่วงเวลาสำคัญ มันหดกลับเข้าไปข้างใน

หลินจินมีความมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

ด้วยห้องโถงสังหารปีศาจและแถมเขายังได้รับโกเลมหยกดำตัวแรก นอกจากนั้น เขาก็ยังรู้วิธีสังหารปีศาจอีกด้วย

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว นี่เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาต้องทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงเสียก่อนแล้วจัดการในทันที  เช่นเดียวกับเปลือกไข่ หากจะแกะเปลือกออก ก่อนอื่นต้องเปิดเปลือกไข่ออกก่อน

และคำพูดก่อนหน้านี้ของหลินจินก็ส่งผลเช่นนี้

แน่นอนว่า ฮูหยู่เจินไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมเช่นตู้หลี่ที่สามารถขจัดความหลงใหลได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เธอจะต้องดิ้นรนอย่างแน่นอน และคำพูดไม่กี่คำก็ไม่สามารถทำให้เธอกำจัดปีศาจของเธอเองได้

ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับนักล่าปีศาจในขั้นต่อไป

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินจินใช้นักล่าปีศาจ และใบดาบก็เป็นเพียงเงาที่อ่อนแอในตอนนี้ สำหรับวิธีการใช้ หลินจินสามารถรู้ได้ด้วยตัวเขาเอง ท้ายที่สุด มันเป็นสิ่งประดิษฐ์จากพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ

ในขณะนั้น หลินจินสังเกตเห็นความลังเลใจของฮูหยู่เจิน พลังงานปีศาจในดวงตาของเธอเพิ่มขึ้นและลดลง หลินจินใช้จังหวะนี้รวบรวมนักล่าปีศาจในห้องโถงสังหารปีศาจของพิพิธภัณฑ์ด้วยจิตใจของเขา

‘พิฆาต!’

หลินจินกู่ร้องในใจ ภาพเงาของใบดาบพุ่งออกมาจากปากของเขา มาถึงหัวของฮูหยู่เจินอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเงาของดาบก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่ากับดาบใหญ่ ก่อนที่มันจะฟันลงมา

บนหน้าผาแห่งนี้ นอกจากหลินจินแล้ว สัตว์ปีศาจและและสัตว์วิเศษตัวอื่น ๆ มองไม่เห็นใบดาบที่ตวัดลงมา พวกเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอากาศขณะที่คลื่นความร้อนปรากฏขึ้น และแผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง

หลังจากการฟัน ร่างกายและจิตใจของฮูหยู่เจินไม่ได้รับความเสียหายเลย แต่หลังจากที่ใบดาบได้ผ่านร่างเธอ กลุ่มควันสีดำก็ปรากฏออกมา ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ฮูหยู่เจิน แม้แต่วานรยักษ์ขาวก็สามารถเห็นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้ว่าพลังงานสีดำจะแข็งแกร่งและยืดหยุ่น แต่มันก็ถูกลบออกจากร่างของฮูหยู่เจินทันที ภายหลังจากที่เงาดาบผ่านร่างของเธอ

หลังจากดูดซับพลังงานปีศาจเข้าไปในร่างกายแล้ว ใบดาบก็อันตรธานหายไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด