บทที่ 4 มิกะ อามามิ นักผจญภัยแรงค์ ss (2)
บทที่ 4 มิกะ อามามิ นักผจญภัยแรงค์ ss (2)
ข้าชื่อมิกะ อามามิ
ข้าพักอยู่บนเกาะลอยน้ำมาสองสามวันแล้วเพื่อรอให้งานเสร็จ วันนี้ก็เป็นวันปกติทั่วไประหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ หลังจากนั้นข้าได้รับข่าวเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของเกท แต่ข้าก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เพราะข้าคิดว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญ
แต่ไม่นานข้าก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสองสามคนที่โทรมาขอความช่วยเหลือ ข้าอยากจะปฏิเสธเธอ แต่ที่ผ่านมาข้าได้รับความช่วยเหลือจากเธอค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามข้าตัดสินใจที่จะจัดการมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และรีบทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จและออกจากเกาะลอยน้ำทันที
ระหว่างทางใกล้เกท ข้าได้พบกับนักผจญภัยระดับต่ำมากมายที่คอยช่วยเหลือผู้คนในการอพยพ ข้าไม่ได้ยุ่งกับพวกเขาและรีบวิ่งไปในที่ที่ข้ารู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของสัตว์อสูร
เพียงแค่สัตว์อสูรเปล่งเสียงออกมาก็สร้างแรกกดดันได้มากโขแล้ว ข้ารู้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรระดับ A หากปล่อยไว้นานเข้ามันอาจทำลายเมืองทั้งเมืองให้วอดวายได้ และตอนนี้นักผจญภัยระดับต่ำก็ไม่มีใครกล้าอยู่ที่นั่นสักคนเดียว
ทันทีที่ข้ามาถึงใกล้เกทข้าเห็นภาพเงาของสัตว์อสูรขนาดเท่าตึก และข้าตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ข้าก็หยุดการก้าวเดินเมื่อสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของคนอื่นในบริเวณใกล้เคียง
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ข้าตัดสินใจรอดูห่างๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากย้ายไปยังสถานที่ที่ข้าสามารถมองเห็นบุคคลนั้นได้อย่างชัดเจน ข้าก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ
ที่นั่นข้าเห็นเด็กผู้ชายผมสีดำเข้มอายุประมาณ 15-16 ปียืนเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันที่มันปล่อยออกมาแม้แต่น้อย
และเมื่อข้าได้เห็นดวงตาที่ไร้ซึ่งความกลัวของเขาในขณะที่จ้องไปที่เจ้าสัตว์อสูรนั่น....มันทำให้ข้ารู้สึกเสียวสันหลังวาบ…
เด็กชายจ้องมองสัตว์อสูรด้วยดวงตาสีดำคมแคบของเขา ซึ่งทำให้ฉากนี้ดูเหมือนนักล่าที่รอที่จะกินเหยื่อของมัน…
สัตว์อสูรคำรามใส่เขาเพื่อทำให้เขาตกใจหรือพยายามทำให้เขาเป็นอัมพาต แต่นั่นไม่ได้มีผลกับเด็กชายมากนัก และทันใดนั้นเด็กชายก็หายไปจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ ทิ้งไว้เพียงรอยทางสีน้ำเงิน และในไม่ช้าเขาก็จู่โจมสัตว์อสูรที่ข้อเท้าของมัน ซึ่งทำให้สัตว์อสูรเจ็บปวดจนต้องร้องออกมา
ข้ารู้สึกตกใจอีกครั้งกับความเร็วนั้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ 'สิ่งนั้น' ที่มีความสัมพันธ์กับเขา…
หลังจากนั้น ข้าเห็นเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะสัตว์อสูรตัวนั้น แต่ถึงตอนนี้สัตว์อสูรก็ยังแข็งแกร่งเกินกว่าที่เด็กชายคนนั้นจะเอาชนะมันได้ และข้าเห็นเขาตัวโชกไปด้วยเลือดในขณะนี้…
ข้ากลับมามีสติสัมปชัญญะ
และในไม่ช้าข้าก็ฆ่าสัตว์อสูรตัวนั้นทันทีโดยไม่ต้องการให้เด็กคนนั้นถูกมันฆ่าตาย
เพราะอีกไม่นานเขาจะกลายเป็น...ศิษย์ของข้า ข้าคิดในใจ
ถ้าเขาฝึกฝนภายใต้การแนะนำของข้า เขาจะสามารถเอาชนะข้าได้ในไม่ช้า และข้าก็กำลังมองหาคนที่สามารถสืบทอดทักษะของข้าได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นโชคชะตาที่นำพาเขามาพบข้า
ข้าคิดกับตัวเองและพยักหน้ายืนยันกับตัวเองหลายครั้ง
ข้าเข้าไปหาเขาแล้วบอกความคิดของข้า แต่เขากลับหมดสติเพราะเสียเลือดมากไปสะอย่างนั้น…
***************
อาเรสลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในห้องแห่งความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในไม่ช้าเขาก็เห็นแสงรูปร่างที่มีขนาดเล็ก ๆ รูปร่างนั้นคล้ายลูกบอลมันลอยเข้ามาใกล้ ๆ เขาได้ยินเสียงกระซิบจากมัน "ข้าชื่ออาเรส ช่วยข้า อาเรส"...."ช่วยข้า อาเรส"..อย่างต่อเนื่อง
เขารู้สึกสับสนที่ดวงแสงที่ชื่ออาเรสเหมือนกันนั้นกำลังขอความช่วยเหลือ จากเขามันน่าจะเป็นวิญญาณของอาเรสคนก่อน.. เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญและต้องมีจุดประสงค์บางอย่างในการที่เขาเคลื่อนย้ายมิติมาที่โลกใบนี้
เขาสลัดความคิดออกจากความมืดมิด ในไม่ช้าแสงสว่างก็ปกคลุมห้องมืดทั้งห้อง และเขาต้องหลับตาเพราะแสงสว่างมันจ้าเกินไป
และทันทีที่อาเรสลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงและมองเห็นหลังคาสีขาวที่ไม่คุ้นตาซึ่งดูไม่น่าจะใช่โรงพยาบาล ในไม่ช้าเขาก็ตรวจสอบสภาพของห้องที่เขาอยู่…
และเขาพบว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาหายเป็นปกติแล้ว เหลือเพียงอาการปวดหัวและความรู้สึกขมในลำคอเล็กน้อย
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดกับตัวเองอยู่นั้น เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้อง เธอสวมเสื้อกาวน์แพทย์สีขาว ผมสีชมพูยาวที่ทรงเสน่ห์ของเธอถูกปล่อยไว้ราวกับน้ำตกจนถึงบั้นเอว ใบหน้าสวยขาวและดวงตาสีเขียว เธอมีลักษณะของความเป็นผู้ใหญ่ และเป็นผู้หญิงที่มีหุ่นที่สมบูรณ์แบบอย่างมาก
เธอเดินเข้ามาหาอาเรสด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าซึ่งดูเหมือนดอกไม้บานที่ใครๆ ก็อยากปกป้องจนชีวิตจะหาไม่
ก่อนอื่นเธอตรวจสอบอาการของอาเรสสักสองสามวินาที จากนั้นแนะนำตัวเองและเริ่มอธิบายว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเธอ เขาก็ได้รู้ว่าชื่อของเธอคือเอจิส วินสตัน และเธอเป็นหนึ่งในผู้รักษาที่อยู่ในแรงค์ S ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากสำหรับโลกใบนี้ เธอยังบอกเขาด้วยว่า มิกะ อามามิเพื่อนสนิทของเธอลากเธอมาที่นี่เพื่อรักษาเขาอย่างไร และเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอพาเขามาที่นี่ได้อย่างไรเมื่อตอนที่เขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำ
โดยไม่สนใจข้อมูลทั้งหมดที่อาเรสได้รับจากเธอ เขาคิดถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดและน่ากลัวที่สุดที่เขาได้รับ
ตอนนี้อาเรสพักอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวของมิกะ อามามิ....." "
ไม่นานนักเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ยินอะไรก่อนที่จะหมดสติไป และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาหนาวสั่นไปถึงสันหลัง…
***
เอจิสเห็นเขาจมอยู่ในความคิดของเขาและตัดสินใจที่จะทำลายความเงียบจึงพูดว่า
''ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามิกะจะสามารถหาศิษย์ของตัวเองพบได้และเจ้าจะหล่อมากขนาดนี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าต่อสู้กับมอนสเตอร์แรงค์ A อย่างไม่เกรงกลัว ยังไงส่ะแม้ว่าเธอจะแก่กว่าเจ้า แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยังคงดูแลเธอให้ดีในอนาคต''
เธอพูดในขณะที่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา แต่ดวงตาของเธอกลับคล้ายมีความขบขัน…
อาเรสแค่จ้องมาที่เธอโดยไม่พูดอะไร...และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจพูด
''ข้าไม่เคยบอกนางว่าข้าจะเป็นศิษย์ของนาง และอีกอย่าง...''
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เอจิสก็ขัดจังหวะเขา…
''ไม่สำคัญว่าเจ้าต้องการเป็นศิษย์ของนางหรือไม่'' นางหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดอีกครั้ง
''เพราะเมื่อเธอตัดสินใจว่าเจ้าจะมาเป็นศิษย์ของเธอ เจ้าก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เธอจะไล่ตามเจ้าไปจนสุดโลกและทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะต้องมาเป็นศิษย์ของเธออย่างแน่นอน..
..เธอจะทำทุกวิถีทางจนกว่าเจ้าจะยอมรับเธอเป็นอาจารย์ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตามเชื่อข้าเถอะ ข้าเคยผ่านมันมาก่อน เธอจะต้องได้ในสิ่งที่ต้องการไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร"
''และข้าคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์มากสำหรับเจ้าในการเป็นศิษย์ของนักผจญภัยแรงค์ SS ซึ่งมาพร้อมกับสิทธิพิเศษอีกมากมาย''
''เธออาจดูไม่เหมือนแต่เธอนั้นดูแลและหวงแหนคนใกล้ตัวเป็นอย่างดี และเธอก็ค่อนข้างไว้ใจได้เหมือนกัน....คิดว่านะ"
"โอ้ และแน่นอนฝีมือดาบของเธอก็เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก..''
เป็นที่รู้จักในนาม "จักรพรรดินีแห่งดาบ"...
หลังจากพูดทั้งหมดแล้วเธอก็หยุดสักครู่เพื่อรอฟังคำตอนจากฉัน
ฉันครุ่นคิดกับตัวเองอยู่สองสามนาทีและคิดถึงสิ่งที่ได้ยินจากเอจิส และชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการเป็นศิษย์ของนักผจญภัยแรงค์ SS, มิกะ อามามิ…
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉันตัดสินใจว่าจะตอบเธอว่าอย่างไร
ขณะที่เธอจ้องมองฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกายของเธอ
"......".