ตอนที่ 141: ชายผู้โชคร้าย
ตอนที่ 141: ชายผู้โชคร้าย
เย่จิ่งชานรู้สึกปวดหัวกับเรื่องของเซี่ยเฟยมากและชายหนุ่มคนนี้ก็เหมาะสมจะได้รับฉายาว่าตัวก่อปัญหาจริง ๆ
หลังจากที่ชายหนุ่มได้กลับมาจากเขตดาววิลเดอร์เนสเขาก็อยู่อย่างสงบมาเป็นเวลา 2-3 เดือน แต่ทันทีที่เขาได้เหยียบซากปรักหักพังโบราณเขาก็เริ่มสร้างปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่าในฐานะผู้บัญชาการของค่ายฝึกเย่จิ่งชานควรจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาเซี่ยเฟยทันที เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าเด็กหนุ่มคนนี้แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องแสดงปฏิกิริยาเมื่อมีนักศึกษาได้หายตัวไป
แต่ในความจริงกลับกลายเป็นว่าปฏิกิริยาแรกเมื่อเย่จิ่งชานได้รู้ว่าคนที่หายไปคือเซี่ยเฟย เขาก็ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างฉุนเฉียว
“ทำไมถึงเขาอีกแล้ว!” เย่จิ่งชานลุกยืนขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
แต่ในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก เย่จิ่งชานก็รู้ตัวว่าเขาได้สูญเสียความสงบที่ควรจะเป็น เขาจึงรีบนั่งลงบนที่นั่งของผู้บัญชาการและใช้นิ้วโป้งกับนิ้วกลางนวดขมับของตัวเอง
เซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่นักเรียนธรรมดาในค่ายฝึกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องแสดงความหงุดหงิดออกมามากขนาดนี้ ที่สำคัญคือชายหนุ่มมีฉินหมางคอยหนุนหลังและชายชราคนนั้นก็ยังเป็นอาจารย์ของเขาอีกด้วย
คนส่วนใหญ่ในค่ายฝึกไม่รู้จักตัวตนของฉินหมางและคิดว่าชายชราเป็นเพียงแค่คนแก่ที่กำลังรอความตายอยู่ในห้องสมุด แต่ในความเป็นจริงฉินหมางมีอิทธิพลที่ไม่ธรรมดาและสาเหตุที่ทำให้เย่จิ่งชานเข้าร่วมสำนักงานใหญ่ของสมาพันธ์ได้นั่นก็เพราะความช่วยเหลือของฉินหมางนี่เอง
ที่จริงแล้วแม้แต่ตัวของเย่จิ่งชานเองก็ยังไม่รู้จักภูมิหลังอาจารย์ของเขา เพราะในครั้งแรกที่เย่จิ่งชานเจอกับฉินหมางชายชราคนนี้ก็ทำหน้าที่เฝ้าห้องสมุดตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากนั้นฉินหมางก็ค่อย ๆ ชี้นำเย่จิ่งชานไปทีละก้าวจนทำให้เขามีความสำเร็จเฉกเช่นในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เองเย่จิ่งชานจึงให้ความเคารพฉินหมางอย่างสุดหัวใจและไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของอาจารย์แม้แต่เพียงคำเดียว
แต่ในตอนนี้เด็กที่อาจารย์ของเขารู้สึกเอ็นดูได้หายตัวไป แล้วเขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเขาฟังว่ายังไง?
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ผู้สมัครหายตัวไปในช่วง 2 ปีนี้หรือเปล่า?” เย่จิ่งชานถามด้วยเสียงเข้ม
“ถ้าพิจารณาจากประวัติแล้ว โจรพวกนั้นไม่เคยลักพาตัวผู้ชายมาก่อนและมนุษย์ทุกคนที่ถูกลักพาตัวไปต่างก็มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ผมคิดว่าเซี่ยเฟยไม่น่าจะถูกโจรพวกนั้นลักพาตัวไป นอกจากนี้สถานที่หายตัวไปยังเป็นพื้นที่ลับของสมาพันธ์ ผมคิดว่าคนพวกนั้นไม่น่าจะรู้จักดาวเคราะห์แห่งนี้ครับ” โบซิงวากล่าวพร้อมกับส่ายหัว
การวิเคราะห์ของโบซิงวาถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เย่จิ่งชานจึงรู้สึกว่าเขาน่าจะคิดมากจนเกินไป
เหตุการณ์ลักพาตัวได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วและถึงแม้ว่าทางสมาพันธ์จะใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
“ยกเลิกภารกิจสำรวจแล้วเริ่มออกค้นหาเดี๋ยวนี้ ฉันจะให้โฮ่วไป๋ชานกับแผนกลาดตระเวนไปเป็นกองกำลังเสริม อย่างน้อยถ้าเขาตายเราก็ต้องเห็นศพ” เย่จิ่งชานสั่งการ
โบซิงวาพยักหน้ารับอย่างใจเย็น แต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกไม่พอใจเย่จิ่งชานอยู่เล็กน้อย
อย่าลืมว่าสถานที่แห่งนี้เป็นซากปรักหักพังของอารยธรรมโบราณที่มีอันตรายอยู่ทุกที่ แล้วการที่นักเรียนคนหนึ่งได้หายตัวไปมันจะเป็นความผิดของนักเรียนคนนั้นได้อย่างไร?
“ได้ครับ ผมจะเริ่มภารกิจค้นหาเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายเย่จิ่งชานก็ติดต่อไปหาโฮ่วไป๋ชาน ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกลาดตระเวนเพื่อให้เขานำกองกำลังไปเป็นกำลังเสริมให้กับโบซิงวา
โฮ่วไป๋ชานเป็นนักสืบสวนที่มีประสบการณ์ที่สุดในค่ายฝึก ถ้าหากว่าแม้แต่โฮ่วไป๋ชานก็ไม่สามารถหาเบาะแสใด ๆ ได้ พวกเขาก็คงจะต้องยอมแพ้แล้ว
แต่เย่จิ่งชานต้องปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ฉินหมางได้รู้ก่อน เพราะท้ายที่สุดเขาก็รู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของอาจารย์ของเขาเป็นอย่างดี และเพียงแค่เขาคิดถึงวินาทีที่ฉินหมางกำลังแสดงความโกรธ มันก็ทำให้เขาอดที่จะขนลุกขึ้นมาไม่ได้
ในตอนที่เขาเห็นฉินหมางโกรธเป็นครั้งแรกเขาไม่เคยคิดเลยว่าชายชราอ้วนที่ปกติจะแสดงสีหน้าอันอ่อนโยนจะสามารถแปลงร่างกลายเป็นปีศาจได้จริง ๆ นอกจากนี้ฉินหมางกับเซี่ยเฟยยังมีหนึ่งในนิสัยที่เหมือนกันคือเวลาพวกเขาโกรธพวกเขาจะไม่สนใจใคร
เย่จิ่งชานพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ของเขาถึงรู้สึกเอ็นดูเซี่ยเฟยมากนัก เพราะถ้าหากพิจารณาดี ๆ ทั้งสองคนก็มีนิสัยที่เหมือนกันหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นเมื่อฉินหมางเห็นเซี่ยเฟยคงจะเป็นเหมือนกับการเห็นตัวเองสมัยวัยรุ่น แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชายชราจึงให้เซี่ยเฟยคอยอยู่ข้าง ๆ ในฐานะของบรรณารักษ์
ต้องรู้ว่าเซี่ยเฟยเป็นบรรณารักษ์ในรอบ 40 ปีซึ่งคนที่เป็นบรรณารักษ์คนก่อนนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเย่จิ่งชานนี่เอง
ย้อนกลับไปในเวลานั้นเย่จิ่งชานต้องทำการขอร้องฉินหมางเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ชายชราจะยอมรับเขาเป็นบรรณารักษ์อย่างไม่เต็มใจ
แต่ถึงกระนั้นฉินหมางก็ยังไม่ได้ไว้วางใจให้เขาดูแลห้องสมุด เพราะชายชราถือว่าห้องสมุดแห่งนี้มีค่ามากกว่าชีวิตของตนเอง ซึ่งในมุมมองของเย่จิ่งชานแล้วการได้เป็นบรรณารักษ์ไม่ใช่เรื่องขายขี้หน้าแต่มันเป็นความโชคดีที่ไม่มีใครเข้าใจเท่านั้นเอง
“ฉันคงจะต้องพยายามปิดบังมันให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สินะ” เย่จิ่งชานเอนหลังพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าที่ขมขื่น
—
ณ ห้องวิจัยชั้นใต้ดิน บนดาวเคราะห์ YZZ-7526
“สรุปว่ารอยพวกนี้เป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นจากเซี่ยเฟยงั้นหรอครับ?” โบซิงวาถามอย่างประหม่า
โฮ่วไป๋ชานพยักหน้ารับพร้อมกับลุกยืนขึ้นจากพื้น
“เห็นได้ชัดเลยว่าประตูพวกนี้ถูกทำลายด้วยคมดาบและร่องรอยที่เกิดขึ้นมาก็มีความเข้ากันได้กับเชสซิ่งไลท์ของเซี่ยเฟยมากกว่า 90% แต่เซี่ยเฟยมีความรู้เรื่องการถอดรหัสสัญญาณเตือนภัยของอารยธรรมโบราณงั้นหรอ? แม้แต่ผมก็ไม่สามารถถอดรหัสที่ซับซ้อนพวกนี้ได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก โบซิงวากับโฮ่วไป๋ชานก็เดินเข้าไปยังด้านในของสถาบันวิจัย
สิ่งที่พวกเขาอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เซี่ยเฟยสามารถทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของอารยธรรมโบราณได้ยังไง แต่พวกเขาต้องการจะรู้ว่าเซี่ยเฟยหายตัวไปที่ไหนกันแน่
“ห้องด้านหน้าเป็นสถานที่ที่เซี่ยเฟยได้หายตัวไป ถ้าคุณได้เห็นห้องนั้นคุณจะต้องรู้สึกประหลาดใจมากกว่าตอนนี้แน่ ๆ” โบซิงวากล่าวขณะก้าวเดิน
การค้นหาสถาบันวิจัยแห่งนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความพยายามมากนัก เพราะท้ายที่สุดอาคารที่อยู่ด้านบนของสถาบันวิจัยก็เป็นอาคารที่โดดเด่นที่สุดภายในเมือง มันจึงกลายเป็นเป้าหมายแรกของทีมค้นหาในระหว่างปฎิบัติภารกิจ
แน่นอนว่าถ้ำใต้ดินย่อมไม่รอดพ้นสายตาของพวกเขาและเมื่อพวกเขาตามร่องรอยมาเรื่อย ๆ พวกเขาก็ได้พบกับห้องวิจัยลับในที่สุด
พวกโบซิงวาทำทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือการรอให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างโฮ่วไป๋ชานมาทำการประเมินในขั้นสุดท้าย ดังนั้นเมื่อโฮ่วไป๋ชานระบุว่าเซี่ยเฟยหายตัวไป ภารกิจค้นหาในครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงในทันที และชื่อของเซี่ยเฟยก็จะไปปรากฏในบันทึกลับผู้สูญหายของสมาพันธ์
โบซิงวานำโฮ่วไป๋ชานผ่านทางเดินยาวเพื่อไปยังสถาบันวิจัยลับที่มีการทดลองเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ และมันก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มได้คาดไว้เพราะทันทีที่โฮ่วไป๋ชานเปิดประตูเข้าไปเขาก็มีอาการตกตะลึงในทันที
โฮ่วไป๋ชานก้มตัวลงทำการตรวจสอบระบบป้องกันของสถานบันวิจัยลับเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… การป้องกันของประตูนี้มีความซับซ้อนมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเซี่ยเฟยจะสามารถเปิดประตูได้โดยไม่ไปกระตุ้นระบบเตือนภัยของสถาบันวิจัย”
“ใช่ครับ แต่น่าเสียดายที่ต้นกล้าดี ๆ ต้นนั้นได้หายตัวไปแล้ว” โบซิงวากล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลังจากนั้นทั้งสองก็พร้อมใจกันเงียบไปครู่หนึ่ง โดยเฉพาะโฮ่วไป๋ชานที่กำลังรู้สึกเสียดายจนถึงขีดสุด
หลักสูตรการปลดล็อกรหัสรักษาความปลอดภัยถือว่าเป็นหลักสูตรบังคับของแผนกลาดตระเวน แต่ทักษะในการปลดล็อกรหัสรักษาความปลอดภัยของเซี่ยเฟยเหนือกว่าแม้กระทั่งหัวหน้าแผนกอย่างเขา มันจึงทำให้โฮ่วไป๋ชานรู้สึกเสียดายมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่สามารถชวนชายหนุ่มเข้าแผนกลาดตระเวนของเขาได้
“คุณได้รายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่หรือยัง? ถ้าหากพวกเขารู้ว่าที่นี่มีการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ พวกเขาจะต้องรีบส่งทีมงานมาจัดการอย่างแน่นอน” โฮ่วไป๋ชานกล่าวพร้อมกับมองไปรอบ ๆ
“ผมยังไม่ได้รายงานครับ ผมคิดว่าจะรอให้เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเสียก่อนแล้วค่อยรายงานไปทีเดียว” โบซิงวากล่าว
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่ด้านนอกแล้วโฮ่วไป๋ชานกับโบซิงวาก็เดินสำรวจมาจนถึงห้องขัง
“นี่คือที่ ๆ เซี่ยเฟยปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย ในตอนที่พวกเราเข้ามาในห้องนี้ครั้งแรกกำแพงเลเซอร์ของห้องขังถูกเปิดใช้งานอยู่ แล้วพวกเราก็ได้พบกับเศษอาวุธของเซี่ยเฟยตกอยู่บนพื้น ผมคิดว่าเขาคงจะถูกขังอยู่ในห้องนี้และไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือจู่ ๆ เขาหายตัวไปได้ยังไง” โบซิงวารายงานพร้อมกับชี้ไปที่หนึ่งในห้องขัง
โฮ่วไป๋ชานไม่ได้พูดอะไรตอบรับกลับไป เพราะในฐานะที่เขาเป็นนักสืบมืออาชีพเขาจึงจำเป็นจะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาและเขาก็ไม่สามารถที่จะให้ข้อสรุปใด ๆ โดยปราศจากหลักฐานได้
ต่อมาหัวหน้าแผนกลาดตระเวนก็เริ่มเอาเครื่องมือออกมาจากแหวนมิติและเริ่มทำการสืบสวนอย่างระมัดระวังโดยมีโบซิงวายืนรออยู่ไม่ไกล
โฮ่วไป๋ชานทำงานของตัวเองไปอย่างช้า ๆ และเขาก็ทำการตรวจสอบแม้กระทั่งมุมที่เล็กที่สุดอยู่หลายครั้ง ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปประมาณ 2 ชั่วโมง โฮ่วไป๋ชานก็เก็บเครื่องมือพร้อมกับเดินออกมาจากห้องขัง
“พอจะได้ข้อสรุปไหมครับ” โบซิงวากล่าวถามอย่างประหม่า
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเซี่ยเฟยมากนัก แต่เขาก็ไม่อยากเห็นชายหนุ่มหายตัวไปโดยไม่มีเหตุผล
ท้ายที่สุดชายหนุ่มอายุ 18 ปีคนนี้ก็ได้สร้างความประทับใจเอาไว้หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความดื้อรั้นในระหว่างการประเมิน, การไม่เลือกฝ่ายในตอนที่เขาเข้าร่วมกับค่ายฝึกจัสทิสลีกและความกล้าในการไล่ล่ายานของเซิร์กที่กำลังหลบหนี ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถลืมไปได้ง่าย ๆ
“พื้นที่มิติภายในห้องขังอยู่ในสภาพที่เสถียร โดยบนพื้นห้องขังมี DNA ของเซี่ยเฟยหลงเหลืออยู่จริง ๆ และเวลาที่เขาหายตัวไปก็สอดคล้องกับความผันผวนของพลังงานอันแปลกประหลาด สิ่งเดียวที่ผมสามารถสรุปได้ในตอนนี้คือเซี่ยเฟยหายตัวไปอย่างกะทันหันในสภาพแวดล้อมที่ปิดสนิท” โฮ่วไป๋ชานสรุปสถานการณ์พร้อมกับถอนหายใจออกมา
“แค่นี้หรอครับ” โบซิงวาอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
ปกติแล้วโฮ่วไป๋ชานไม่ชอบให้ใครมาตั้งคำถามกับการทำงานของเขา เพราะมันมีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะตั้งข้อสงสัยในตัวของเขาได้ แต่ในคราวนี้เขาก็ไม่ได้คิดโทษหรือโกรธโบซิงวาเลย
“ข้อสรุปยังไม่เป็นที่ชัดเจนมากนัก กรณีนี้เป็นกรณีการหายตัวไปแบบพิเศษ คุณค่อยรออ่านรายงานจากผมทีหลังก็แล้วกัน”
หลังจากได้ยินข้อสรุปที่หนักแน่นของโฮ่วไป๋ชาน โบซิงวาก็รู้สึกโล่งใจเพราะถึงยังไงการได้ข้อสรุปแบบนี้ก็ดีกว่าการหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในสถาบันวิจัยลับ แต่จู่ ๆ โบซิงวาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับใช้นิ้วชี้ไปที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในสถาบันวิจัย
“คุณคิดว่าของที่นี่มีมูลค่าเท่าไหร่”
“ผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่ามันจะต้องเกินกว่า 100,000 ล้านอย่างแน่นอน ว่าแต่คุณถามทำไม?” โฮ่วไป๋ชานกล่าว
“ผมคิดว่าเซี่ยเฟยอาจจะยังไม่รู้ว่านักเรียนที่ค้นพบสถานที่สำคัญแบบนี้จะได้รับส่วนแบ่งจากสิ่งที่ค้นพบทั้งหมด 10% และได้รับคะแนนพิเศษจากค่ายฝึกจำนวนมหาศาล ปกติเขาเป็นคนขี้งกอยู่แล้วผมคิดว่าเขาคงจะไม่ยอมตายง่าย ๆ หลังจากที่ตัวเองได้พบกับภูเขาทองคำ” โบซิงวากล่าว
“น่าเสียดายที่เขาคงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เงินพวกนั้นอีกแล้ว เขาช่างเป็นคนที่โชคร้ายจริง ๆ” โฮ่วไป๋ชานกล่าวพร้อมกับตบไหล่โบซิงวา
“ไปกันเถอะ ไปดื่มให้ไอ้คนโชคร้ายคนนี้สักหน่อย!”
***************
พี่เฟยขี้งกมากขนาดที่โบซิงวาที่ไม่ค่อยสนิทยังรู้เลยหรอ? 555