ตอนที่ 1046 ผายลมเถอะ! ฉันบอกว่าสุนัขของฉันไม่มีปัญหาอะไร!
ในช่วงตอนกลางคืนเช่นนี้ หลินฟาน ก็ขี้เกียจจะเอารถไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะไปเติมน้ำมันที่ปั๊มในวันพรุ่งนี้ มาตอนนี้ หลินฟาน ได้ตัดสินใจที่จะขึ้นรถเมล์
“เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้ขึ้นรถเมล์มานานแล้ว งั้นเราไปนั่งรถเมล์กันไหม คุณคิดว่ายังไง?” หลินฟาน ได้พูดพร้อมกับได้หัวเราะออกมาเบาๆ
เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้พูดไปว่า : “อืม.. ได้สิ”
หลินฟาน ไม่ได้นั่งรถเมล์มานานแล้ว แต่ เว่ย เยว่เอ๋อร์ เธอแทบจะไม่เคยได้ขึ้นรถประจำทางเลยด้วยซ้ำ เดิมทีตัวเธอเองก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลที่ร่ำรวย ทั้งยังเป็น น้องสาว ของคนที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน ที่ไหนจะต้องขึ้นไปเบียดเสียดกับผู้คนบนรถประจำทาง
เมื่อก่อน.. ตอนสมัยที่ หลินฟาน เคยทํางานออฟฟิศ เขาเองก็ต้องนั่งรถเมล์แทบจะทุกวัน ต่อมาเมื่อเขาไปเป็นคนส่งอาหาร จึงไม่ค่อยได้นั่งรถเมล์มากนัก ขับแต่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทุกวัน เขาเองก็ค่อนข้างคิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ได้นั่งรถเมล์ ..เล็กน้อย
ทั้งสองจึงได้ลงจากรถ และเดินออกจากบริษัท มาถึงป้ายรถเมล์ ที่ใกล้ที่สุดใกล้ ที่อยู่ใกล้กับบริษัท
เพราะเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว บนรถเมล์ก็ไม่ค่อยมีคน ขึ้นรถมาในเวลานี้ก็ยังมีที่นั่งให้นั่ง
หลินฟาน กล่าวว่า : “เราหาร้านนั่งกินข้าวที่ถนนการค้าข้างหน้าก่อนไหม แล้วค่อยหารถเมล์คันใหม่ หากมันสายเกินไป ก็ค่อยนั่งแท็กซี่กลับ?”
เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้กล่าวอย่างมีความสุขออกไปว่า : “อืมม”
ตราบใดที่เธอสามารถอยู่กับ หลินฟาน ได้ เธอก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่างอะไรก็ได้ ให้เธอขึ้นรถเมล์ เธอก็ยินดี และหากสามารถกินข้าวเย็นด้วยกันกับ หลินฟาน ได้ เธอก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น
ทั้งสองได้พูดคุยกันอยู่บนรถ เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่แสนจะน่าเบื่อ
“เยว่เอ๋อร์ เวลาผ่านไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ คุณเองก็ได้มาเป็นผู้ช่วยของผม ..ก็สักพักแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง คุณคุ้นชินกับงานที่ทำอยู่ไหม?” หลินฟาน ได้พูดถามออกไปด้วยรอยยิ้ม
เว่ย เยว่เอ๋อร์ กล่าวว่า : “ฉันก็คุ้นชินแล้ว ทั้งนี้.. นี่ก็เป็นงานที่ฉันชอบ”
หลินฟาน กล่าวว่า : “ความคาดหวังของผมที่มีต่อคุณ ไม่ใช่แค่ว่าให้คุณมาเป็นผู้ช่วยของผม ด้วยความสามารถของคุณ คุณสามารถทําสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น เช่นครั้งนี้ คุณได้ช่วยผมซื้อสโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง คุณก็ทําได้สวยงามมากๆ”
หลินฟาน ที่ได้มอบหมายงานสําคัญบางอย่างให้กับ เว่ย เยว่เอ๋อร์ ก็คือเขาต้องการให้ เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้แสดงบทบาทเป็นผู้อํานวยการ ในอนาคตเธอเองก็สามารถมีบทบาทสําคัญมากขึ้นในบริษัท แทนที่จะมาเป็นเพียงผู้ช่วยส่วนตัวของเขา
เว่ย เยว่เอ๋อร์ กลับมีความคิดอีกแบบหนึ่ง ตัวเธอเองไม่ได้แสวงหางานมากนัก ถ้าหากเธอเป็นคนบ้างานจริงๆ ด้วยภูมิหลังของเธอ เธอเองก็สามารถดูแลบริษัทหลายแห่งได้ไปนานแล้ว
เธอไม่ได้แสวงหาอาชีพการงานของตัวเองเลย นั่นเพราะเธอไม่จำเป็นต้องมานั่งกังวลเรื่องอาหารการกิน และเสื้อผ้า ..มาตั้งแต่เกิด ทั้งไม่จําเป็นต้องมาวิ่งเต้นเพื่อชีวิต และต่อสู้เพื่อธุรกิจ เหมือนกรรมกรทั่วไป
เธอสามารถทําสิ่งที่เธออยากทําได้ตามอําเภอใจ เช่น ก่อนหน้านี้เธอก็ได้วิ่งไปเป็นครูสอนที่หมู่บ้านบนภูเขาแค่คนเดียว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือตอนนี้ ..เธอเองได้เป็นผู้ช่วยของ หลินฟาน แล้ว และจุดประสงค์ของเธอมันก็ไม่ใช่การไต่เต้าให้ได้ตำแหน่งสำคัญๆ ใดๆ ในบริษัท เธอแค่อยากเข้าหา หลินฟาน และต้องการได้อยู่เคียงข้าง หลินฟาน ก็เท่านั้น
“แต่…” เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้พูดไปว่า “อันที่จริงแล้ว แค่ให้ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณก็พอแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้แสวงหาอะไรมากนัก... แต่ถ้าเป็นสิ่งที่คุณอยากให้ฉันทำ ฉันก็จะทำมันให้ดีที่สุด”
ในเมื่อ หลินฟาน มีความคาดหวังในตัวเธอสูง งั้นเธอก็จะไม่ขัดขืนความคิด หลินฟาน สิ่งที่ หลินฟาน ต้องการให้เธอทำ เธอก็จะทํามันทั้งหมด
หลินฟาน ยิ้ม แล้วพูดไปว่า : “คุณเป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จสูงซึ่งได้กลับมาจากการศึกษาต่อในต่างประเทศ ผมเองเกรงว่าคุณจะสูญเสียความสามารถของคุณไป”
เว่ย เยว่เอ๋อร์ ได้รีบพูดไปว่า : “ไม่เป็นไร.. ไม่สิ มันเป็นไปได้ที่ไหนล่ะ…”
พูดไปพลางเธอก็ได้หน้าขึ้นสีเล็กน้อย
ในเวลานี้ รถเมล์ ได้มาถึงป้ายหนึ่ง และเห็นเพียงป้าวัยกลางคนที่กำลังจูงสุนัขตัวหนึ่งขึ้นรถ
“ขอโทษนะ หมาให้ขึ้นมาบนรถเมล์ไม่ได้” คนขับรถเมล์ ก็ได้พูดห้ามในทันที เพื่อปฏิเสธไม่ให้ป้าขึ้นมาบนรถเมล์ เพราะสุนัขของป้าตัวนี้ค่อนข้างตัวใหญ่ ทั้งมันก็ดูไม่ใช่สุนัขเลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีภัยคุกคามใดๆ
สุนัขตัวนี้มีแต่สายจูงเท่านั้น และไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอันตรายที่จะให้ขึ้นรถ คนขับจึงได้ห้ามทันที และไม่ให้ป้าขึ้นมาบนรถ
ป้าได้ขึ้นรถมาแล้ว คนขับรถเมล์ ก็ได้บอกว่าสุนัขขึ้นรถไม่ได้ ความหมายก็คือ ต้องการให้ป้าลงไปจากรถ
ทันทีที่ ป้า กับสุนัข ขึ้นรถ ก็ได้รับความสนใจจากผู้คนในรถ ทุกคนเองก็ได้แสดงสีหน้าตื่นตัวจริงๆ เพื่อระวังสุนัขตัวนี้ บรรยากาศเองก็ค่อนข้างที่จะตึงเครียดเล็กน้อย สุนัขตัวนี้เองก็ได้สร้างความเครียดทางจิตใจให้กับทุกคนจริงๆ
เมื่อพอป้าได้ยินว่าสุนัขของเธอขึ้นบนรถไม่ได้ สีหน้าของเธอก็ได้จมลงทันที : “คุณพูดอะไร คุณบอกว่าสุนัขของฉันขึ้นรถไม่ได้ คุณฟังดู นี่หรือคือคําพูดของมนุษย์?”
คนขับรถเมล์ พูดตอบไปว่า : “ขึ้นไม่ได้ กฎระเบียบมันว่าไว้แบบนี้ ถ้าคุณจะนั่ง คุณก็ไม่สามารถพาหมาขึ้นมาได้ คุณดูสิว่าหมาตัวนี้อันตรายแค่ไหน แล้วความปลอดภัยของผู้โดยสารคนอื่นๆ คุณจะรับประกันได้อย่างไร?”
ป้า ได้พูดไปว่า : “ความปลอดภัยอะไร? คนเยอะขนาดนี้ ยังจะมากลัวหมาตัวเดียวอีก แล้วอีกอย่างหมาของฉันนิสัยดีมาก เชื่อฟังมาก ไม่กัดคนหรอกนะ!”
“โฮ่ง โฮ่ง...”
แต่ในเวลานี้ สุนัขตัวใหญ่ตัวนั้น ก็ได้เห่า และหันหน้าแยกเขี้ยวใส่เด็กคนหนึ่งในรถ!
เด็กน้อยได้ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของผู้ใหญ่ และเขาก็กำลังกินขนมปังในมือของเขา ข้างในมีเนื้ออยู่ในขนมปัง และมีกลิ่นหอมของเนื้อออกมา.. เห็นได้ชัดว่าสุนัขตัวนี้ได้กลิ่นหอมของเนื้อ และได้เห่าใส่เด็กน้อยคนนี้ ราวกับกำลังขอกิน
เด็กน้อยก็ได้ตกใจ และได้วี้ดเสียงร้องไห้ออกมา
ส่วนผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ได้ต้องตกใจกับเสียงเห่าที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันของสุนัขตัวใหญ่ตัวนี้
ป้ายังบอกได้อีกหรือว่า สุนัขของเธอเชื่อฟัง นิสัยดี นี่มันน่าเข้าไปตบหน้าจริงๆ นี่.. เรียกได้ว่า เชื่อฟัง!
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว คุณรีบพาสุนัขของคุณลงไปเร็วๆ เลย แล้วอย่าปล่อยให้มันมาเห่าตรงนี้ ได้ยินไหม มันน่ากลัวจะตาย ให้หมาตัวนี้ขึ้นรถ คุณนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ!” คนขับได้บ่นออกมา แล้วเร่งให้ป้าลงไปจากรถ
ป้า เองก็ได้พูดอย่างไม่พอใจออกไป : “กลัวอะไร มันไม่ได้มีพิษมีภัยหรอกนะ! สุนัขของฉันแค่เห็นว่ามีของกิน ก็เลยได้เห่าออกไปสองครั้งเท่านั้น มันเชื่อง และไม่ทำร้ายคน คุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่มันลงไปจากรถ!”
“ทําไม มันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่คน ฉันจะปล่อยให้มันขึ้นรถเมล์ไม่ได้ ดูสิมันขู่ผู้โดยสารคนอื่น คุณเข้าใจไหม รีบๆ ลงจากรถไปเถอะ!” คนขับรถเองก็ดูมีอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย
ป้าก็ได้โกรธขึ้นมาทันที : “ผายลมเถอะ! ฉันบอกว่าสุนัขของฉันไม่มีปัญหาอะไร แต่พวกคุณมันกลับมีท่าทีเสแสร้ง! ฉันจะไม่ลงไปไหน มาดูสิว่าใครมันจะทําอะไรฉันได้!”
พอผู้โดยสารในรถได้ฟัง ก็พากันไม่พอใจแล้ว ป้าคนนี้ก็พูดจาไร้เหตุผลมากเกินไปมั้ง ทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ!
“รีบๆ ลงจากรถไปเถอะ คุณทําให้เด็กๆ กลัวจนร้องไห้แล้ว!”
“คือ ไร้คุณภาพเกินไปหน่อยไหม รู้ทั้งรู้ว่าหมาขึ้นมาบนรถไม่ได้ ยังจะจูงหมาขึ้นมาอีก ทั้งมันยังเป็นหมาตัวใหญ่ขนาดนี้อีก”
“ถ้าเป็นหมาเลี้ยงตัวเล็กๆ ก็พอว่า แต่ดูนี่ หมาดูออกจะดุร้ายขนาดนี้ ถ้าเกิดไปกัดคนบาดเจ็บเข้า คุณรับผิดชอบไหวไหม?”
“หยุดพูดได้แล้ว รีบลงจากรถไปเถอะ! จริงๆ เลย!”
ผู้โดยสารได้พากันบ่นออกมาทีละคน และได้เร่งให้ป้าลงไปจากรถ
ป้าได้โกรธมาก และตะโกนออกไปว่า : “หุบปากซะ! พวกคุณจะมาเสแสร้งไปทำไม แต่ละคนดูสิก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว แต่ทําไมถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้ กลับทำมาเป็นกลัวสุนัขแค่ตัวเดียว!”
“อีกอย่าง ฉันจะบอกให้นะ สุนัขของฉันตัวนี้นิสัยดีมาก มันไม่กัดคน ถึงจะพูดไปพวกคุณก็ไม่เชื่อฉัน!”
“พวกคุณอย่าคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ แล้วสูงส่งมากหรอกนะ ดูสิแต่ละคนก็ขึ้นมาเบียดเสียดบนรถเมล์ทีละคนๆ นี่เหรอที่เรียกว่าสูงส่ง? เหอะ! พวกคุณแต่ละคน มันก็ล้วนเป็นผีไร้ค่า ทั้งยังไม่มีค่าเท่าสุนัขของฉัน และนี่ฉันก็ซื้อมาในราคา 5,000 หยวน พวกคุณซื้อได้เหรอไง? ในสายตาของฉัน พวกคุณมันยังไม่มีค่าเท่ามันเลย!”
ป้ายิ่งพูดก็ยิ่งมีอารมณ์มากขึ้น และได้ชี้หน้าด่า สาปแช่งผู้คน
ในเวลานี้ ก็ได้มีอีกคนหนึ่งขึ้นมาบนรถ แต่คนที่ขึ้นมาคนนี้ กลับเป็น ชายวัยกลางคนที่พิการ
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่พิการ ทั้ง หลินฟาน และเว่ย เยว่เอ๋อร์ ต่างก็ตกตะลึง บังเอิญจริงๆ ชายวัยกลางคนที่พิการคนนี้ก็คือ อู๋ ต๋า!
“เฮ้ๆ ไอ้ป้าเลว คนอื่นบอกว่าไม่ให้สุนัขขึ้นรถ คุณมันช่วยหยุดพูดพล่ามได้ไหม?” วิธีที่ อู๋ ต๋า พูดออกมา มันแทบไม่อยากจะเชื่อ
“คุณเรียกฉันว่าอะไร?” ป้าได้กระโดดขึ้นมาด้วยความโกรธทันที และได้ชี้นิ้วไปที่จมูกของ อู๋ ต๋า และตะโกนด่าออกไปว่า : “คุณมันก็เป็นแค่ไอ้คนพิการ…”