ตอนที่แล้วบทที่ 427-428
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 431-432

บทที่ 429-430


บทที่ 429

โลกกลมจนต้องพานพบกันอีก

 

ชายหนุ่มแนะนำให้ซือเฟยเสวี่ยรู้จักหัวหน้างานของเขา

“นี่คือคนที่ผมเพิ่งเล่าให้คุณฟังครับ ประธานบริษัทของผม ประธานเจียง เป็นหัวหน้าที่เก่งตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นใหม่อีกด้วย”

ซือเฟยเสวี่ยหันหลังไปมองเพื่อทักทาย แต่กลับต้องตกตะลึงแทน

เดี๋ยวนะ…

เจียงเชิ้งหนาน...

โลกกลมเกินไปรึเปล่าถึงได้มาเจอกันอีก?

เมื่อเจอหน้ากัน สีหน้าของซือเฟยเสวี่ยซีดเซียวในทันที แต่เจียงเชิ้งหนานกลับแสดงสีหน้าเย็นชา แล้วมองเลยไปพูดคุยกับชายหนุ่ม

เขา คงจำฉันไม่ได้หรอกมั้ง?

แต่อีกใจหนึ่ง เธอกลับรู้สึกเจ็บปวด แม้อีกใจหนึ่งจะดีใจที่เขาไม่ทักเธอ

ฉันคงคิดมากไปเอง

เธอพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินเสียงของเจียงเชิ้งหนาน เสียงนั้นยังคงอบอุ่นและน่าฟังเหมือนเคย แต่คำพูดที่ออกมากลับสวนไปคนละทาง

“เสี่ยวหยวน ผมยินดีนะที่คุณอยากหาแฟน แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงตรงหน้าคุณเป็นคนบูชาเงิน ผมคิดว่าสักวันเธออาจทิ้งคุณไปเพราะหาเงินให้เธอไม่มากพอ ผมเตือนในฐานะหัวหน้านะ ยิ่งในเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว ผมต้องเตือนคุณด้วยความหวังดี ลาก่อน”

พูดจบ เจียงเชิ้งหนานหันหลังกลับและเดินจากไป ไม่เหลียวกลับมามอง

ย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย เขาสนิทสนมกับเธอมาก จนทุกคนรอบตัวคิดเสมอว่าทั้งสองต้องเป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีแน่ ๆ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย

เขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอจะเป็นคนหน้าซื่อใจคดแบบนี้ ทั้งที่รู้จักและรู้ใจกันมานานพอตัว

เขาไม่เข้าใจเจตนาของเธอเลย ในเมื่อไม่ชอบเขา แล้วจะเข้ามาทำดีด้วยทำไมกัน?

พอตอนนี้ยิ่งมาเห็นกับตา เขายิ่งรู้สึกเกลียดเธอมากกว่าเดิม ทำมาเป็นสวมชุดเดรสสีขาว สวมรองเท้าส้นสูง และถือกระเป๋าดี ๆ และยังนัดมาทานอาหารกับลูกน้องในบริษัทของเขาอีก เขาคิดว่าสุดท้ายเธอแค่ต้องการ ‘เงินทอง’ และ ‘ความสบาย’ เท่านั้น เขาจึงตัดสินใจแก้แค้นเธอ

ไม่นานเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีด้านมืดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่ต่อให้เขาพูดหรือไม่พูด สุดท้ายแล้วเขาจะไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นอน

นอกจากนี้เสี่ยวหยวนเป็นหนึ่งในพนักงานที่มีแนวโน้มพัฒนาศักยภาพในการทำงานมากที่สุด เขาจึงยอมไม่ได้ถ้าต้องปล่อยให้คนดี ๆ แบบนี้ไปคบกับผู้หญิงบูชาเงินคนนั้น

เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด เพราะสมควรแล้วที่ผู้หญิงบูชาเงินต้องได้รับการกระทำแบบนี้

เมื่อเขาเดินจากไป อีกสองคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างเกร็ง ๆ และทำตัวไม่ถูก

เสี่ยวหยวนสังเกตสีหน้าผิดปกติของซือเฟยเสวี่ย หลังจากฟังเจียงเชิ้งหนานที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทผู้น่าเชื่อถือพูดจบ เขาจึงเก็บคำพูดเหล่านั้นมาไตร่ตรอง ซึ่ง            ซือเฟยเสวี่ยแสดงท่าทีผิดปกติชัดเจนเกินไป เขารู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าเสียดายที่เขาอยากคบหากับเธอ เพราะตอนแรกเขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนดีจริง ๆ

ตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นไม่เหลืออยู่แล้ว

เขาตัดสินใจพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“คุณซือเฟย ยินดีที่ได้พบและทานมื้อค่ำด้วยกันนะครับ ผมต้องกลับแล้ว”

หลังจากพูดจบเขาก็กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ

“พนักงานเสิร์ฟ เช็กบิลครับ”

“คุณลูกค้าครับ ทั้งหมดนี้ห้าร้อยแปดสิบสามหยวน แต่ทางร้านขอรบกวนรับเป็นเงินสดได้ไหมครับ?”

เสี่ยวหยวนหันไปพูดกับซือเฟยเสวี่ยว่า

“เดี๋ยวพวกเราจ่ายเงินสดนะ ทั้งหมดห้าร้อยแปดสิบสาม งั้นคุณจ่ายแค่สองร้อยเก้าสิบละกัน”

หลังจากพูดจบ เขาคลี่กระเป๋าสตางค์ออก แล้วหยิบธนบัตรในส่วนที่เขาต้องจ่ายให้พนักงานเสิร์ฟ

“ผมจ่ายส่วนของตัวเองแล้ว ส่วนที่เหลือ ไปให้คุณผู้หญิงตรงข้ามผมจ่ายนะครับ”

พูดจบ พนักงานเสิร์ฟหันกลับมาหาซือเฟยเสวี่ยทันที

พนักงานเสิร์ฟยืนรอซือเฟยเสวี่ยจ่ายเงินอยู่สักพัก

ขณะเดียวกันซือเฟยเสวี่ยไม่คิดว่าทุกอย่างจะจบแบบนี้ เมื่อเห็นพนักงานยืนรอ เธอก็รีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาค้นหาเงินในทันที

เธอค้นหาเงินในกระเป๋าอย่างร้อนรน

แย่แล้ว…

ปรากฏว่าเงินทั้งหมดที่เธอรวบรวมมาได้ มีแค่หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนเท่านั้น ซึ่งยังขาดอีกครึ่งหนึ่ง

เดิมทีเธอพกเงินสดติดกระเป๋าไว้ไม่เกินสองร้อยหยวนอยู่แล้ว และวันนี้เธอเองก็รีบร้อนออกมาด้วย จึงไม่ได้พกเงินสำรองมา เพราะเธอไม่คิดว่าจะต้องมาทานอาหารในร้านหรูหราซึ่งแต่ละเมนูมีราคาสูงพอสมควร

ตอนนี้หัวใจของซือเฟยเสวี่ยเริ่มสั่นเทาด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าพนักงานเริ่มมีท่าทีหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ

บทที่ 430

เคยตัวกับการมีคนมาจับจ่ายใช้สอยให้

 

พนักงานเสิร์ฟยังคงพยายามรออย่างอดทนอยู่สักพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าซือเฟยเสวี่ยนิ่งเงียบไปนาน และดูเหมือนไม่มีทีท่าจะจ่ายค่าอาหารสักที เขารู้สึกหงุดหงิดในใจมากขึ้นเรื่อยจนกระทั่งทนไม่ไหว เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดว่า

“คุณลูกค้าครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยรีบหน่อยได้ไหม? ผมต้องรีบไปโต๊ะอื่นครับ”

“ค่ะ... ขอโทษด้วย... กรุณารอสักครู่นะคะ...”

ซือเฟยเสวี่ยไม่เคยรู้สึกอับอายมากเท่านี้มาก่อน นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ถึงการจ้องมองอย่างแปลก ๆ รอบตัวเธออีกด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก

“หืม? ตอนนี้ในร้านลูกค้าเยอะมากนะครับ ยังมีอีกหลายโต๊ะที่ผมต้องไปช่วยเสิร์ฟอาหาร แต่ผมกลับต้องมารอเงินแค่สองร้อยหยวน ไม่ทราบว่าอีกนานไหมครับคุณลูกค้าถึงจะยอมจ่าย?”

พนักงานเสิร์ฟตอบสวนกลับทันทีโดยไม่ใจเย็นอีกแล้ว

ตอนนี้พนักงานเสิร์ฟมองว่าซือเฟยเสวี่ยอาจเป็นคนยากจนที่พยายามผลักดันฐานะของตัวเอง ซึ่งไม่มีความเจียมตัวเลยสักนิด เขายิ่งรู้สึกไม่พอใจมากกว่าเดิมที่ร้านอาหารหรูหราระดับนี้ต้องมารับลูกค้าที่ไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร

ขณะเดียวกันเริ่มมีเสียงรอบข้างนินทาขึ้นมาว่า

“หึหึ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีเงินจ่ายจริง ๆ เหรอเนี่ย? เธอยังดูวัยรุ่นอยู่เลยนะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้ไปซะได้”

“ดูจากชุดที่ใส่อยู่ก็รู้แล้ว คงเป็นชุดที่ดีที่สุดที่ซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อนสินะ? ส่วนกระเป๋าที่เหมือนจะราคาแพงใบนั้น ฉันหาซื้อง่ายจะตายไปตามตลาดขายของก๊อป ราคาแค่สามสิบหยวนเอง ถือว่าใจกล้าดีนะที่สะพายเข้ามาในร้านนี้”

“ผู้หญิงคนนั้นไม่หาข้อมูลอะไรเลยเหรอว่าร้านนี้เขารับแต่ลูกค้าระดับไหนแล้วอาหารราคาเท่าไหร่? อย่างน้อยก็หัดบวกลบราคาอาหารที่สั่งไปก็ยังดี แล้วพอกินอิ่มกลับมีเงินไม่พอจ่าย อย่างนี้มันฆ่าตัวตายชัด ๆ”

...

ซือเฟยเสวี่ยนั่งฟังเสียงนินทาทั้งหมดนี้ ก็รู้สึกแย่เอา   มาก ๆ จึงคิดว่าต้องโทรหาเพื่อนสักคนเพื่อยืมเงินมาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้ได้

แม้ว่ามันจะทำให้เธอยิ่งดูแย่และโดนดูถูกมากกว่าเดิมแต่ก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะเธอไม่รู้จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร การยืมเงินสองร้อยหยวนจากเพื่อนคนหนึ่งในเวลานี้ เป็นวิธีเดียวที่เธอคิดได้

ขณะที่เธอกำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เสียงผู้ชายท่าทางอบอุ่นและใจดีดังขึ้นว่า

“ค่าอาหารของเธอเท่าไหร่? เดี๋ยวผมจ่ายให้”

ซือเฟยเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างว่างเปล่า ปรากฏว่าเป็นเขา... เจียงเชิ้งหนาน

ถึงพวกเขาไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่คิดว่าการพบกันสองถึงสามครั้งนี้จะสร้างบาดแผลอันใหญ่หลวงให้กับเธอ

ทำไมโชคชะตาต้องทำกับฉันถึงขนาดนี้ด้วย...

ต้องให้เขาเห็นด้านที่อับอายที่สุดของฉันก่อนใช่ไหมถึงจะพอใจ...

ตอนนี้เธอรู้สึกละอายใจจนแทบรอไม่ไหวที่จะลุกเดินหนีไปจากตรงนี้

ก่อนเธอจะได้ตอบโต้ พนักงานเสิร์ฟก็พูดอย่างประจบสอพลอว่า

“โอ คุณเจียง ขอบคุณมาก ๆ ครับ ดีจริง ๆ ที่คุณอยู่ ค่าอาหารของผู้หญิงคนนี้ราคาสองร้อยเก้าสิบหยวนครับ”

เจียงเชิ้งหนานไม่หันไปมองเธอเลย เพียงแค่พยักหน้าและหยิบธนบัตรสามร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้พนักงานเสิร์ฟ

หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟจากไป ซือเฟยเสวี่ยรีบลุกไปหาเขาเพื่อบอกว่าจะคืนเงินให้ทั้งหมดทีหลัง แต่เจียงเชิ้งหนานหันมาชิงพูดก่อนว่า

“ถ้าผมรู้ว่าคุณเคยตัวกับการไม่พกเงินมาแบบนี้ ผมควรรอให้เสี่ยวหยวนจ่ายให้คุณก่อน แล้วค่อยบอกเขาว่านิสัยคุณเป็นคนยังไง”

หลังจากพูดจบ เขาก็พูดเสริมอีกว่า

“ดูเหมือนว่าคนบูชาเงินอย่างคุณ จะเคยตัวสินะกับการมีคนมาจับจ่ายใช้สอยให้”

ทันใดนั้นสีหน้าของซือเฟยเสวี่ยซีดเป็นสีขาวราวกับกระดาษในทันที

ถึงน้ำเสียงของเขายังคงฟังดูอบอุ่นเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เขาพูดนั้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกลูกศรนับพันศรทิ่มแทงทะลุหัวใจของเธอจนพรุนไม่เหลือชิ้นดี…

ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นและหันหลังเดินจากไป ซือเฟยเสวี่ยเดินถอยหลังกลับมานั่งพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรง และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ...

โรงเรียนมัธยมเอกชนฉิวจือ

ตั้งแต่มู่ซูเสียนลาออกจากโรงเรียนฉีเฉิงและเข้ามาทำงานที่โรงเรียนมัธยมฉิวจือ เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสอนฝ่ายมัธยมศึกษาตอนต้น และยังเป็นครูสอนประจำวิชาประวัติศาสตร์ของทุกสายชั้นในโรงเรียนอีกด้วย

บรรดานักเรียนต่างชื่นชอบครูสอนประวัติศาสตร์คนใหม่อย่างเธอมาก ๆ เพราะการสอนของเธอมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากทีเดียว เนื่องจากเธอมีเทคนิคเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้วิชาน่าเบื่อนี้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

การสอนของเธอนั้นมีประสิทธิภาพไม่แพ้โรงเรียนชื่อดังที่อื่นเลย จนครูทุกระดับชั้นเกิดแรงบันดาลใจเมื่อเห็นการสอนของเธอ พวกเขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจในการปรับปรุงวิธีสอนใหม่ ๆ