ตอนที่แล้วบทที่ 23: ปล่อยวางและขัดแย้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 25: สู้กับศพจากอาคารป่าและการพัฒนา

บทที่ 24: มอนสเตอร์ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า


และสิ่งที่ซูเฟิงพูดต่อไปนั้นก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของถังเจิ้น

ซูเฟิงบอกว่า “กูได้ยินมาว่าไอ้รองหัวหน้าตำรวจนั่นแม่งโกรธจัด ๆ จนเริ่มใช้เส้นสายกับทางพวกกูแล้ว  แถมที่สน.นี่ถึงขั้นทำเป็นคดีแล้วทำการสอบสวนอิก  กูว่าไม่นานพวกแม่งก็สาวถึงมึงอะเพื่อน”

หัวใจของถังเจิ้นจมดิ่งลงอีกรอบ  เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังประทับตราตรึงอยู่ในใจเขาไม่ลืม  แม้ว่าตอนนั้นเขาจะออมแรงเอาไว้แล้วก็ตาม  แต่แรงที่ปล่อยออกไปก็ไม่ใช่เบา ๆ เหมือนกัน  และตอนนี้ดูท่าเรื่องราวจะใหญ่โตขึ้นหน่อย ๆ แล้ว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งถังเจิ้นก็ถามว่า “มึงว่าถ้าพวกแม่งจับกูได้จะเป็นไงต่อวะ?”

“แย่  เสียตังบานตะไทพร้อมไปกินข้าวฟรีในชุดเครื่องแบบอีกสองสามปีไม่มีทางหนี  กูว่าทางที่ดีมึงรีบเผ่นตอนนี้เลยดีสุด!”

ได้ยินคำตอบของซูเฟิงหัวใจของถังเจิ้นก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม  เขาไม่คาดคิดว่าแค่เสียสติเพราะเมาเหล้านิดหน่อยจะก่อให้เกิดผลกระทบตามมาจนถึงขั้นทำให้แผนเดิมต้องหยุดชะงักทันทีแบบนี้มาก่อนเลย

อย่างไรก็ตามประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาก  ดังนั้นเขาจึงสามารถประคองอารมณ์ของตนให้คงที่ได้อย่างรวดเร็ว  และความคิดมากมายก็แวบเข้ามาในหัวของเขาอย่างรวดเร็วด้วย

ซ่อนได้ก็ซ่อน  ซ่อนไม่ได้ก็หนี  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเขาที่อีกโลก!

หลังจากคิดเรื่องนี้ถังเจิ้นก็ตัดสินใจได้แล้ว

ทันทีที่ซูเฟิงพูดจบคำตอบของถังเจิ้นก็เรียบง่ายและตรงไปตรงมา “เฟิงจื่อ  ฉันยังอยากได้ปืนอีกซักกระบอกว่ะ  จะให้ดีขอเป็นปืนไรเฟิลกับระเบิดแสวงเครื่องซักสองสามโล!”

ซูเฟิงถึงกับตกตะลึงและลุกขึ้นยืนตรงโดยไม่รู้ตัวทำให้หัวไปโขกกับหลังคารถอย่างแรง

แล้วการลุกพรวดครั้งนี้ก็ทำให้แม่สาวที่กำลังปีติยินดีกับจุดสุดยอดอยู่นั้นถึงกับกอดคอเขาแน่นพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความสุขสมแล้วกัดลงไปเต็มปาก

“เชี่ยนิ!  เบา ๆ หน่อยสิ!”

ซูเฟิงตบหน้าอกที่อวบอิ่มของแม่สาวจนเป็นรอยแดงรูปฝ่ามือ  แล้วแม่สาวนั่นก็เหมือนจะรู้งานว่านี่คือการส่งสัญญาณก็เลยลดตัวลงไปบริการช่วงล่างให้เขาอย่างขยันขันแข็งยิ่งกว่าเดิม

หลังจากจัดท่าจัดทางใหม่พร้อมกับเพลิดเพลินได้ที่แล้วซูเฟิงก็ตะโกนใส่หูโทรศัพท์เสียงดัง “ไอ้ถังเจิ้นนี่มึงไปโดนลากระโดดเตะหัวท่าไหนมาวะ!  ปืนกะเครื่องจุดระเบิดเนี่ยมึงจะเอาไปร่วมม็อบรึไงกัน!”

ถังเจิ้นยิ้มตอบกลับไปว่า “คิดมากไปแล้วพี่น้อง!  พวกเราก็แค่คนเถื่อนที่รอวันตาย!  หานายที่เหมาะสมไม่ได้ก็ตายแม่งตรงนี้แหล่ะทุ้ย!  อย่าชวนกูไร้สาระสิวะไอ่บ้า  ตกลงมึงจะช่วยไม่ช่วย  ไม่ช่วยกูจะได้หาคนอื่น”

เมื่อได้ยินแบบนั้นซูเฟิงก็เย้ยหยัน “หาคนอื่น?  ไม่กลัวมีปัญหาเหรอวะ?  กูเห็นมึงเป็นพี่น้องหรอกเว่ยถึงหยอกอะ  แต่ถ้ามึงยังอยากเดินสู่ด้านมืดกูก็ไม่ห้าม  จงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างสงบสุขเถิดดดดดด!”

“เออแล้วก็อย่ารีบร้อนเกินไปนักล่ะ  ถ้ามีพวกขี้เสือกมาสนเข้าล่ะก็แม่งจะยุ่ง”

ถังเจิ้นเห็นด้วยกับประโยคนี้เป็นอย่างมากซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไปหาซูเฟิง  พวกเขาทั้งสองเป็นเหมือนพี่น้องของกันและกันดังนั้นไม่ว่าจะเจอเรื่องก็จะปลอดภัย

เขากำลังจะถามซูเฟิงว่าจะได้ของเมื่อไหร่  แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบมาก่อนเลย

“รอกูโทรไป  แล้วอย่าลืมเตรียมเงินให้พอด้วย  บางทีเราอาจต้องไปชายแดน”

หลังจากวางสายถังเจิ้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง  จากนั้นก็เทเลพอร์ตไปพร้อม ๆ กับเป้ของตน

ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาถังเจิ้นก็รู้สึกว่าอากาศในโลกโหลวเฉิงนี่มันอัดแน่นด้วยบรรยากาศของความกดดันอย่างสุดจะพรรณนา  และดูเหมือนว่าจะมีละอองกำมะถันจาง ๆ ลอยตามลมอยู่ด้วย

ในเวลานี้ถิ่นทุรกันดารที่อยู่ตรงหน้าเขามืดมากและดูเหมือนมีเมฆดำหนาทึบลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนก้อนตะกั่วสีดำที่ทำท่าเหมือนจะตกลงมาใส่ได้ทุกเมื่อ

เสียงคำรามของมอนสเตอร์ที่มักจะได้ยินเป็นครั้งคราวในถิ่นทุรกันดารเป็นปกติแบบก่อนหน้านี้ตอนนี้คือไม่มี

ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกของถังเจิ้นง่าย ๆ ตอนนี้เลยก็...  เหมือนกำลังจะเจอนรก

“ตกลงมันเชี่ยไรอีกวะหนิ?”

ถังเจิ้นงงงวย  สายตาก็สอดส่องมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง  เมื่อเปิดแอปแผนที่ขึ้นมาเช็กก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรเลย

ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นตรงไปยังเมืองผู้พเนจรนั้นเองจู่ ๆ ร่างของถังเจิ้นก็หยุดลง  จากนั้นเขาก็รีบหมอบลงกับพื้นพร้อมกับกลั้นหายใจอย่างรวดเร็ว  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววแห่งความสยดสยอง

ถิ่นทุรกันดารที่ดูเหมือนจะสงบเงียบไม่มีอะไรเบื้องหน้าได้เกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมาในแอปแผนที่ราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังบิดเบือนและเคลื่อนพื้นที่ทั้งหมดบริเวณนี้

ทันทีหลังจากนั้นภายในระลอกคลื่นที่บิดเบี้ยวอยู่นั้นได้มีช่องว่างสีดำปรากฏขึ้นพร้อมเปล่งออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

ในเวลาเดียวกันกลิ่นกำมะถันในอากาศก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ถังเจิ้นจ้องมองที่แผนที่อย่างตั้งใจ  เห็นรอยแยกสีดำใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างพยายามบีบตัวออกจากรอยแตกนั้น

มันเป็นโครงร่างของอาคารที่มีรูปร่างแปลกประหลาดและดูมืดหม่น  มีบรรยากาศที่ดุดันน่าสะพรึงกลัว  พร้อมกันนั้นก็ได้มีเสียงคำรามโหยหวนและโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากช่องว่างซึ่งทำให้หนังศีรษะของคนที่ได้ยินต้องเสียวแว้บดังขึ้นมาทันที

ตัวอาคารที่เปิดเผยออกมามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดถังเจิ้นก็มองเห็นรูปลักษณ์ของอาคารได้อย่างชัดเจน

มันเป็นอาคารแปลก ๆ ที่มีพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางเมตร  สูงประมาณ 10 เมตรและมี 9 ชั้น  มีรูปปั้นมอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้านนอกของแต่ละชั้นซึ่งดูสมจริงและน่าเกลียดมาก

ถังเจิ้นไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นแบบของรูปปันพวกนั้นด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร!

สิ่งเดียวที่ทำให้ถังเจิ้นรู้สึกแปลกคืออาคารหลังนี้มันดูทรุดโทรมเหมือนว่าจะเป็นซากปรักหักพัง

“หรือว่า...”

ความคิดแวบเข้ามาในหัวของถังเจิ้นและเขายังคงจดจ่ออยู่กับการสังเกตรายละเอียด

เมื่ออาคารหลุดออกจากช่องว่างสีดำสนิทนั้นแล้วช่องว่างสีดำเล็ก ๆ อีกอันปรากฏขึ้นใกล้ ๆ และจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายตัวออก...

ร่างที่ดูมืดหม่นน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้ตัวอาคารเองก็ได้ ‘เบียด’ ออกมาจากช่องว่างนั้น

ถังเจิ้นมองไปที่จำนวนของไอ้พวกนั้นที่เบียดตัวออกมากันเรื่อย ๆ ด้วยลมหายใจที่หอบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ตาม  สีหน้าของเขายิ่งมายิ่งหมองคล้ำ

แล้วจากนั้นก็ดูเหมือนจะมีลำแสงกระพริบวาบขึ้นระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน  จากนั้นช่องว่างสีดำทั้งหมดก็หายวับไปในทันที  ตัวอาคารกับจำนวนของผู้ที่มาเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นในแดนทุรกันดารราวกับภาพวาดที่เปียกโชกไปด้วยน้ำหมึกที่พึ่งวาดเสร็จใหม่ ๆ

เมื่อถังเจิ้นสามารถมองเห็นอาคารและร่างเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นจากอากาศเปล่ากลางแดนทุรกันดารได้อย่างชัดเจนด้วยตาของตนเอง  ตอนนี้สีหน้าของเขากลายเป็นหมองคล้ำไม่เหลือออร่าไปแล้ว

อาคารนี้ยังคงเหมือนกับตอนที่มันปรากฏตัวครั้งแรกคือมีบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวราวกับว่ามันสามารถดึงวิญญาณของผู้คนที่มองมันอยู่ให้หลุดออกจากร่างได้

ร่างที่ปรากฏรอบ ๆ อาคารเป็นซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่สวมชุดเกราะขาดรุ่งริ่งและถือดาบ  หอก  กระบี่  และง้าวราวกับว่าพึ่งคลานออกจากสนามรบที่ถูกไฟชำระล้างเผาผลาญมาหมาด ๆ ผิวที่แตกระแหงเต็มไปด้วยบาดแผลของพวกมันซีดเซียวแซมด้วยสีม่วงคล้ำ  ชุดเกราะกับอาวุธของพวกมันเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเขม่าดินปืน  ดวงตาแต่ละตัวเป็นสีแดงเลือดสาดประกายไอสังหาร

เมื่อถังเจิ้นเพ่งมองทหารที่ถือโล่กับสังเกตเห็นทหารที่ถือดาบกับโล่ตัวหนึ่งแล้วข้อมูลของมันก็เด้งขึ้นมาให้อ่าน

[ทหารผีดาบโล่  มอนสเตอร์เลเวล 2 ไม่กลัวความเจ็บปวด  พละกำลังไร้ขีดจำกัด  จุดอ่อนคือกลัวถูกไฟเผา]

จากนั้นมองไปที่มอนสเตอร์ที่ตัวที่ถือกระบี่ข้าง ๆ กันนั้นและได้มีข้อความเด้งขึ้นมาว่า [หัวหน้าทหารผี  มอนสเตอร์เลเวล 3 ไม่กลัวความเจ็บปวด  พละกำลังไร้ขีดจำกัด  รวดเร็วว่องไว  จุดอ่อนคือกลัวถูกไฟเผา]

เมื่อมองไปเหล่ามอนสเตอร์ที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าแล้วถังเจิ้นก็เข้าใจทันทีว่ามอนสเตอร์กับเย่โหยว (อาคารป่า) ของโลกนี้มันปรากฏตัวขึ้นมาในลักษณะประหลาด ๆ แบบนี้นี่เอง

ในเมื่อมอนสเตอร์เหล่านี้ปรากฏตัวในลักษณะแบบนี้  แล้วมอนส์เตอร์อื่น ๆ ล่ะเป็นเหมือนกันมั้ย?  แล้วพวกมันมาจากที่ไหน?  ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้แต่เดิมจริงหรือไม่?

ยิ่งถังเจิ้นคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

ตึ้ม  ตึ้ม  ตึ้ม...

มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้น  ตามมาด้วยเจ้าของฝีเท้าที่มีร่างสูงใหญ่เกือบสามเมตรเดินออกมาจากตัวอาคาร

มันสวมชุดเกราะสีดำที่มีลวดลายแปลกประหลาดซึ่งส่วนใหญ่แตกหักไม่สมประกอบ  และในมือของมันถือดาบผ่าม้าเล่มใหญ่ซึ่งยาวกว่าตัวมันเองโดยที่ตัวใบดาบมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่

หมวกของมอนสเตอร์บุบไปครึ่งหนึ่ง  และบริเวณที่ไม่มีเกราะก็เต็มไปด้วยลูกธนูขนนกสีดำซึ่งส่วนใหญ่จะหักไปแล้ว

เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของมันดังขึ้นยามที่รองเท้าของมันแตะพื้นซึ่งบ่งบอกถึงน้ำนักของร่างกาย

เมื่อถังเจิ้นเพ่งมองมันแต่กลับไม่มีอะไรเด้งขึ้นมามันก็ทำให้เขาต้องใจสั่น

ตราบใดที่เป็นมอนสเตอร์ที่ไม่ได้มีเลเวลสูงเกินตัวเขาเอง 3 เลเวลล่ะก็ข้อมูลของมันจะแสดงขึ้นมาต่อหน้าเขาได้เลย  และข้อมูลของไอ้ตัวยักษ์นี่กลับไม่ขึ้นมาก็แสดงว่าเลเวลของมันต้องเกินเลเวล 5 หรือก็คือมอนส์เตอร์ระดับลอร์ดซึ่งเป็นเลเวล 6 ขึ้นไปที่มีความสามารถพิเศษ!

ถ้ามอนสเตอร์ดังกล่าวปรากฏตัวในเมืองผู้พเนจรล่ะก็มันถึงขนาดสามารถทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเลือดได้เลย  เพราะผู้กุมอำนาจสูงสุดในเมืองผู้พเนจรนั้นมีเลเวลแค่ 4 เท่านั้นซึ่งสูงสุดในเมืองแล้ว

เมื่อถังเจิ้นแอบมองเจ้ามอนสเตอร์ระดับลอร์ดตัวนี้อยู่  อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ตัวเนื่องจากหัวขนาดใหญ่ของมันได้ค่อย ๆ หันมาทางเขาจนหัวใจของเขาต้องสั่นสะท้านรีบหันขวับไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว

‘ไอ้มอนนี่แม่งเซนส์ดีจังวะ  สงสัยต่อไปถ้าจะอ่านข้อมูลมอนต้องระวังให้ดีละ’

น่าเสียดายที่เจ้าระดับลอร์ดมันยังไม่ยอมเลิกราแหล่งที่มาของสายตาที่จ้องมองมัน  มันได้ชี้นิ้วพร้อมกับออกเสียงคำพูดพยางค์แปลก ๆ และทันทีหลังจากนั้นพวกทหารผีดาบโล่ต่างก็ตั้งแถวและเคลื่อนไปข้างหน้าโดยเป้าหมายก็คือทิศทางที่ถังเจิ้นอยู่

ในเวลาเดียวกันนั้นเองพวกตัวที่ถือคันธนูต่างกระจายกำลังตรงมาพร้อมกัน

หัวใจของถังเจิ้นกระตุกวูบ  เขารีบหันหลังกลับแล้วสับตีนแตกอย่างไม่มีลังเล  โดยเป้าหมายคือทิศทางที่เมืองผู้พเนจรตั้งอยู่

ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดที่จะเทเลพอร์ตออกไปทันที  แต่คำถามคือตอนที่เขาเทเลพอร์ตกลับมาอีกรอบแล้วมันจะโผล่ที่ไหน?  ก็ที่ล่าสุดที่เขาอยู่ซึ่งตอนนี้กลายเป็นดงมอนสเตอร์ไปแล้วไง  แบบนั้นกลับมาก็ต้องเจอมอนฯรุมฆ่าในระยะประชิดทันทีเลยไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสับตีนแตกแบบยิ่งหนีออกจากที่นี่ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเท่านั้น  ทำแบบนี้แล้วจะเป็นหลักประกันในความปลอดภัยมากกว่า

ถังเจิ้นที่หลบหนีอยู่นั้นได้ดึงดูดความสนใจของทหารผีทั้งหลายในทันทีทำให้พวกมันกรูกันเข้าไปหาเขากันอย่างพร้อมใจ

ตามด้วยฝนลูกธนูระลอกหนึ่งที่ปิดล้อมตัวเขาในระยะสิบเมตรชนิดที่ไม่มีจุดให้หลบหลีกได้เลย

“พ่องตาย!”

ถังเจิ้นแอบด่าแล้วเมื่อฝนธนูตกลงมาใกล้จะถึงตัวเขาก็ได้เทเลพอร์ตหายวับไปในทันที

ชั่วพริบตาที่เมื่อกลับมาถึงบ้านถังเจิ้นไปเอากระทะใบบัวขนาดใหญ่ที่คนบ้านนอกใช้ทำอาหารซึ่งเขาโยน ๆ ไว้ที่มุมห้องออกมาแล้วเอามันบังหลังไว้

เดิมทีเขาซื้อกระทะเหล็กหล่อใบนี้มาไว้กะใช้ทำอาหารให้พวกมู่หรงจื่อเหยียนกิน  แต่ตอนนี้มันต้องเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่กลายเป็นการ์ดที่ดีที่สุดให้กับเขาไปซะแล้ว

จากนั้นก็วาร์ปอีกรอบ  ตรงหน้าเป็นโลกโหลวเฉิงเหมือนเดิม  ถังเจิ้นก็ถังเจิ้นคนเดิมเพิ่มเติมคือกระทะใบบัวขนาดใหญ่ซึ่งดูแล้วเหมือนตัวตลกเล่นปาหี่มาก ๆ

และก็ตามที่คาดไว้  พวกทหารผีสารพัดอาวุธยังคงอยู่ที่บริเวณที่เขาหายตัวไป  และเมื่อพวกมันเห็นเขาก็แหกปากคำรามใส่ก่อนเลยตามด้วยคมมีดคมดาบหัก ๆ ที่ฟาดฟันเข้ามา

ถังเจิ้นไม่กล้าลังเลรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับกระทะที่กันด้านหลัง  ฝนลูกธนูก็พุ่งใส่หลังกระทบเข้ากับกระทะแล้วกระดอนออกเกิดเสียงโป๊งเป๊งไม่หยุด  ลูกธนูบางดอกถึงขนาดเจาะทะลุกระทะแล้วชำแรกเข้าสู่ร่างกายเขาได้สำเร็จด้วยซ้ำ  แต่เนื่องจากมีกระทะกันอยู่และพลังกายในการน้าวสายธนูอ่อนแอลงไปทำให้ลูกธนูไม่แรงพอที่จะสร้างอาการบาดเจ็บที่รุนแรงมากแก่เขาได้

ถังเจิ้นวิ่งหนีออกจากระยะยิงที่ลูกธนูยิงถึงภายในลมหายใจเดียว  แต่กระทะที่เขาพกมานั้นอยู่ในสภาพที่สมควรทิ้งไปเร็ว ๆ ส่วนทหารผีที่เป็นสายจู่โจมประชิดตัวกลับยังคงวิ่งไล่เขามาอย่างไม่รู้จักคำว่าลดละเลิก

ถังเจิ้นหันหน้าไปมองพวกมันที่ยังตามหลังมาไม่หยุดแล้วปากระทะเหล็กหล่อทิ้งไปพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

“ต่อไปตากู!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด