ตอนที่ 25
หลังออกมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการ ลอร์ดโคลเตอร์ พิรันเต้อาจารย์รับเชิญและผมก็เดินไปทางโต๊ะรับองที่ชั้นแรกของอาครหลัก
ลอร์ดโคลเตอร์มีป้ายชื่อ ‘อาจารย์รับเชิญ’ ติดอยู่ที่อกด้านขวาของเขา
มันทำให้เขามี ‘อำนาจ’ เล็กน้อยในการให้เขาใช้พื้นที่พิเศษในโรงเรียนที่คนธรรมดาเข้าไปไม่ได้
“เอิ่ม เป็นอาจารย์มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ”
ลอร์ดโคลเตอร์ลูบป้ายชื่อและยิ้มเบา ๆ เมื่อเห็นสถานการณ์ตลก ๆ
มันค่อนข้างจะเป็นใบหน้าที่ไม่ค่อยดูดีและแอบมีความงี่เง่าอยู่ด้วย แต่ทันทีที่เขาเข้าไปยังห้องรับรองและนั่งตรงข้ามกัน สายตาเขาก็คมดั่งมีมีดซ่อนเอาไว้
“ดีใจที่ได้เจอนายนะ เราควรจะเริ่มด้วยการรู้จักกันจริง ๆ ก่อนไหม?”
“ครับ ผมชื่อรูน…”
“ชั้นรู้น่า รูน อาเดล ครั้งที่แล้วก็ได้ยินแล้ว ที่ชั้นอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนั้น หลังจากสอบครั้งที่แล้วชั้นก็กลับไปแล้ววิเคราะห์แผลของโอเกอร์ตัวนั้น”
“...แล้ว?”
“ชั้นไม่มีเวลาคิดในตอบสอบ แต่ก็เจอเรื่องน่าสนุกเข้าจนได้ แผลที่ทำให้โอเกอร์นั่นตายไม่ใช่แผลเวทมนตร์”
“กระดูกมันหัก แล้วก็เป็นกระดูกกรามด้วย”
คำพูดเฉียบคมนั้นพุ่งตรงเข้าใส่ผม
สมกับที่เขาเป็นหัวหน้าอัศวิน
บางคนนั้นบอกไม่ได้เลยว่าเกิดจากอะไร
ผมหุบปากเงียบ
ในช่วงการสอบ ผมร่ายระเบิดเผามานาและซัดโอเกอร์เข้าไปที่กราม
ระเบิดเผามานานั้นเป็นเวทย์ที่จะสร้างการเผาไหม้รุนแรงผ่านการระเบิด จึงนั้นจึงไม่ธรรมดาที่กระดูกของโอเกอร์ที่แข็งแรงจะหักได้เพราะเวทย์นั้น
แต่กระดูกของมันกลับหัก
ลอร์ดโคลเตอร์เองก็รู้เรื่องนี้ด้วย
“เวทย์ที่นายร่าย ชั้นไปค้นคว้ามานิดหน่อย…มันเป็นเวทย์ที่สร้างการเผาไหม้ผ่านการระเบิดใช่ไหม? แล้วกระดูกกรามของโอเกอร์มันหักแบบนั้นได้ยังไง?”
ลอร์ดโคลเตอร์หรี่ตา
“นายทำได้ยังไง? ดู เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่นายทำได้ด้วยพลังของนายอย่างเดียวนะ”
เขากำลังถามว่าผมหักกระดูกของโอเกอร์ด้วยกำปั้นอย่างเดียวได้ยังไงน่ะหรือ?
ผมกำลังครุ่นคิดหาทางตอบ
เมื่อผมหาทางตอบไม่ได้ ลอร์ดโคลเตอร์ก็เปลี่ยนสายตาจริงจังเป็นรอยยิ้มสดใสแทน
“เอาเถอะ นั่นไม่ใช่คำถามที่ชั้นอยากรู้ขนาดนั้นหรอก ถ้าหากอาจารย์คนอื่นไม่ได้ถามนายถึงเรื่องพลังบ้าบอนั่น…มันก็คงมีเหตุผล และมันก็ไม่สุภาพที่จะมาถามตั้งแต่แรกแล้วด้วยใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“งั้นเหรอ? โทษทีนะ”
ลอร์ดโคลเตอร์รีบขอโทษทันทีและยิ้ม
ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการไทเรียนหรืออาจารย์ไฮเดลก็ไม่ถามเรื่องพลังของผม
นี่อาจเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งของแนวคิดเกี่ยวกับเวทมนตร์นั้นคือการค้นคว้าเรื่องราวมหาศาล
ต้องขอบคุณที่แนวคิดในแบบเดียวกันนี้มีอยู่ในแวดวงของอัศวินด้วย
“แต่ในฐานะของอาจารย์รับเชิญที่จะสอนการต่อสู้ให้กับนาย ชั้นต้องรู้พื้นฐานของร่างกายนายก่อน แข็งแกร่งผิดปกติ ชั้นควรรู้แค่นี้ใช่ไหม?”
ผมพยักหน้า
ลอร์ดโคลเตอร์หรี่ตาถามเมื่อผมพยักหน้าให้
“แข็งแกร่งกว่าชั้นอีกเหรอ?”
หงึก หงึก
เมื่อผมพยักหน้าอีกครั้ง ลอร์ดโคลเตอร์ก็ถามอีกครั้งด้วยความอยากรู้
“ถ้างั้น แข็งแกร่งกว่าออคใช่ไหม?”
หงึก หงึก
จากนั้น ลอร์ดโคลเตอร์ก็ลุกขึ้นราวกับจะระเบิดออกมา
“ถ้างั้น…แข็งแกร่งยิ่งกว่าโอเกอร์อีกเหรอ?”
เขาควรจะรู้ตั้งแต่เห็นผมครั้งที่แล้วแล้วนี่นา
เมื่อผมนิ่งเงียบและจ้องมองลอร์ดโคลเตอร์ เขาก็ข่มความตื่นเต้นและนั่งลง
“ถ้าหากมีเด็กคนอื่นบอกว่าแข็งแกร่งขนาดนี้ เราคงต้องงัดข้อหรืออะไรกันหน่อยแล้ว…แม้แต่ตัวชั้นก็มั่นใจในพลัง ชั้นไม่คิดว่าความสงสัยนี้จะทำให้ชั้นยอมอยู่เฉยนะ”
“คุณจะเสียใจนะ”
“หืม? ทำไมถึงสรุปแบบนั้นกันเล่า? นายจะทำยังไงถ้าชั้นแกร่งกว่าโอเกอร์เหรอ?”
“คุณอัศวินเองก็สรุปเรื่องผมมาแล้วนี่”
“แล้วผมเองก็แข็งแกร่งกว่าโอเกอร์จริง ๆ ด้วย ผมไม่ได้บลัฟนะ”
“จริงเหรอ? งั้นก็มาเลย! เข้ามา!”
ลอร์ดโคลเตอร์ม้วนแขนเสื้อและวางแขนลงบนโต๊ะ
“อย่าเสียใจนะครับ แขนคุณอาจจะหักก็ได้”
ผมจับมือเขาให้เบาที่สุด
เขาจะรู้สึกถึง ‘ความต่างของพลัง’ ตรงนี้ไหมนะ?
เมื่อผมเริ่มออกแรงกับการจับมือ สีหน้าของลอร์ดโคลเตอร์ก็เปลี่ยนไปและเริ่มพึมพำว่า “เอาล่ะ พอแค่นี้เถอะ”
“ให้ตายสิ ไอ้เด็กอวดดีนี่ จะอ่อนข้อให้ก็ไม่ได้…”
เขาเป็นอะไรน่ะ?
แต่ผมก็ไม่รู้สึกถึงความอาฆาตจากน้ำเสียงของเขา
มันดูเหมือนกับ…
สติของเขากำลังจะหลุดไป
แต่น้ำเสียงติกตลกของเขานั้นคือหนึ่งในสิ่งที่เป็นตัวตนเขา
ภาพลักษณ์ของชื่อโคลเตอร์ พิรันเต้คืออัศวินขั้น 6 เพียงคนเดียวในส่วนตะวันออกของทวีป
ฉายา ‘โล่แห่งแดนบูรพา’
ถ้าคิดว่ามีอัศวินขั้น 6 แค่ 5 คนในอาณาจักรเรเดียน ระดับฝีมือของเขาก็ชัดเจนอยู่แล้ว
บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สายตาของเขาเปลี่ยนไปเมื่อพูดว่า ‘การฝึก’ เริ่มต้นขึ้น
“เอาเถอะ ชั้นไม่สนใจการงัดข้อไร้ความหมายนี่แล้ว ได้ยินจากอาจารย์ไฮเดลมาแล้วล่ะ…เขาบอกว่านายเป็นกรณีพิเศษของจอมเวทย์ที่สู้ได้ในระยะประชิดเท่านั้น ใช่ไหม?”
“ครับ”
“จากที่เห็นคราวที่แล้ว การเคลื่อนไหวของนายถือว่าใช้ได้ มันแม่นยำและไม่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น จนถึงขั้นยากที่จะเชื่อว่านายเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
การต่อยและเตะที่ผมฝึกมาในไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้นล้วนเกิดจากภารกิจประจำวัน
การนับจำนวนครั้ง 3000 ครั้งที่ถูกต้องเท่านั้นนั้นทำให้ต้องเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง
ผมใช้แค่การเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบซ้ำไปซ้ำมาเพื่อทำให้ภารกิจนับจำนวนที่ผมต้องทำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นและแม่นยำ
แต่ขีดจำกัดก็ชัดเจนด้วย
ลอร์ดโคลเตอร์พูดออกมาตรง ๆ
“แต่บอกตามตรง มันเห็นได้ชัดว่านายไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้มาเลย นั่นจึงเป็นเหตุที่มันคาดเดาได้ง่าย มันจะได้ผลกับโอเกอร์ที่ความคิดเรียบง่ายและไม่เคยเจอกับจอมเวทย์อย่างนายเท่านั้น แต่กับอัศวินที่ช่างสังเกตและมีความสามารถ การเคลื่อนไหวของนายจะถูกมองออก คนที่เก่งจะรู้ว่านายจะโจมตีที่ไหนแบบไหนจากแค่ดูไหล่และเอวที่ขยับ”
นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ
ใช่แล้ว
การเคลื่อนไหวของผมนั้นทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวที่ซื่อตรง
มันเหมือนกับว่าผมเรียนมันมาจากหนังสือและทำมันจนชำนาญ
การเคลื่อนไหวที่จะใช้ได้ในสถานการณ์จริงนั้นยังบกพร่องอยู่
แต่ถ้าหากผมเรียนวิชาต่อสู้ที่ดีล่ะ?
“ถ้านายเรียนจากชั้น การเคลื่อนไหวของนายจะเปลี่ยนไปจากพื้นฐานที่มี”
ถ้าแบบนั้น…
คำถามเกิดขึ้นในทันที
“ทำไมล่ะ?”
“...หืม?”
“ต่อให้สอนวิชาต่อสู้กับผม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณอัศวิน และคุณเป็นอาจารย์รับเชิญ คุณคงไม่ได้รับเงินมากมายจากโรงเรียนด้วย…แล้วยังต้องมาลำบากมาทำงานที่โรงเรียนอีก คุณอัศวินต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดนั่นเพื่อผม…”
ลอร์ดโคลเตอร์พึมพำและลูบหนวดกับคำถามของผม
“เด็กน้อยอย่างนายคิดเรื่องต้นทุนกำไรระหว่างคน…”
“ครับ?”
“ชั้นจะบอกว่าไม่ต้องคิดทุกเรื่องในตอนที่ผู้ใหญ่ให้ยืมมือหรอกน่า”
“เฮ้อ..ก็ได้ ถ้านายสงสัยขนาดนั้นจะบอกให้ก็ได้ คิดว่ามันเป็นการลงทุนก็แล้วกัน”
สีหน้าของลอร์ดโคลเตอร์จริงจังขึ้นมา
“ชั้นได้เจอกับคนที่จะเป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ และถ้าช่วยเหลือคนที่มีอนาคตเป็นจอมเวทย์คนนั้นไว้…มันจะไม่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเหรอ?”
ใช่
ผมเข้าใจแล้ว
ลอร์ดโคลเตอร์อาจต้องการความช่วยเหลือของผมในอนาคต
และที่เขาพูดก็ถูกต้อง
ในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดมากไปเสียทุกเรื่องเมื่อผู้ใหญ่ยื่นมือเข้าช่วย
ผมจะเข้าไปที่เทศกาลใหญ่ในฐานะตัวแทนโรงเรียน และยังมีอาจารย์รับเชิญที่ถูกเชิญมาเป็นพิเศษเผื่อว่าจะมีประโยชน์กับผมด้วย
ลอร์ดโคลเตอร์เองก็มีความคาดหวังและเข้ามาเพื่อสอนผมโดยเฉพาะ
“ดูเหมือนว่านายจะไม่เห็นชั้นเป็นคนที่พึ่งพาได้นะ ถ้ากังวลเรื่องที่จะเรียนก็ไม่ต้องห่วงเลย ชั้นคือคนที่ได้ขั้น 6 ที่อายุน้อยที่สุดในทางตะวันออกของอาณาจักรเรเดียน…”
“ไม่ใช่ครับ นั่นไม่ใช่ปัญหา”
“...หืม? แล้วอะไรล่ะ…?”
ใช่
อย่าไปคิดมากเลย
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีแน่ ๆ
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และโค้งศีรษะให้กับลอร์ดโคลเตอร์
“ถ้าอย่างนั้น ขอฝากตัวด้วย คุณอัศวินโคลเตอร์…ไม่สิ อาจารย์รับเชิญ”
จากนั้นลอร์ดโคลเตอร์ก็บิดตัวเล็กน้อย เหมือนว่าเขาจะเขินกับคำว่า ‘อาจารย์รับเชิญ’ อยู่เล็ก ๆ
“เอ่อ ว้าว ได้ยินแบบนั้นมันอึดอัดไปหน่อยนะ เรียกว่าพี่ชายก็พอ”
“...พี่?”
“ทำไมล่ะ? ถึงจะเป็นแบบนี้ชั้นก็ยังอายุไม่ถึง 30 นะ”
ไม่มีทาง
คุณหัวหน้าอัศวินโคลเตอร์…
ไม่สิ
‘พี่’ โคลเตอร์มาหาผมที่ลานฝึกกลางแจ้งของโรงเรียนทุกวันตอน 11 โมงเช้าตามสัญญา
บทเรียนแรก
สิ่งที่ลอร์ดโคลเตอร์สอนผมเป็นอย่างแรกนั้นคือ ‘ฟุตเวิร์ค’
“รู้ไหมว่าอะไรสำคัญที่สุดในการเป็นอัศวิน?”
“อืม…ดวงตาเหรอครับ?”
“ดวงตาน่ะสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเท้าต่างหาก”
เท้า
“สมดุลโดยรวมของทั้งร่างกายมันอยู่ที่ร่างกายท่อนล่าง ส่วนที่ช่วยให้ส่งแรงไปยังดาบก็เป็นเท้า ทิศทางของเท้าเองก็ใช้เดาทิศทางการเคลื่อนไหวของศัตรูด้วย ความสำคัญของเท้านั้นมากเกินกว่าจะอธิบายได้ นั่นคือสาเหตุที่นายต้องเรียนรู้วิธีการ ‘เดินที่ดี’”
วิธีการเดินที่เป็นอุดมคติที่สุด
วิธีการเดินที่แม่นยำและมั่นคงขณะที่ใช้แรงน้อยที่สุด
วิธีการเดินที่ไหล่ผ่อนคลายและหน้าตัดของเท้าติดพื้นมากที่สุด
วิธีที่จะหาวิธีการนี้ ผมต้องเดินรอบโรงเรียนทั้งวัน
เพื่อที่จะลบการเดินที่ไร้ความตั้งใจที่ผมเดินมาตลอด 16 ปีและหาวิธีเดินใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทำ
ลอร์ดโคลเตอร์นั้นจะเดินตามผมอยู่ตลอดและเมื่อใดก็ตามที่ผมเดินโดยไม่ระวัง…
เพี๊ยะ!
“จ๊าก!”
ผมไม่รู้ว่าเขาไปหาไม้ไผ่มาจากไหน แต่เขาจะตีผมด้วยไม้ไผ่จนเกิดเสียงดัง
“หึหึ…เอาอีก!”
เขาหัวเราะราวกับกำลังสนุกกับเรื่องนี้
แต่สิ่งหนึ่งนั้นแน่นอน
เมื่อผมใช้ความคิดในวิธีการเดิน มันก็เริ่มมีประโยชน์ที่ผมเริ่มจะสังเกตได้
หลังจากเรียนรู้การเดิน สิ่งต่อมาที่ผมเรียนก็คือวิชาต่อสู้พื้รฐานที่มีรากฐานมาจาก ‘วิชาต่อสู้สวรรค์’ ที่ถูกสอนกันเป็นทั่วไปในหมู่อัศวินที่ศูนย์ฝึก
“ถ้าไม่นับวิชาดาบ วิชาต่อสู้สวรรค์นั้นจะมีการเคลื่อนไหวทั้งหมด 36 แบบ”
นี่เป็นเรื่องใหม่
เรื่องที่ว่าการเตะต่อยและหมุนเตะนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ
ผมรู้ว่าอัศวินไม่ได้เรียนรู้แค่การจับดาบ แต่การที่พวกเขาเรียนรู้วิชาต่อสู้ที่เป็นระบบแบบนี้…
ผมใช้การเดินที่เพิ่งจะเรียนรู้ใหม่นี้เริ่มฝึกการเตะ ต่อย และหมุนเตะอีกหลายรูปแบบ
เพราะเรื่องนี้
ศิลปะร่างกาย VII
ติดตัว
สกิลศิลปะร่างกายก็ได้พุ่งพรวดไปถึงระดับ 7 ในทันที
มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า การถูกสอนที่ดีโดยมืออาชีพนั้นทำให้ผมมีประสบการณ์ที่ดีอย่างมาก
‘เรียนรู้เรื่องใหม่มันน่าสนุกขนาดนี้เชียว’
เพราะ 6 ปีที่ผ่านมาผมเรียนรู้แต่เวทมนตร์
การได้เรียนรู้เรื่องที่ไม่รู้นอกเหนือจากเวทมนตร์นั้นเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน
ลอร์ดโคลเตอร์เองก็ดูจะสนุกกับการได้พบกันของเราด้วย จนถึงขั้นที่ว่า
“นี่…แกไม่เรียนรู้เร็วไปหน่อยเหรอ?”
“งั้นเหรอ?”
“แกเป็นอัศวินหรือจอมเวทย์กันแน่…ชั้นไม่รู้ว่าเพราะแกไม่เคยอู้กับการออกกำลังประจำวันไหม แต่รากฐานของแกมันหนักแน่นมาก ดูเหมือนว่าเราจะเพิ่มความเข้มข้นได้มากกว่านี้นะ”
“นั่นก็ดี เราเหลือเวลาไม่มากหรอกครับ”
“อืม…คิดจะทำอะไรหลังเรียนจบจากโรงเรียนล่ะ?”
“หลังเรียนจบเหรอ? ผมไม่รู้สิ?”
“อืม…เข้าภาคีอัศวินของชั้นเป็นไง? ชั้นจะเพิ่มเงินเดือนให้เป็นสองเท่าเลย”
“เอ่อ คงไม่นะครับ”
“หา? เด็กอย่างแกนี่มัน… ก็ได้ 3 เท่าล่ะเป็นไง?”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้าเป็นสี่เท่าของอัตราแรกเริ่ม ขนาดลอร์ดกากุนยังไม่ได้ค่าจ้างแบบนั้นเลย! ทำไมเด็กอย่างแกถึงโลภแบบนี้นะ…”
พูดถึงลอร์ดกากุน เขาคือปรมาจารย์ดาบเพียงคนเดียวของอาณาจักรเรเดียน
เรื่องที่ว่าเขาได้ค่าจ้าง 3 หรือ 4 เท่าจากค่าจ้างปกติในตอนที่เป็นอัศวินฝึกหัดนั้นไม่ได้น่าสนใจกับผมเท่าไหร่
“เงินไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ”
“แล้วมันอะไร?”
“ก็มีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากทำนี่นา”
“แกอยากทำอะไรงั้นเรอะ?”
“อืม…ก็ไม่รู้สิ”
“ไอ้เด็กนี่ อย่ามาทำให้ชั้นสงสัยนักสิ เริ่มใหม่อีก!”
“ครับ หึหึ”
ในการใช้ชีวิต 16 ปีของผม
ผมใช้เวลา 10 ปีในดินแดนอาเดล
และอีก 6 ปีในโรงเรียน
ผมไม่เคยท่องเที่ยวเหมือนกับคนอื่น และผมเองก็ไม่เคยไปที่เมืองหลวงอาณาจักรเรเดียนเลยเหมือนกัน (มีคนบอกว่าผมเคยไปกับพ่อตอนที่ยังเด็ก แต่ผมก็จำไม่ได้หรอก)
ถ้ามองแบบนี้ เทศกาลใหญ่ที่จะจัดขึ้นในเดือนที่ 7 ของปีนี้ มันอาจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางจริง ๆ ก็ได้…
ผมยังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะได้เจอ
และสิ่งมากมายที่ยังไม่เคยเห็น
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมวางแผนจะคิดอย่างหนักในอีกไม่กี่เดือนที่เหลือ
เพี๊ยะ!
“อีกรอบ!”
อืม หลังจากเรียนวิชาต่อสู้จนจบล่ะนะ